เฉินผิงอันเดินอ้อมมาหลังโต๊ะ พยักหน้าเอ่ย “ตัวอักษรดี ทำให้คนเหมือนได้ยินเสียงบทเพลงไพเราะคลอเสียงนกร้องนุ่มนวล รอให้องค์ชายสามเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีโชคชะตาบุ๋นชักนำให้เกิดภาพบรรยากาศอัศจรรย์ มีนกหลวนสีขาวกลุ่มหนึ่งถือกำเนิดขึ้นมาจากหน้ากระดาษ สยายปีกบินขึ้นสูง มีอิสระเสรีนับแต่นี้ไปก็เป็นได้”
หลิวเม่าส่ายหน้า คิดเสียว่าได้ยินคำพูดหยอกล้อ ห้าขอบเขตบน ชีวิตนี้อย่าได้หวังเลย
ฝึกตนอย่างยากลำบากมายี่สิบกว่าปี ยังคงเป็นได้แค่ผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น
พู่กันจีจวี้สองด้ามเอาไว้ใช้คัดคัมภีร์โดยเฉพาะ บริเวณใกล้กับปลายพู่กันแบ่งออกเป็นแกะสลักคำว่า ‘เงียบสงบ’ กับ ‘สะอาดบริสุทธิ์’ ด้วยตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็ก พู่กันจีจวี้ของราชวงศ์ต้าเฉวียนมีชื่อเสียงเลื่องลือมานานมากแล้ว
บนที่วางพู่กันมีพู่กันฉางเฟิงวางไว้ด้ามหนึ่ง แกะสลักคำว่า ‘เรื่องอันตรายรายล้อม ความสามารถครองใต้หล้า’ แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของจิตรกรใหญ่ คาดว่านอกจากตำราฉบับสมบูรณ์บางเล่มแล้ว วัตถุชิ้นนี้ก็คงเป็นของที่มีค่ามากที่สุดในห้องแห่งนี้แล้ว
เฉินผิงอันชำเลืองตามองคัมภีร์หวงถิงเล่มนั้น อดไม่ไหวพลิกเปิดไปหลายหน้า เจ้าตัวดี เนื้อกระดาษทำจากกระดาษอวี้ป่าน ประเด็นสำคัญคือมีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบ ตราประทับหนังสือ ตราประทับลงนามมีมากหลายสิบชิ้น แทบไม่มีชิ้นไหนที่ว่างเปล่า คือคัมภีร์หวงถิงเล่มหนึ่งที่ทางตำหนักหลินอู่ของแคว้นหนันฉีเก็บรวบรวมแล้วรักษาไว้เป็นอย่างดี และเดิมทีตัวคัมภีร์เล่มนี้เองก็มีตำแหน่งสูงในลัทธิเต๋า ตำแหน่งเท่าเทียมกับตำราต้งเสวียนของลัทธิเต๋าอยู่แล้ว มีคำเรียกขานอันไพเราะบนภูเขาว่า ‘สามพันมันตรา ชี้ตรงไปยังโอสถทอง’ แล้วก็ได้รับความนับถือเลื่อมใสจากปัญญาชนผู้มีความรู้ล่างภูเขาและพวกผู้มีชื่อเสียงที่ชอบความเรียบง่ายด้วย
นอกจากจะสามารถถูกผู้ฝึกลมปราณเอามาทำเป็นวัตถุวิเศษได้แล้ว ‘ของสามัญ’ ที่มีค่าอย่างแท้จริงล่างภูเขาจำพวกตำราที่มีเล่มเดียว ตำราฉบับสมบูรณ์แบบที่พิถีพิถันในเรื่องของการจัดพิมพ์ เรื่องของกระดาษที่ใช้อย่างถึงที่สุดก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ได้รับความโปรดปรานจากผู้ฝึกตนมากกว่าอักษรภาพหรือเครื่องกระเบื้องเสียอีก ตำราหลายเล่มที่ยังคงหลงเหลืออยู่บนโลกไม่มากล้วนคิดเงินกันตามจำนวนหน้า ถ้าไม่ใช่ตระกูลปัญญาชนก็แทบไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า เหตุใดกระดาษสองแผ่นที่ตัวอักษรพอๆ กัน แผ่นหนึ่งไม่มีค่าแม้แต่แดงเดียว ทว่าอีกแผ่นกลับสามารถขายได้หลายสิบตำลึง
เฉินผิงอันกล่าว “ปีนั้นที่ได้พบองค์ชายสามเป็นครั้งแรก เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นทหารม้าลาดตระเวนของชายแดน ทุกวันนี้ความสูงส่งสง่างามยังคงอยู่ แต่กลับยิ่งดูสุภาพมีมารยาทมากขึ้นแล้ว”
หลิวเม่าถือประคองแส้ปัดฝุ่น ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ ปล่อยให้เซียนกระบี่หนุ่มท่านนี้พูดจาวกวนอ้อมค้อมแบบไม่จบไม่สิ้นไปเอง
ด้านข้างยังมีกระดาษสูเซวียนอีกหลายแผ่นที่คัดตัวอักษรไว้จนเต็ม เฉินผิงอันคีบกระดาษพลิกเปิดเหมือนพลิกตำรา ยิ้มถามว่า “คัมภีร์ที่เดิมทีแนวตั้งมองไม่เป็นแถว แนวนอนมองไม่เป็นแนว (เปรียบเปรยถึงการเขียนพู่กันได้ตามใจตนเอง เป็นไปตามธรรมชาติ คนที่เขียนได้ถึงขั้นนี้นับว่าฝึกการเขียนพู่กันจนถึงระดับสูงแล้ว) นี้ ถูกองค์ชายสามคัดลอกมากลับเหมือนการจัดขบวนทัพอย่างไรอย่างนั้น เป็นระเบียบมีขั้นมีตอน กฎเกณฑ์เข้มงวด นี่เพราะเหตุใด?”
หลิวเม่ายืนอยู่ข้างหนึ่งของโต๊ะหนังสือ ในที่สุดก็อดไม่ไหวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนกระบี่เฉินไม่ต้องพูดจาแฝงความนัยซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้หรอก เซียนกระบี่เฉินไม่ได้มีใจต่ออำนาจของราชวงศ์ล่างภูเขาอยากเป็นราชครูอะไรเสียหน่อย ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องจับนักพรตหลงโจวแห่งอารามหวงฮวาที่สูงก็ไม่สำเร็จต่ำก็ไม่ได้ไม่ยอมวางเช่นนี้ เซียนกระบี่เฉินถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเดินไปได้ไกลและสูงส่งบนมหามรรคา เหตุใดต้องตอแยพัวพัวกับโอสถทองคนหนึ่งที่เทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้ไม่ยอมเลิกรา บุญคุณความแค้นในอดีตถึงขั้นต้องให้ท่านอาจารย์ปล่อยวางได้ยากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? แล้วนับประสาอะไรกับที่ต้าเฉวียนยังเปลี่ยนฟ้าผลัดดินแล้ว หลิวเม่าที่ไม่ได้เป็นแม้กระทั่งอ๋องเจ้าเมือง ราชสำนัก ยุทธภพ บนภูเขา ไม่มีอะไรสักอย่าง หรือว่าแม้แต่โคมดำดวงเดียว คัมภีร์ไม่กี่ม้วน กับผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่ง เซียนกระบี่เฉิงก็จะไม่ยอมละเว้น?”
เห็นว่าคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวลักษณะคล้ายปัญญาชนเพียงแค่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด หลิวเม่าก็ถามว่า “ทุกวันนี้เซียนกระบี่เฉินไม่ควรไปเป็นแขกผู้มีเกียรติของยอดเขาเสินจ้วน อารามจินติ่ง หรือไม่ก็ตำหนักพยัคฆ์เขียวหรอกหรือ? ต่อให้มาเยือนนครเซิ่นจิ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ดูไม่เหมือนว่าควรจะมาเยือนอารามหวงฮวากระมัง อันที่จริงระหว่างพวกเราทั้งสองไม่มีเรื่องในวันวานให้ต้องพูดคุยกันเลย หรือว่านี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท?”
หลิวเม่ากล่าว “หากเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ถ้าอย่างนั้นก็กังวลเกินเหตุแล้วจริงๆ ผินเต้ารู้ดีว่าตัวเองเป็นแค่มดแดงตัวหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าไปเขย่าคลอนต้นไม้ใหญ่ เพราะไร้ใจแล้วก็ไร้กำลัง สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว ในเมื่อแคว้นสงบสุข วิถีทางโลกกลับคืนมาสงบร่มเย็นอีกครั้ง ผินเต้ากลายเป็นผู้ฝึกตนแล้วก็ยิ่งเข้าใจในหลักการที่ว่าลิขิตสวรรค์มิอาจละเมิด ต่อให้เซียนกระบี่เฉินจะไม่เชื่อใจนักพรตหลงโจว จะดีจะชั่วก็ควรเชื่อในสายตาของตัวเอง หลิวเม่าไม่เคยเป็นคนฉลาดที่แท้จริงอะไร แต่ก็ไม่ได้โง่เง่าถึงขั้นคิดเป็นตั๊กแตนที่ขวางอยู่หน้ารถ เป็นศัตรูกับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ ถูกหรือไม่ เซียนกระบี่เฉิน?”
เฉินผิงอันตอบไม่ตรงคำถาม ราวกับว่ายังจะดึงดันพูดคุยเรื่องในวันวานกับคนผู้นี้ให้จงได้ ถึงได้เอ่ยถึงเรื่องเก่าเนิบช้าว่า “ปีนั้นตอนที่อยู่เมืองหูเอ๋อร์ คำพูดขององค์ชายสามลึกล้ำกระจ่างชัดถึงใจคน เคยมีสองคำถามที่ทำให้ข้าอึ้งงันไร้คำโต้ตอบ ได้แต่นำกลับมาคิดทบทวนซ้ำไปซ้ำมาในภายหลัง แล้วมันก็ทำให้ข้าเรียนรู้อะไรได้ไม่น้อยเลยจริงๆ ก็เหมือนอย่างคืนนี้ องค์ชายพูดจาได้พิถีพิถันยิ่ง มดตัวน้อยกับมดแดงขานรับกัน เซียนกระบี่เฉินกับไม่ยอมละเว้น กลายมาเป็นการเปรียบเทียบ ไร้ใจไร้กำลังก็ยิ่งเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร ลิขิตสวรรค์คือเรื่องบนภูเขา กำลังอำนาจใหญ่คือหลักการล่างภูเขา ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์ ทุกตัวอักษรล้วนมีความรู้ ข้าได้เรียนรู้อีกครั้งหนึ่งแล้ว”
คราวนี้เป็นหลิวเม่าที่ไม่พูดไม่จาบ้างแล้ว
เหยาเซียนจือมองอาจารย์เฉินที่สวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว แล้วค่อยมองหลิวเม่าที่สวมชุดคลุมเต๋าเรียบง่าย จู่ๆ เขาก็พลันรู้สึกโชคดีที่ตนเอาเหล้ามาด้วยหนึ่งกา ไม่อย่างนั้นคืนนี้ก็คงไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ ไม่มีถ้อยคำใดๆ ให้พูดแล้ว
“ข้าไม่เคยสนใจว่าองค์ชายสามจะยังไม่ถอดใจหรือไม่ จะยังอยากเปลี่ยนชุดที่สวมใส่ดูหรือไม่ สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรกับคนนอกอย่างข้าด้วย? ข้ายังคงเป็นอย่างในปีนั้น นั่นคือคนนอกที่ผ่านทางมาเท่านั้น แต่ก็ไม่เหมือนกับปีนั้น ปีนั้นข้าเดินอ้อมผ่านความยุ่งยากไป แต่คืนนี้ข้าเป็นฝ่ายวิ่งเข้าหาความยุ่งยากเอง ไม่ว่าอะไรก็สามารถเหลือค้างไว้ได้ มีเพียงปัญหาที่เหลือค้างไว้ไม่ได้”
เฉินผิงอันเอนหลังพิงชั้นวางหนังสือ สอดสองมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ กวาดตามองไปรอบด้าน พูดชวนคุยว่า “เพียงแต่ว่าตอนนั้น ขอบเขตของผู้ที่ผ่านทางมาต่ำต้อย หลักการเหตุผลเรียบง่ายหลายอย่างองค์ชายไม่ยินดีจะฟัง แม้จะพลิกตัวลงจากหลังม้า แต่อันที่จริงกลับยังคงนั่งสูงอยู่บนหลังม้า หลุบตาต่ำมองผู้คนจากที่สูงอยู่เหมือนเดิม ไม่มีความอดทนใดๆ วันนี้กลับดีแล้ว เจ้าบ้านยังคงเป็นเจ้าบ้าน แขกชั่วร้ายมาเยือนถึงบ้าน แต่เจ้าบ้านกลับจำต้องเปิดประตูต้อนรับ แขกวางอำนาจบีบคั้น เอ่ยถ้อยคำเหลวไหลไร้เหตุผล ในอารามเต๋าขนาดเล็กที่เงียบสงบแห่งนี้ นักพรตหลงโจวที่ถอยแล้วถอยอีกจึงเหลือแค่พื้นที่หยัดยืนในห้องนี้เท่านั้น ยังต้องฟังว่าแขกพูดอะไร แล้วเอามาใคร่ครวญอย่างระมัดระวัง ขบคิดอย่างละเอียด หิมะละลายไปแล้ว แต่ก็ยังต้องยืนเหยียบอยู่บนพื้นน้ำแข็งแผ่นบางๆ”
หลิวเม่ายิ้มเอ่ย “อันที่จริงไม่ได้แย่อย่างที่เซียนกระบี่เฉินพูดหรอก วันนี้จุดตะเกียงพูดคุยกัน เมื่อเทียบกับการเอาแต่ก้มหน้าก้มตาคัดตำราแล้ว กลับช่วยอบรมบ่มเพาะจิตใจได้มากกว่า”
เฉินผิงอันเก็บสายตาที่สอดส่ายไปทั่วกลับมา จ้องนิ่งมองหลิวเม่าอีกครั้ง เอ่ยว่า “จากกันทีก็นานหลายปี ได้กลับมาพูดคุยกันใหม่อีกครั้ง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกเราสองคนที่ตอบไม่ตรงคำถาม พูดเรื่องของตัวเองเท่านั้น แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่สามารถตอบองค์ชายอย่างจริงใจได้ ก็คือเรื่องที่ว่าเหตุใดข้าถึงตอแยมดตัวน้อยที่คิดว่าตัวเองคือมดแดงตัวหนึ่ง หาใช่เซียนดินไม่ยอมเลิกรา”
เฉินผิงอันพลันยื่นนิ้วชี้ไปยังหลิวเม่า จากนั้นก็ยื่นนิ้วชี้มาที่บุรุษเนื้อตัวมอมแมมที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ “ปัญหาอยู่ที่องค์ชายสามในเมืองหูเอ๋อร์ของปีนั้น คำตอบอยู่ที่นักพรตหลงโจวอารามหวงฮวา ปัญหาอยู่ที่เหยาจิ้นจือแห่งกองทัพชายแดนตระกูลเหยาตอนอายุสิบสี่ปี แล้วก็อยู่บนตัวของเจ้าเมืองเมืองหลวงในทุกวันนี้ด้วย”
หลิวเม่าเอ่ย “เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ขอเซียนกระบี่เฉินโปรดไขข้อข้องใจอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือด้วย”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าพูดถึงขั้นนี้แล้ว องค์ชายไม่คิดจะยื่นผลท้อตอบแทนผลหลี เอ่ยถ้อยคำที่เปิดเผยจริงใจกับข้าบ้างหรือ?”
หลิวเม่ารู้สึกจนใจเป็นทบทวี
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ใช้นิ้วดันโต๊ะหนังสือไว้ เอ่ยว่า “หลังจากที่หิมะละลาย ใจคนร้อนแผดเผา ต่อให้การช่วยดับไฟจะไม่ยาก แต่ก่อนที่จะดับไฟได้สำเร็จ ความเสียหายถึงอย่างไรก็ยังเป็นความเสียหาย และน้ำที่เสียไปในการดับไฟก็ยิ่งเป็นความเสียหายที่มองไม่เห็น จะต้องใช้ความสัมพันธ์ควันธูปใช้คุณความชอบมาแลกเปลี่ยน ข้าคนนี้ทำการค้า มานะหมั่นเพียรเป็นร้านผ้าห่อบุญ เงินที่หามาได้ล้วนเป็นเงินจากน้ำพักน้ำแรง เป็นเงินที่ไม่ผิดต่อมโนธรรมในใจ!”
หลิวเม่าเอ่ยอย่างหน่ายใจว่า “หลักการเหตุผลของเซียนกระบี่เฉิน ความหมายตามตัวอักษร ผินเต้าฟังเข้าใจ เพียงแต่เหตุใดเซียนกระบี่เฉินถึงกล่าวเช่นนี้ ความนัยในคำพูดคืออะไร ผินเต้าเหมือนตกอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกจริงๆ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เหยาเซียนจือรู้สึกว่าตัวเองเป็นพวกเดียวกับหลิวเม่า
“หลิวเม่า ผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่ ผู้ฝึกยุทธถามหมัด แบ่งแพ้ชนะ แบ่งเป็นตาย ฝีมือสูงกว่าหนึ่งระดับ ชนะแล้วย่อมเบิกบานใจ ฝีมือสู้คนอื่นไม่ได้ แพ้แล้วต้องยอมรับชะตากรรม แต่หากเจ้ามีใจคิดอยากจะให้ข้าต้องขาดทุน ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่คิดจะเกรงใจเจ้าอีกแล้ว นักพรตหลงโจวที่ฝึกตนมายี่สิบปี บรรลุคัมภีร์เต๋า หลงเดินไปทางผิด สร้างโอสถไม่ได้ ธาตุไฟเข้าแทรก นอนแบ็บป่วยติดเตียง ลมหายใจรวยรินเต็มที รอดก็รอดได้อยู่หรอก แต่สำหรับอักษรคำเขียวที่ลายมืองดงามดุจจรดพู่กันบุปผาผลิบานนั้น ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเขียนไม่ได้อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันหมุนตัวกลับไป หยิบพู่กันขนด้ามนั้นขึ้นมาจุ่มหมึกเล็กน้อย แล้วเริ่มคัดตัวอักษรลงบนกระดาษ เขียนตัวอักษรต่อจากบรรทัดที่หลิวเม่าเขียนไว้ เป็นประโยคว่า แยกทางแบ่งร่าง จำแลงกายตามอำเภอใจ บนเสริมคนที่แท้จริง ฟ้าดินร่วมก่อเกิด
ตอนที่ถือพู่กัน เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรพลางเงยหน้ายิ้มมองหลิวเม่าไปด้วย ตัวอักษรที่ปรากฎบนกระดาษพลิ้วไหวดุจเมฆคล้อยน้ำไหล เป็นไปตามใจปรารถนา ปากก็เอ่ยเนิบช้าว่า “แต่หากอยากจะเขียนจริงๆ อันที่จริงก็ทำได้ ข้าสามารถทำแทนให้ได้ คัดลอกตัวอักษร อย่าว่าแต่รูปร่างที่เหมือนมากเลย ต่อให้เป็นจิตวิญญาณก็ยังคล้ายถึงแปดเก้าส่วน ไม่มีอะไรยาก วาดยันต์ก็ดี คำขอพรก็ช่าง สำหรับสิบปี สำหรับยี่สิบปี คืนนี้ก่อนจะออกไปจากอารามหวงฮวา ข้าล้วนสามารถช่วยเขียนให้ได้ เรื่องคัดตัวอักษรนั้น ข้าทำมานานก่อนจะเริ่มฝึกกระบี่เสียอีก”
หลิวเม่ายิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “วันนี้เซียนกระบี่เฉินมาเยี่ยมเยือน เพราะต้องการถามกระบี่หรือ? ข้าคิดแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ขนาดฮ่องเต้ยังยอมรับนักพรตหลงโจวคนหนึ่งได้ เหตุใดเซียนกระบี่เฉินที่บอกว่าตัวเองเป็นคนผ่านทางมาอย่างท่านถึงยังไม่ยอมเลิกราเช่นนี้”
เฉินผิงอันวางพู่กันลงบนที่ตั้งพู่กันเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “วิถีทางโลกใบนี้ คนที่หลอกผียังมีมากกว่าผีที่หลอกคนเสียอีก องค์ชายสาม เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
เจียงซ่างเจินที่ไม่ได้เป็นเจ้าสำนักของสำนักกุยหยกอีกต่อไป แล้วยังมีพวกคนอย่างหันเจี้ยงซู่ที่ย้ำเตือนตนว่าต้องให้ระวังให้มาก แล้วนับประสาอะไรกับเจ้าสำนักบนภูเขาที่กำลังจะกลายเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่ง
ชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันเดินขึ้นเขาลงห้วยอยู่บนภูเขาล่างภูเขา หนึ่งในที่พึ่งที่ไร้รูปลักษณ์ซึ่งใหญ่ที่สุดก็คือ เคยชินที่จะทำให้ศัตรูตัวฉกาจศัตรูคู่อาฆาตของตนที่ขอบเขตสูงต่ำไม่เท่ากัน กลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ดูแคลนตนไปก่อน เกิดใจประมาทต่อตนก่อนหลายส่วน
ต่อให้วันนี้จะไม่เหมือนวันวาน แต่ควรจะพูดจากำเริบโอหัง พูดจาอำมหิตเมื่อไหร่ ควรจะสร้างวีรกรรมที่สั่นสะเทือนดวงตาสะท้านใจคนเมื่อไหร่ ทำกับใคร ทำที่ไหน ทำเมื่อไหร่ ล้วนต้องให้ข้าเฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจเอง
เซียนเหรินหันอวี้ซู่ตัดสินใจไม่ได้ เฝ่ยหรานที่ใช้นามแฝงว่า ‘เฉินอิ่น’ ก็ยิ่งไม่มีทางทำได้
อาศัยการสังเกตหลิวเม่า ไม่ว่าจะเป็นฝีเท้าหนักเบา ลมหายใจเข้าออก การไหลรินของลมปราณ ความขึ้นลงของสภาพจิตใจ คือผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่ว่าเห็นได้ชัดว่าหลิวเม่าจงใจกดขอบเขตเอาไว้ เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแน่นอนว่ายากมาก แต่หากหลิวเม่าไม่ได้จงใจหยุดยั้งการฝึกตน คืนนี้เจ้าอารามหนุ่มของจวนหวงฮวาก็ควรจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีหวังจะสร้างโอสถทองคนหนึ่งแล้ว ตามกฎของศาลบุ๋น ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนย่อมไม่มีทางเป็นผู้ครองแคว้นได้แน่นอน ปีนั้นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีถูกผู้ถวายงานสกุลลู่สำนักหยินหยางยุยง ละเมิดกฎข้อห้ามใหญ่เทียมฟ้า อีกนิดเดียวก็เกือบจะปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทรไปได้ จุดจบย่อมไม่มีทางดีอย่างแน่นอน จะต้องกลายไปเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยของสกุลลู่
ดังนั้นขอบเขตชมมหาสมุทรของหลิวเม่าในเวลานี้ก็คือการเลือกที่มีการกะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม องค์ชายสามที่เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ทั้งมีพื้นฐานในการฝึกตนมานานแล้ว เลื่อนเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ ดูเป็นการจงใจเกินไป บังเอิญเกินไป หากเป็นขอบเขตประตูมังกร หลังจากขอบเขตถดถอยแล้วโรคที่ตามมาภายหลังจะค่อนข้างใหญ่ หากแสดงออกว่ามีคุณสมบัติ มีภาพปรากฎการณ์ของเซียนดินที่มีหวังว่าจะสร้างโอสถทองได้ ฮ่องเต้สกุลเหยาต้าเฉวียนก็อาจจะเกิดความกริ่งเกรง ดังนั้นขอบเขตชมมหาสมุทรจึงดีที่สุด หลังจากขอบเขตถดถอยแล้ว ความเสียหายย่อมไม่มาก บำรุงด้วยความอบอุ่นให้เหมาะสมก็มากพอจะให้เขาเป็นฮ่องเต้ไปได้สามสิบห้าสิบปีแล้ว
เดิมทีเฉินผิงอันอยากไปพบหลิวฉงที่คุกน้ำของเมืองหลวงมากกว่า แต่พอได้ยินว่านักพรตหลงโจวเป็นขอบเขตชมมหาสมุทร เขาก็เปลี่ยนความคิดทันที
หลิวเม่าไม่มีทางคิดได้แน่นอนว่า เพียงแค่เพราะขอบเขตชมมหาสมุทรที่ ‘ไม่แก่งแย่งชิงดีกับผู้อื่น’ ของตน จะทำให้เฉินผิงอันที่เพียงแค่เดินทางผ่านนครเซิ่นจิ่งถึงกับมาเยี่ยมเยือนอารามหวงฮวาในคืนนั้นเลย
เหยาเซียนจือดื่มเหล้าไปอึกใหญ่ ใช้กาเหล้าเคาะหัวเข่าเบาๆ ด่ามารดาไปคำหนึ่ง จากนั้นเขาที่ไหล่เอียงไปข้างหนึ่งก็ลุกขึ้นยืนช้าๆ เดินไปที่หน้าต่างแล้วผลักหน้าต่างเปิดออก เงยหน้ามองสีท้องฟ้า เอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ฝนจะตกแล้วจริงๆ ด้วย”
“วันหน้าจะขอฝนหรือไม่ ก็ไม่ต้องไปถามกองโหราศาสตร์แล้ว”
——