ตอนที่ 3307

War sovereign Soaring The Heavens

WSSTH ตอนที่ 3,307 : การปะทะกันครั้งแรก

 

 

ในสายตาของศิษย์วังเทียนฉือ วันนี้หากจะถามว่าผู้ใดที่สมควรกระตือรือร้นกับการประลองมากกว่า ก็ไม่พ้นต้องเป็นหานอวิ๋นจิ่น

 

กระทั่งเชื่อว่าสิบในสิบหานอวิ๋นจิ่นสมควรเอาชนะได้แน่ๆ

 

ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกมันเหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็คือ…คนแรกที่มาถึงสังเวียนอัจฉริยะกลับไม่ใช่หานอวิ๋นจิ่น! แต่เป็นต้วนหลิงเทียน ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้าร่วมวังเทียนฉือได้ไม่กี่ปี และพึ่งจะเป็นศิษยย์อัจฉริยะได้ไม่ทันไร!

 

ยังเป็นศิษย์อัจฉริยะอันดับ 1 ในช่วงอายุไม่เกิน 300 ปี!

 

หลังต้วนหลิงเทียนกล่าวทักทายอาวุโสตำหนักลองกระบี่แล้ว เขาก็ยืนหลับตาพักผ่อนรอเวลา ท่าทางแลดูเฉยเมยไม่ยินดียินร้ายใดๆทั้งสิ้น

 

ทำราวกับทุกสิ่งในวันนี้ ก็แค่เป็นอีกวันที่กำลังจะผ่านพ้นไป ไร้ซึ่งความกดดันอะไร

 

“ต้วนหลิงเทียนนั่น…ยังสามารถมั่นใจได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ?”

 

“เฮ่อ คำกล่าวลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวเสือนับว่าใช้ได้จริงๆ มันคงไม่รู้เป็นแน่ว่าหานอวิ๋นจิ่นร้ายกาจเพียงใด…หานอวิ๋นจิ่นจะอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิดแล้ว ความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟก็ล้วนแล้วแต่เข้าใจถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้น…กระทั่งลือกันว่ามันเริ่มตระหนักถึงธรณีประตูของการผสานรวมความลึกซึ้งแล้วด้วย”

 

“ส่วนต้วนหลิงเทียนนั่น จากกลิ่นอายพลังยามเหินบิน เห็นได้ชัดว่าด่านพลังฝึกปรือของมันยังอยู่ในขอบเขตจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบเท่านั้น”

 

“จอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ ที่มีอายุไม่ถึง 300 ปี แต่เข้าใจความลึกซึ้งของกฏมิติถึงขั้นตอนความสำเร็จยิ่งใหญ่หมดสิ้น พรสวรรค์กับความเข้าใจของต้วนหลิงเทียนให้กล่าวท้าทายสวรรค์ก็ไม่เกินเลย กระทั่งในบรรดาศิษย์อัจฉริยะของวังเทียนฉือเรา ยังไม่มีใครเทียบมันได้ด้วยซ้ำ…แต่การท้าหานอวิ๋นจิ่นประลองเป็นตายถึงขั้นไม่ตายไม่เลิกราเช่นนี้ นับเป็นการกระทำอันโง่เขลาโดยแท้…”

 

“เห็นว่าหลังฆ่าฝานฉีได้เมื่อ 3 ปีก่อน เพราะสถานการณ์พาไป มันก็เลยท้าประลองเป็นตายกับหานอวิ๋นจิ่นออกมาอย่างไม่คิด…สมควรขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้มากกว่า”

 

 

ในขณะที่เหล่าศิษย์ของวังเทียนฉือกำลังกระซิบคุยกันอย่างได้รสชาติ ก็ปรากฏร่าง 3 ร่างเหินมาแต่ไกล และทำให้เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่พูดคุยกันระงมปานตลาดสด พร้อมใจกันหุบปากลงทันที…

 

เนื่องเพราะทุกคนหันไปให้ความสนใจกับร่างทั้ง 3 หมดสิ้น

 

“หานอวิ๋นจิ่นมาแล้ว!”

 

“กล่าวไปนับว่ามันมาเร็วไม่น้อย…สมแล้วที่เป็น 1 ใน 5 ศิษย์อัจฉริยะแห่งวังเทียนฉือเรา ช่างมีความมั่นใจในตัวเองสูงนัก!”

 

“ถึงจะมาเร็ว ก็ยังไม่เร็วเท่าต้วนหลิงเทียน”

 

“หึ! ต้วนหลิงเทียนนั่นมันมาหาที่ตาย อย่าได้กล่าวถึง!”

 

 

ร่างทั้ง 3 ที่กำลังเหินมาแต่ไกลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน พวกมันก็คือหานอวิ๋นจิ่นกับศิษย์น้องรอง จ้าวจี้เลี่ย และศิษย์น้อง 3 อู๋ฉวน นั่นเอง

 

จ้าวจี้เลี่ยกับอู๋ฉวนนั้น มักปรากฏตัวอยู่บ่อยครั้งและพวกมันก็มากอัธยาศัยกันไม่น้อย ทำให้มีศิษย์วังเทียนฉือหลายคนรู้จักพวกมันดี

 

อย่างไรก็ตาม วันนี้ทุกคนสังเกตเห็นว่า ท่าทางของทั้งคู่แลดูเคร่งขรึมอึมครึมอยู่บ้าง

 

“ยังมาเร็วกว่าข้าอีกรึ?”

 

เพียงมองปราดเดียวหานอวิ๋นจิ่นก็เห็นร่างในชุดสีม่วงที่ยืนรออยู่บนสังเวียนอัจฉริยะ ทำให้ลูกตาของมันหดเล็กลง มุมปากยกยิ้มแสยะเยียบเย็นขึ้นมา

 

กระทั่งลึกลงไปในแววตายังปรากฏรังสีอำมหิตพวยพุ่งออกมาชัดเจน

 

“หานอวิ๋นจิ่น”

 

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงผ่านพลังหนึ่งส่งตรงถึงหูหานอวิ๋นจิ่น และเสียงดังกล่าวก็ไม่ใช่เสียงแปลกหูสำหรับหานอวิ๋นจิ่นแต่อย่างใด เพราะมันคือเสียงของเหลยจวิ้น ลูกชายคนเดียวของจักรพรรดิอมตะไร้ใจเหลยอิง

 

“อย่าได้ดูเบามันเด็ดขาด…หากทำได้ ให้รีบทุ่มพลังทั้งหมดลงมือฆ่ามันในกระบวนเดียวเสีย! ข้ารู้สึกไม่ชอบมาพากลมาโดยตลอด ต้วนหลิงเทียนมันหาญกล้าท้าเจ้าประลองเป็นตายเช่นนี้ ไม่พ้นมันต้องมีไพ่ตายอันร้ายกาจอะไรบางอย่างแน่!”

 

เหลยจวิ้นนั้นมาถึงได้สักพักแล้ว แต่มันปะปนอยูท่ามกลางเหล่าศิษย์วังเทียนฉือ จนเมื่อเห็นหานอวิ๋นจิ้นมาถึง จึงรีบส่งเสียงผ่านพลังออกไปทันที

 

“เหลยจวิ้น เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องเตือนข้าหรอก”

 

หานอวิ๋นจิ่นเอ่ยผ่านพลังตอบกลับ “ดั่งคำ ‘ราชสีห์จับกระต่ายยังโถมตะครุบไปทั้งตัว’ ข้าไม่คิดเปิดโอกาสให้มันทำอะไรทั้งสิ้น ข้าจักลงมือเต็มกำลังให้มันรับทราบถึงความสิ้นหวัง! ส่งมันไปโลกหน้าในบัดดล!!”

 

“ได้เช่นนั้นก็ประเสริฐ!”

 

หลังตอบผ่านพลังกลับไปสั้นๆ สองตาเหลยจวิ้นที่จับจ้องมองร่างชุดม่วงบนสังเวียนอัจฉริยะก็ทอประกายเยียบเย็น ใบหน้ายังบิดเบี้ยวไปแลดูอัปลักษณ์นัก

 

ในอดีต มันคิดว่าอาศัยพลังของมัน สมควรบดขยี้ชายหนุ่มอายุไม่ถึง 300 ปีได้ง่ายดาย แต่ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าพลังฝีมือที่อีกฝ่ายเผยออกมา จะไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่ามันอีกต่อไป

 

หากปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป…มันจะมีวันเทียบกับอีกฝ่ายได้อย่างไร?

 

‘ศิษย์น้องหญิงฮ่วนเอ๋อ’

 

ไม่นานสาตาของเหลยจวิ้นก็เบนไปตกยังร่างสตรีชุดขาวนางหนึ่งที่ลอยปะปนอยู่กับกลุ่มศิษย์ของฉือหล่าง และสตรีในชุดขาวนางนั้นแม้จะมีผ้าปิดปาก แต่ก็ยากที่ผ้าผืนน้อยจะปกปิดรูปโฉมอันงดงามของยนางได้มิด

 

เหลยจวิ้นก็มองดวงตาทั้งคิ้วคู่งามอย่างเหม่อลอย ลอบกล่าวในใจอย่างมุ่งมั่น ‘เจ้าเป็นของข้า…มีเพียงข้าเท่านั้นที่ครอบครองเจ้าได้ คนอื่นไม่คู่ควรกับเจ้า!’

 

ในขณะที่เหลยจวิ้นหันไปสนใจฮ่วนเอ๋อ

 

ฟุ่บ!

 

หานอวิ๋นจิ่นได้วูบร่างขึ้นไปยืนบนสังเวียนอัจฉริยะทันที เผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน “ต้วนหลิงเทียน ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าโผล่หัวมาที่นี่จริงๆ”

 

และตอนนี้เอง ต้วนหลิงเทียนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน มองหางอวิ๋นจิ่นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยคล้ายคนง่วงหงาวหาวนอน “ในที่สุดเจ้าก็มาได้เสียที…ข้าหลงคิดว่าเจ้าจะกลัวจนไม่กล้ามาซะอีก”

 

“หืม?”

 

ได้ยินคำพูดทั้งเห็นอาการท่าทางของต้วนหลิงเทียน สีหน้าหานอวิ๋นจิ่นก็มืดดำลง สองตาฉายชัดถึงเจตนาฆ่าฟันอำมหิต มุมปากยกขึ้นเผยยิ้มแสยะกล่าวสวนไปว่า “นั่นคือสิ่งที่ข้าสมควรพูดกับเจ้ามากกว่า!”

 

“เลิกพล่ามเหลวไหลได้แล้ว จะทำอะไรก็รีบทำเสีย…ฮ่วนเอ๋อของข้ายังรอให้ข้ากลับไปบ่มเพาะด้วยกันอยู่”

 

ต้วนหลิงเทียนเอ่ยออกเสียงเรียบ

 

และแทบจะทันทีที่วาจานี้ของต้วนหลิงเทียนล่วงล้ำออกจากลำคอ หางตาของเขาก็เหลือบไปมองเหลยจวิ้นที่ซ่อนตัวท่ามกลางฝูงชนทันที จึงสัมผัสได้ชัดเจนว่าหลังเขาพูดเรื่องนี้ออกไป แววตาของเหลยจวิ้นก็ระเบิดรังสีฆ่าฟันออกมา

 

‘เหลยจวิ้นผู้นี้…ต่อไปคิดจะล่อมันมาฆ่านับว่าไม่ง่ายจริงๆ’

 

ต้วนหลิงเทียนลอบคิดในใจ

 

เพราะวันนี้หากเขาฆ่าหานอวิ๋นจิ่นไป เหลยจวิ้นต้องรับทราบได้ทันทีว่าเขาทรงพลังเหนือมันขนาดไหน มันย่อมสำเหนียกตัวและรู้ว่าไม่อาจรับมือเขาเพียงลำพังได้ไหว สุดท้ายก็ไม่พ้นต้องลอบกัด และเอาแต่วางอุบายในที่ลับแน่นอน

 

การฆ่าเหลยจวิ้นจึงจะกลายเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากพอสมควร…

 

เขาไม่อาจฆ่าเหลยจวิ้นโต้งๆอย่างวู่วามได้ เพราะนั่นไม่เพียงแต่จะยั่วโทสะเหลยอิงมารดาของเหลยจวิ้นให้ระเบิดออกมา กระทั่งวังเทียนฉือยังต้องเดือดดาลเป็นแน่

 

ถึงตอนนั้นต่อให้เป็นฉือหล่าง ก็คงไม่อาจปกป้องเขาได้ไหว

 

“การต่อสู้วันนี้ จักเป็นการเผชิญญหน้ากันระหว่างต้วนหลิงเทียนกับหานอวิ๋นจิ่น ที่ต้วนหลิงเทียนได้เอ่ยท้าประลองเป็นตายในรูปแบบไม่ตายไม่เลิกราเอาไว้เมื่อ 3 ปีก่อน…เช่นนั้นจนกว่าจักมีผู้ใดตายตก การประลองจักไม่ถึงกาลยุติ”

 

ตอนนี้เอง อาวุโสแซ่ฉินของตำหนักลองกระบี่ ก็กล่าวประกาศออกมาเสียงดังฟังชัด

 

ทันใดนั้นเหล่าศิษย์วังเทียนฉือทั้งหลายที่มาชมดูเรื่องราวจนมืดฟ้ามัวดิน ก็พากันจับจ้องมองไปยังร่างทั้ง 2 บนสังเวียนอัจฉริยะไม่วางตา ถึงแม้พวกมันจะอยู่ห่าง แต่ก็สูดได้ถึงกลิ่นดินปืนที่คละคลุ้งระหว่างทั้งคู่ชัดเจน

 

“ในเมื่อเจ้ารีบร้อนด่วนตายนัก ข้าจักสงเคราะห์ให้เอง!!”

 

ได้ยินวาจาดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หานอวิ๋นจิ่นก็มีโมโห ประหนึ่งคนหัวร้อนโดนยุ พลังมหาศาลพลันปะทุขึ้นมาท่วมร่างก่อนจะกลับกลายเป็นเพลิงไฟสีแดงร้อนแรง คนคล้ายถูกไฟคลอกก็ไม่ปาน!

 

ซู่มมม!!

 

พริบบตาต่อมา ท่ามกลางสายตาทุกผู้คน ร่างหานอวิ๋นจิ่นที่ลุกท่วมไปด้วยเพลิงไฟ พลันระเบิดพลังเพลิงออกมามหาศาลจนคนคล้ายกลับกลายเป็นเพลิงก้อนเขื่อง จากนั้นก็ห้อเหยียดเข่นฆ่าสังหารเข้าใส่ต้วนหลิงเทียน สร้างเส้นทางเปลวไฟลากยาวตัดผ่านสังเวียนอัจฉริยะ! ให้ความรู้สึกคล้ายคนกลับกลายเป็นอสูรกายไฟตัวใหญ่แยกเขี้ยวยิงฟันควั่นกรงเล็บไปทางต้วนหลิงเทียน!!

 

เผชิญหน้ากับการห้อเหยียดเข้ามาด้วยสภาวะสังหารเกรี้ยวกราดของหานอวิ๋นจิ่น สีหน้าต้วนหลิงเทียนจากเฉยเมยเปลี่ยนเป็นจริงจัง และหลังย่นคิ้วครุ่นคิดอะไรเล็กน้อย เงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวของร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวก็อุบัติขึ้นมาปกคลุมรอบกายทันที

 

พร้อมกันนั้นเอง ในขณะที่ควบแน่นพลังสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว ต้วนหลิงเทียนยังชักนำพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ถ่ายทอดลงสู่ร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิวอย่างแยบคาย ไร้ผู้ใดสัมผัสได้

 

อานุภาพพลังของพฤกษาเทพครองสวรรค์ขั้นที่ 6 พอผสานรวมเข้ากับร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิว ก็ประหนึ่งปลุกชีวิตต้นไม้เทพสนหลิวให้ฟื้นคืน กลับกลายเป็นต้นไม้เทพสนหลิวที่แท้จริงในพริบตา!!

 

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ณ ที่นี้ ไม่ทันที่หานอวิ๋นจิ่นจะเข้าใกล้ถึงตัวต้วนหลิงเทียน ร่างต้วนหลิงเทียนก็ถูกเงาร่างต้นไม้เทพสนหลิวปกคลุมไว้แล้ว แถมเงาร่างที่คล้ายภูตผังเริ่มมีสภาพก่อตัวขึ้นมาอีกด้วย

 

พอหานอวิ๋นจิ่นเข้าใกล้ระยะลงมือ ต้วนหลิงเทียนก็ถูกต้นไม้เทพสนหลิวที่แลดูไม่ต่างอะไรจากของจริงปกคลุมไว้มิดชิดจนมองไม่เห็นคนแล้ว

 

ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ!

 

 

ขณะเดียวกัน เผชิญหน้ากับการโจนทะยานปล่อยพลังสังหารเข้ามาอย่างเกรี้วกราดของหานอวิ๋นจิ่น ต้นไม้เทพสนหลิวก็ตวัดกิ่งฟันฟาดผ่าลมออกไปฉับไว ทุบตีเข้าใส่หาอวิ๋นจิ่นที่คล้ายกลับกลายเป็นบอลเพลิงลูกเขื่องอย่างไร้ครั่นคร้าม!

 

ปงง!!

 

เปรี๊ยงงง!!!

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่นลั่นขึ้น การปะทะระลอกแรกอุบัติขึ้นก่อนจะจบลงในเสี้ยวพริบตา! แต่ท้ายที่สุดแล้วกลับไม่มีผู้ใดเป็นฝ่ายมีเปรียบ หานอวิ๋นจิ่นในสภาพบอลเพลิงลูกเขื่อง หลังปะทะเข้ากับกิ่งต้นไม้เทพสนหลิวสักพัก ก็ผละร่างถอยไป!!

 

ซู่มม!!

 

ครืนนน!!

 

 

จากนั้นคลื่นพลังสะท้อนที่อุบัติจากการปะทะกันของทั้ง 2 ก็ระเบิดออกมา ก่อเกิดเป็นสายลมวิปริตแฝงคลื่นกระแทกอันเกรี้ยวกราด พัดกรรโชกออกไปทั่วสี่ทิศแปดทาง พาลให้เสื้อผ้าของเหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูโดยรอบ สะบัดกระพือพั่บๆ ผมเผ้าวุ่นวายไปหมด

 

เมื่อฝุ่นควันคลื่นลมซาลง ร่างหานอวิ๋นจิ่นก็ปรากฏให้เห็นอีกครั้ง อย่างไรก็ตามพื้นสังเวียนอัจฉริยะใต้ฝ่าเท้าของมัน ยามนี้บังเกิดรอยปริแตกแยกร้าว คล้ายมีไยแมงมุมอันเขื่องแผ่ขยายลุกลามออกไป

 

ต้องทราบด้วยว่าวัตถุดิบสร้างสังเวียนอัจฉริยะนั้นมิใช่หินโง่ๆอันใด ล้วนแล้วแต่เป็นแร่พิเศษหายากไม่ใช่เล่นๆ ถ้าผู้ลงมือพลังฝีมือไม่ถึงขั้นจริง ยังไม่อาจสร้างได้แม้แต่รอยขีดข่วน!

 

“ต้นไม้เทพสนหลิว!?”

 

หลังล่าถอยออกไป หานอวิ๋นจิ่นที่แลเห็นต้นไม้ต้นเขื่องเบื้องหน้าชัดถนัดตา สีหน้าก็เปลี่ยนไปใหญ่หลวง “เจ้า…หรือวันนั้นเจ้าดูดพลังชีวิตของศิษย์น้องข้าไป เพื่อสร้างร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว?!”

 

“อ่า…เรื่องนี้กล่าวไป ข้าต้องขอบคุณฝานฉีศิษย์น้องเจ้าคนนั้นมากจริงๆ”

 

เสียงของต้วนหลิงเทียนดังขึ้นจากภายยในลำต้นของต้นไม้เทพสนหลิว ฟังดูคล้ายหยอกเย้าสนุกสนานอยู่บ้าง “หากไม่ใช่เพราะมันช่วยมอบสารัตถะชั่วชีวิตของมันให้ข้า…วันนี้ข้าก็คงไม่แน่ใจว่าจะสู้กับเจ้าได้จริงๆ”

 

พอต้วนหลิงเทียนกล่าวถึงตรงนี้ กิ่งของต้นไม้เทพสนหลิวก็เริ่มแกว่งไกวไปมา ทำราวกับจะยั่วยุท้าทายหานอวิ๋นจิ่น

 

ขณะเดียวกันนี้เอง ด้านผู้ชมโดยรอบก็ฟื้นความรู้สึกเรียบร้อย

 

“ให้ตายเถอะ ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ กลับมีวิธีควบสร้างร่างอวตารกฏในตำนานจริงๆ?”

 

“โชคของมันจะไม่ท้าทายสวรรค์เกินไปหน่อยหรือ กระทั่งวิธีการเลิศล้ำเข่นนี้มันยังสรรหามาได้…เกิดเป็นคนเหมือนกันไฉนถึงต่างกันนักเล่า!?”

 

“ครั้งก่อนที่มันปะทะกับฝานฉี เดิมทีข้าก็สงสัยอยู่แล้วว่าไฉนยามฝานฉีสู้กับมันในร่างมนุษย์ ยังพอต้านทานรับมือได้พักใหญ่ๆ…แต่พอคืนร่างที่แท้จริงแล้วกลับพลาดเสียทีมันในพริบตา ดูท่าแล้วไม่ใช่เพราะต้วนหลิงเทียนทรงพลังกว่าร่างจริงฝานฉี แต่สมควรมีทักษะลับบางประการที่ใช้สะกดไม่ก็ดูดกลืนร่างที่แท้จริงของฝานฉีมากกว่า…”

 

“ใช่ พวกเจ้าลองสัมผัสกลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากต้นไม้เทพสนหลิวนั่นดูสิ! หากใครไปชมดูการประลองวันนั้นเหมือนข้า น่าจะบอกได้ทันที…ว่าเป็นกลิ่นอายเดีวกับที่แผ่ออกมาจากร่างีท่แท้จริงของฝานฉี! เช่นนั้นกล่าวได้ว่าการตายของฝานฉีเป็นการมอบของขวัญกล่องใหญ่ให้ต้วนหลิงเทียนจริงๆ!!”

 

 

เหล่าศิษย์วังเทียนฉือที่มาชมดูเรื่องราว อดได้ที่จะถอนหายใจออกมาหลังเห็นฉากเรื่องราวเบื้องหน้า

 

กระทั่งซือหม่าอวี้ หลิวไป๋เฟิ่ง กับซุนชิง สองตาก็อดลุกวาวขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเห็นกลวิธีของต้วนหลิงเทียน

 

“ต้วนหลิงเทียนผู้นี้ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง…”

 

ซือหม่าอวี้กล่าวพึมพำ

 

หลิวไป๋เฟิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่สองตานางยังทอประกายวูบวาบไม่หยุด บอกให้รู้ว่าภายในใจของนางก็เต็มไปด้วยอารมณ์ปั่นป่วนไม่น้อย

 

“น่าสนใจจริงๆ”

 

ซุนชิงแต่เดิมที่แลดูเกียจคร้านเอื่อยเฉื่อย ตอนนี้คล้ายจะมีพลังขึงขังขึ้นหลายส่วน

 

“ต้วนหลิงเทียน เจ้าคิดว่าอาศัยร่างอวตารกฏของต้นไม้เทพสนหลิวนี่ แล้วเจ้าจะมีปัญญาฆ่าข้าได้งั้นหรือ?”

 

ใบหน้าหานอวิ๋นจิ่นฉายชัดถึงความเย็นชาก่อน ค่อยยกยิ้มแสยะดูแคลน “หลักจากนี้ ข้าจักให้เจ้ารับทราบว่าความแตกต่างระหว่างจอมราชันอมตะ 5 องค์ประกอบ กับจักรพรรดิอมตะ 1 ต้นกำเนิด มิใช่อันใดที่กฏมิติ 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่เจ้าเข้าใจ หรือร่างอวตารกฏต้นไม้เทพสนหลิว จักกลบถมความต่างได้!!”