บทที่ 761.5 ไม่ถูก

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ก่อนจะจากไป เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางวัดเทียนกง ก้มหน้าลงประนมสองมือขึ้นคารวะ

ชุยตงซานได้แต่ทำตามอาจารย์ พนมมือคารวะแบบลัทธิพุทธอยู่นอกประตูภูเขาอย่างเข้าท่าเข้าที

คนทั้งสองทะยานลมไปช้ามาก เฉินผิงอันเล่ารายละเอียดระหว่างการถามกระบี่ที่เผยหมิ่นกดขอบเขตอยู่แค่ขอบเขตเซียนเหรินให้ฟัง

ชุยตงซานเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วจดจำไว้ในใจเงียบๆ

ชุยตงซานเห็นว่าอาจารย์ไม่พูดอะไรแล้วก็ถามเสียงเบาว่า “ปีนั้นอาจารย์ก็รู้สึกแล้วว่าพ่อบ้านเฒ่าที่ยืนอยู่ข้างกายเกาซื่อเจินผู้นี้ผิดปกติ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “มองตื้นลึกไม่ออก ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก”

ปีนั้นเฉินผิงอันทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ อีกทั้งขอบเขตวรยุทธก็ไม่สูงพอ จำได้แค่ว่าข้างกายเซินกั๋วกงมีผู้เฒ่าถือร่มคนหนึ่งยืนอยู่ บุคลิกหนักแน่นจริงจัง ดังนั้นจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธที่ซ่อนตัวอยู่ในราชสำนักผู้หนึ่ง

ชุยตงซานทอดถอนใจเอ่ยว่า “อาจารย์ลงมือทำอะไรก็ยังคงชอบปฏิบัติกับคนอื่นอย่างมีมารยาทเช่นนี้เสมอ หากเปลี่ยนมาเป็นข้า นิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหนิดๆ ที่เหมือนกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของข้านี้ เหอะ ป่านนี้คงร่ายวิชาหมัดหวังปาใส่เจ้าเฒ่าเผยนั่นไปรอบหนึ่งแล้ว การต่อสู้ในยุทธภพ คนหนุ่มต่อยหมัดส่งเดชก็ยังต่อยให้อาจารย์แก่ๆ ตายได้ หากต่อยเขาไม่ตาย ก็ต้องทำให้เขาตกใจกลัวขวัญหนีดีฝ่อ”

เฉินผิงอันอดไม่ไหวเอ่ยว่า “เวลานี้ต่อให้รวมเจ้ากับข้าเข้าด้วยกัน บวกกับเจียงซ่างเจินอีกคนหนึ่ง รับมือกับเผยหมิ่นคนหนึ่ง โอกาสชนะก็ยังน้อยมากอยู่ดี คนทั้งสามสามารถหนีเอาชีวิตรอดโดยไม่ตายได้ก็ถือว่าพวกเราชนะแล้วหรือ?”

“การแลกชีวิตก็มีวิธีการต่อสู้สำหรับแลกชีวิต หนีเอาชีวิตรอดก็มีเส้นทางของการหนีเอาชีวิตรอด”

ชุยตงซานพยักหน้า แล้วก็ส่ายหน้า ยกสองแขนกอดอก แค่นเสียงหึในลำคอ “วันนี้เป็นอย่างนี้ อย่างมากสุดผ่านไปอีกแค่ร้อยกว่าปีก็ยังคงเป็นพวกเราสามคนที่ไม่ต้องลงมือกันครบทุกคน ไม่ว่าสองคนใดก็ตามร่วมมือกัน อีกคนแค่คอยระวังหลังให้อยู่ไกลๆ ก็สามารถเล่นงานให้เผยหมิ่นไม่มีแม้แต่ที่จะหลบหนีได้แล้ว ได้แต่คุกเข่าร้องอ้อนวอนว่าข้าผู้อาวุโสไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่นะ ยิ่งไม่ใช่โจรเฒ่าเผยหมิ่นที่สมควรโดนแทงพันมีดผู้นั้น ข้าไม่สนิทกับเขาเลยสักนิดเดียว ดังนั้นพวกเจ้าต้องจำคนผิดแน่”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างระอาใจ “ระวังคำพูด”

ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที ก่อนจะหันไปปรบมือเอ่ยชมเชย “ไม่ว่าจะอย่างไร การถามกระบี่ในคืนนี้ เผยหมิ่นยินดีเรียกกระบี่บินทั้งหมดออกมาก็มากพอจะแสดงให้เห็นถึงเวทกระบี่ที่สูงส่งของตาเฒ่าผู้นี้แล้ว ที่สำคัญคือสายตาของเขายังสูงยิ่งกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ‘สุ่ยเซียน’ ที่เหมือนผียิ่งกว่าผีพรายนั่น เผยหมิ่นย่อมไม่มีทางลงมือง่ายๆ อย่างแน่นอน แม้จะบอกว่ากระบี่บินที่พลังพิฆาตสูงที่สุดยังคงเป็น ‘โพ่จิ้ง’ ที่เผยหมิ่นเอาไว้ใช้สังหารผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาในท้ายที่สุด แต่กระนั้นจำนวนครั้งที่เรียก ‘สุ่ยเซียน’ ออกมาก็ยังน้อยที่สุด ช่างเป็นโจรเฒ่าที่มีแผนการลึกล้ำยาวไกลเสียจริง! ดีดลูกคิดไว้เป็นอย่างดี หากการถามกระบี่ของคืนนี้แค่ปล่อย ‘เสินเซียว’ มาเล่มเดียว หรือบวกกับ ‘อีเสี้ยนเทียน’ อีกเล่มก็จะดูขี้เหนียวเกินไปหน่อย เล่าลือออกไปย่อมไม่น่าฟัง รอให้ในอนาคตอาจารย์ไร้ศัตรูทัดเทียมในใต้หล้าแล้ว เผยหมิ่นก็ไม่มีหน้ามาพูดแล้วว่าปีนั้นเคยประมือประลองเวทกระบี่กับอาจารย์อย่างแท้จริงมาก่อน วันนี้ปล่อยสี่กระบี่ออกมาอย่างครบถ้วน วันหน้าเวลาที่เผยหมิ่นเอาไปคุยโวให้คนอื่นฟัง ก็จะมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมแล้ว ชี้แนะเวทกระบี่ ปล่อยกระบี่ออกมาถึงสี่เล่ม? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องทุ่มชีวิตแก่ๆ ไปเกินครึ่ง เพื่อสะสมพละกำลังยามถามกระบี่กับเซียนกระบี่เฉินอย่างเต็มแรง…”

เฉินผิงอันยิ่งมีสีหน้าอ่อนระโหย เอ่ยเสียงเบา “ฟังคำพูดเหลวไหลของเจ้าจนง่วงแล้ว”

ชุยตงซานรีบหุบปากทันใด ไม่รบกวนการพักผ่อนของอาจารย์อีก

ทางฝั่งของห้องทำสมาธิ

เกาซื่อเจินเป็นฝ่ายชิงเดินเข้าหาพ่อบ้านผู้เฒ่า ยื่นมือไปกำแขนของเผยหมิ่นแน่น พูดเสียงสั่นอย่างน่าเวทนาว่า “เหล่าเผย ขอร้องเจ้าช่วยซู่อี้ด้วย!”

เผยหมิ่นมองผู้เฒ่าที่น่าสงสาร อันที่จริงจวนเซินกั๋วกงได้เลือกแม่น้ำสายหนึ่งและภูเขาสูงลูกหนึ่งไว้นานแล้ว ทั้งสองเป็นเพื่อนบ้านกัน

เผยหมิ่นไม่ได้สลัดมือของเกาซื่อเจินออก เพียงแค่เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ท่านเคยคิดหรือไม่ว่า หากไม่เป็นเพราะท่านกริ่งเกรงคำพูดประโยคนั้นของเฉินผิงอันมาโดยตลอด ปีนั้นเกาซู่อี้ที่อยู่ในท้องถิ่น หากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์เทพที่ถูกต้องขึ้นมา บุกเบิกจวนเป็นฝู่จวินเทพภูเขาอะไรนั่น ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ป่านนี้คงตายอีกครั้งไปนานแล้ว ต่อให้พึ่งพากระโจมทัพของเผ่าปีศาจ หรือไม่ก็สวามิภักดิ์ต่อเฝ่ยหรานได้สำเร็จ แอบใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ หากตอนนี้ถูกสกุลเหยาและสำนักศึกษาพลิกบัญชีเก่าขึ้นมา จะมีชีวิตรอดได้จริงหรือ? ไม่ว่าจะอย่างไร เป็นผีหรือเป็นคนก็ควรต้องรู้จักทะนุถนอมความโชคดี”

เกาซื่อเจินสีหน้ามืดทะมึน เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ย “เฉินผิงอันอะไรกัน เขาก็คือเฝ่ยหราน!”

เฉินผิงอันจะใช่เฝ่ยหรานหรือไม่ สำหรับพวกเจ้าแล้ว ทุกวันนี้ยังสำคัญอีกหรือ? อันที่จริงไม่สำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว รักษาอะไรไว้ไม่อยู่สักอย่าง ยังจะต้องการอะไรมากไปกว่านั้นอีกหรือ

เปลืองแรงตนที่จงใจยอมปล่อยให้เฉินผิงอันไม่สลายฟ้าดินเล็กแห่งนั้นออก ทั้งสองฝ่ายเดินเล่นพูดคุยกันเนิ่นนานไปเสียเปล่าๆ

เผยหมิ่นถอนหายใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างก็วูบหายไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “ในเมื่ออายุมากปูนนี้แล้ว ก็ควรจะคิดถึงประโยคเก่าแก่พวกนั้นให้มาก เมื่อแสดงน้ำใจและรักษาสัจจะอย่างถึงที่สุดแล้ว จงดูแลตัวเองให้ดี”

……

อารามหวงฮวา คืนนี้ฝนตกหนักจนน่าตกใจ

หลิวเม่าแค่ถูกผลักออกมาทั้งคนทั้งเก้าอี้ กระดูกบนร่างก็แทบหลุดออกจากกัน กระอักเลือดไม่หยุด ลุกขึ้นยืนโงนเงน ด้านใต้คือเศษซากเก้าอี้ที่ปริแตก

ในห้องมีกระบี่บินเล่มหนึ่งถูกทิ้งไว้ มันลอยตัวอยู่กลางอากาศ หลิวเม่าจำได้ว่าเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่แสงกระบี่เป็นสีเขียวเข้มเล่มนั้นของเฉินผิงอัน

ป้องกันใจคน ขณะเดียวกันก็สามารถปกป้องเหยาเซียนจือที่อยู่ในห้องหลักได้ด้วย

หลิวเม่าชำเลืองตามองคราบเลือดสดที่ติดอยู่บนผนัง สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้ว เฉินผิงอันไม่จำเป็นต้องแสดงละครถึงขั้นนี้ ไม่อย่างนั้นหลิวเม่าก็คงรู้สึกว่าเซียนกระบี่ท่านนี้ ไม่ใช่ว่าสมองไม่ค่อยดี แต่เพราะเบื่อหน่ายเกินไป สมองมีรู

หากจะบอกว่ามีหรือไม่มีกระบี่บินเล่มหนึ่ง ก็คือร่องแบ่งที่แยกระหว่างผู้ฝึกกระบี่กับผู้ฝึกลมปราณ

ถ้าอย่างนั้นเซียนดินพสุธาคนหนึ่งจะสามารถมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือได้อย่างผ่อนคลายหรือไม่ ก็คือหินฝนทอง (มาตรการทดลอง/ทดสอบที่แม่นยำ) ที่ทดสอบคุณสมบัติดีเลว เวทคาถาสูงต่ำของเซียนดินคนหนึ่ง และสามารถร่ายเวทคาถาจักรวาลในชายแขนเสื้อได้หรือไม่ ก็คือความต่างที่ค่อนข้างชัดเจนระหว่างผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบกับเซียนดินห้าขอบเขตกลางสองขอบเขตอย่างโอสถทองและก่อกำเนิด ถ้าอย่างนั้นนอกจากก่อตั้งสถานศึกษา อารามเต๋า วัดและซากปรักสนามรบที่สามลัทธิและสำนักการทหารแยกกันเฝ้าพิทักษ์ รวมไปถึงค่ายกลขุนเขาสายน้ำของศาลบรรพจารย์ตระกูลเซียนที่มีผู้ฝึกลมปราณนั่งเฝ้าพิทักษ์แล้ว ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนคนหนึ่งจะสามารถสร้างฟ้าดินขนาดเล็กสมบูรณ์แบบที่มหามรรคาไร้ช่องโหว่แห่งหนึ่งได้หรือไม่ อันที่จริงขอบเขตสูงต่ำมิอาจตัดสินเรื่องนี้ได้ มีขอบเขตหยกดิบบางคนที่คุณสมบัติล้ำเลิศจึงสามารถสร้างฟ้าดินเล็กขึ้นมาได้ แต่ก็มีผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานบางส่วนที่กลับกลายเป็นว่าทำเรื่องนี้ไม่ได้

ในฐานะองค์ชายต้าเฉวียน เกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตน หลิวเม่ายังจะพอรู้เรื่องวงในบนภูเขาอยู่บ้าง

เรื่องแรกที่หลิวเม่าทำหลังจากลุกขึ้นยืน คือเดินไปยังชั้นวางหนังสือแห่งนั้น ปรับเปลี่ยนตำแหน่งของตำราทุกเล่มใหม่โดยละเอียด หลังจากแน่ใจว่าพวกมันเป็นปกติดังเดิมแล้ว ในใจหลิวเม่าถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

เพียงแต่เมื่อเขามองเห็นจุดที่ว่างเปล่าบนชั้นหนังสือ หลิวเม่าไม่ได้เสียดายหนังสือเล่มอื่น แต่กลับเสียดายหนังสือที่เป็นวิชาคำนวณพวกนั้นอย่างมากจริงๆ เขาชำเลืองมองเศษซากเก้าอี้ที่กองกันอยู่ ในใจของหลิวเม่าก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์เท่าใดนัก แต่ว่าไม้กวาดและที่โกยขยะล้วนอยู่ในห้องของลูกศิษย์ทั้งสอง ส่วนวางอยู่ตรงไหนนั้น เขาไม่เคยสนใจมาก่อน อยู่ดีๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าเฉินผิงอันผู้นั้นถึงกับสังเกตเห็นราวไม้ไผ่ที่ใช้ตากผ้า พอเปรียบเทียบกันเช่นนี้ หลิวเม่าก็รู้สึกห่อเหี่ยวเล็กน้อย พ่ายแพ้ให้คนผู้นี้ เดินเข้าไปในกับดักที่อีกฝ่ายตั้งใจวางไว้ทีละก้าว ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่จริงๆ

ใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วางแผนอย่างยากลำบาก เป็นคนที่มีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มท้อง ผลกลับกลายเป็นว่ายังไม่อาจสู้คนดีที่ฉลาดได้ เรื่องนี้จึงค่อนข้างจะน่าจนใจแล้ว

หลิวเม่าไม่เคยรู้สึกทดท้อทอดอาลัยเช่นนี้มาก่อน สภาพจิตใจเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าหมดสิ้นแรงกายแรงใจอะไรแล้ว ต่อให้ปีนั้นจะถูกหลิวเจินผู้เป็นบิดาในนาม แต่แท้จริงแล้วคือพี่ชาย รื้อสะพานหลังข้ามแม่น้ำ พระราชโองการปลอมแผ่นหนึ่งก็ไล่ตนให้มาอยู่ในอารามหวงฮวาที่ถูกทิ้งร้างได้แล้ว หลิวเม่าในเวลานั้นก็ยังไม่เคยหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้มาก่อน ยังคิดว่าเมื่อพี่ชายนั่งเก้าอี้มังกรได้อย่างมั่นคงแล้ว วันใดวันหนึ่งจะต้องจดจำได้ถึงความมีประโยชน์ของเขา ภายหลังพี่ชายที่เพิ่งเปลี่ยนชุดสวมใส่ได้แค่ไม่กี่ปีแอบกอบโกยเอาเงินในท้องพระคลังไปจนหมดแล้วเผ่นหนีไป การที่ไม่ไปพาเหยาจิ้นจือไปด้วย ตามคำกล่าวของเฝ่ยหรานในปีนั้น ดูเหมือนว่ามองดูคล้ายพี่ชายจะเป็นคู่สร้างคู่สมกับเหยาจิ้นจือ แต่แท้จริงแล้วชะตากลับไม่สมพงศ์กัน? ถ้าเช่นนั้นสรุปแล้วปีนั้นเป็นใครกันที่เปลี่ยนแปลงและปิดบังดวงชะตา ก็กลายมาเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุดแล้ว ยอดฝีมือสกุลเกา? หลิวฉง? เกาซื่อเจินเซินกั๋วกง?

หลิวเม่าเองก็ไม่สนว่ากระบี่บินเล่มนั้นจะฟังเข้าใจหรือไม่ เขาเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่หนีไปไหนหรอก” จากนั้นก็ผลักหน้าต่างออก ตะโกนเรียกว่า “ใต้เท้าเจ้าเมือง ในห้องหลักมีเหล้าอยู่ เอามาสักสองสามกา พวกเรามาคุยกันเถอะ”

เหยาเซียนจือลุกขึ้นแล้วเดินไปยังหน้าประตูของห้องหลัก “อาจารย์เฉินล่ะ?”

หลิวเม่าตอบ “มีธุระให้ต้องไปทำก่อน ให้เจ้ารอเขา หากเจ้ากังวลกับสภาพการณ์ของตัวเอง รู้สึกว่าอาจารย์เฉินถูกข้าสังหารไปแล้วหรือไม่ ก็กลับไปก่อนได้ ข้าจะไม่ขวาง”

เหยาเซียนจือหัวเราะหยัน “องค์ชายสามไม่ไปเป็นนักเล่านิทานที่ตั้งแผงอยู่ใต้สะพานลอยก็ช่างสิ้นเปลืองพรสวรรค์เสียจริง”

เหยาเซียนจือลังเลเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินไปยังริมห้อง ค้นหีบรื้อชั้นหาสุรา ก่อนจะใช้มือหนึ่งหิ้วกาเหล้ามาสองกา เดินเร็วๆ ลงจากขั้นบันไดมาที่ห้องด้านข้างแห่งนี้ พอเข้ามาในห้อง ชำเลืองตามองคราบเลือดบนผนังแวบหนึ่งแล้วก็โยนกาเหล้าหนึ่งกาให้หลิวเม่าโดยที่ไม่แสดงสีหน้ากระโตกกระตาก

หลิวเม่ารับกาเหล้ามาแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทั้งไม่คิดจะต่อสู้กับข้าสุดชีวิต แล้วยังไม่รีบร้อนจะเรียกคนเข้ามา ใต้เท้าเจ้าเมืองหนักแน่นสุขุมกว่าที่ข้าคิดไว้หลายส่วนเลยทีเดียว”

เหยาเซียนจือหัวเราะเย็นชา “ข้าก็แค่เชื่อในตัวอาจารย์เฉิน ด้วยสมองอันน้อยนิดของเจ้า ไม่พอกับฝ่ามือหนึ่งของอาจารย์เฉินด้วยซ้ำ”

หลิวเม่าเปิดกาเหล้า จิบเหล้าหนึ่งคำ หลายปีเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ดื่มสุรา รู้สึกเพียงความเผ็ดร้อน ยากจะกลืนลงคอได้ เขากระแอมไออยู่สองที ใช้หลังมือเช็ดมุมปาก เอนหลังพิงโต๊ะหนังสือ ยิ้มถามว่า “ในที่ว่าการของท่านเจ้าเมือง น้ำมันเก่ารับมือได้ไม่ง่าย ตะปูนิ่มก็คงไม่อร่อยกระมัง?”

เหยาเซียนจือเพียงแค่ดื่มเหล้า ไม่ตอบคำ

สมองของหลิวเม่าไม่ดีก็แค่ยามที่อยู่กับอาจารย์เฉินเท่านั้น แต่พอมาอยู่กับตน เหยาเซียนจือกลับรู้สึกว่าอีกฝ่ายหัวดีมาก

หลิวเม่าพูดกลั้วหัวเราะคล้ายคุยเล่นกับสหายเก่าแก่คนหนึ่งบนโต๊ะสุรา “ตอนที่เพิ่งจะได้เป็นเจ้าเมือง เจ้าก็เคยมีปณิธานอันยิ่งใหญ่ฮึกเหิมใช่หรือไม่ แรกเริ่มก็ราบรื่นดีอยู่หรอก ผลกลับต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่โดยที่ไม่ทันตั้งตัวแม้แต่น้อย? สุดท้ายยังค้นพบอีกว่าตัวเองเป็นฝ่ายไร้เหตุผลจริงๆ? จากนั้นบรรยากาศทั่วทั้งบนและล่างที่ว่าการก็เปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด? เหยาเซียนจือ เจ้าคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองอยู่ตรงไหน?”

เหยาเซียนจือตัดสินใจแล้ว เจ้าพูดจาเหลวไหลของเจ้าไป ข้าผู้อาวุโสจะแค่ดื่มเหล้าของข้าเท่านั้น

หลิวเม่าถามเองตอบเอง “เจ้าให้ความสำคัญกับสถานะของลูกหลานสกุลเหยาเกินไป ยิ่งเจ้าให้ความสำคัญ พวกคนที่ฝึกฝนตนเองจนกลายเป็นยอดฝีมือในด้านงานหลวงพวกนั้นก็ยิ่งรู้ว่าควรจะจัดการกับใต้เท้าเจ้าเมืองอย่างไร ยิ่งเจ้าไม่ทิ้งระยะห่างกับเหยาเซียนจือแม่ทัพบนสนามรบเท่าไร เจ้าก็ยิ่งรับมือกับวงการขุนนางที่ไม่มีแสงดาบเงากระบี่ มองดูคล้ายสมัครสมานกลมเกลียวได้ยากมากเท่านั้น แต่ข้าเองก็รู้ว่า สิ่งเหล่านี้เพียงแค่ทำให้เจ้าชนกำแพง รู้สึกอัดอั้นเท่านั้น สิ่งที่ทำให้ใจของเจ้าตระหนกลนอย่างแท้จริง คือการกระทำของพวกสหายร่วมรบมากกว่า เจ้ารู้ว่ามีหลายเรื่องที่พวกเขาทำไม่ถูก แต่เจ้าไม่รู้สักนิดว่าจะโน้มน้าวอย่างไร จะเปิดปากพูดอย่างไร ควรจะเก็บกวาดอย่างไร…”

เหยาเซียนจือเงยหน้าขึ้น สีหน้ามืดทะมึน พูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าหุบปากให้ข้าผู้อาวุโสเดี๋ยวนี้!”

หลิวเม่ายิ้มบางๆ “อันที่จริงวิถีแห่งการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในวงการขุนนาง ฮ่องเต้สามารถสอนเจ้าได้ ด้วยความเฉลียวฉลาดของนางแล้ว ก็จะต้องสอนจนเจ้าเป็นแน่นอน เพียงแต่ว่านางยุ่งเกินไป อีกทั้งเจ้ายังขาเป๋แขนด้วน อีกทั้งอายุยังพอๆ กัน ดังนั้นนางถึงได้ยุ่งเกินไป ใต้เท้าเจ้าเมืองที่ทำหน้าที่ตรวจตราป้องกันเมืองหลวงเช่นนี้ แม้จะบอกว่าทำอะไรไม่ราบรื่น แต่ฮ่องเต้กลับวางใจอย่างมาก อย่าถลึงตาใส่ข้าสิ ไม่แน่เสมอไปว่าเหยาจิ้นจือจะคิดเช่นนี้ นางทำแบบนี้เพราะอาศัยสัญชาตญาณ ไม่จำเป็นต้องให้นางคิดมากความเลยด้วยซ้ำ ก็เหมือนกับปีนั้นที่สรุปแล้วฮ่องเต้หลิวเจินตายอย่างไร ท่านปู่ของเจ้าถูกลอบฆ่าได้อย่างไร นางเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ตัวเองคิดมากเช่นกัน ความโชคดีที่มีมาเนิ่นนาน บวกกับลางสังหรณ์ที่แม่นยำมาโดยตลอดของนาง ก็คือโชคอย่างหนึ่ง”

“ส่วนเหยาหลิ่งจือนั่น สอนเจ้าไม่สู้ไม่สอนยังดีกว่า อยู่ร่วมกับเหล่าผู้กล้าของยุทธภพ นางยังพอถูไถ แต่พอมาถึงวงการขุนนางก็มืดแปดด้านเหมือนกัน สตรีผู้นี้เป็นคนดี แต่ก็โง่ไปหน่อย น่าเสียดายที่สายตาในการเลือกบุรุษกลับไม่ได้เรื่อง แต่งงานกับหมอนปักลายบุปผาที่มีแต่กลิ่นอายของบัณฑิต ได้ยินมาว่ามีรูปโฉมภายนอกหล่อเหลา แล้วยังเป็นทั่วฮวาหลางอีกด้วย? ผลกลับกลายเป็นว่าพลอยไปกับหลี่ซีหลิง คอยตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับเจ้าทุกเรื่อง เพื่อหวังใช้สิ่งนี้มาสร้างชื่อเสียง จะได้ยึดครองพื้นที่ดีๆ ในวงการขุนนางน้ำใส? โง่หรือไม่ ทำเอาหลี่ซีหลิงไม่กล้าใช้งานเขาในเรื่องที่สำคัญเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่หลี่ซีหลิงต้องการ ก็คือคนกันเองที่ยืนอยู่ข้างกายของเจ้าเมืองเหยา เมื่อเป็นเช่นนี้ ตำแหน่งเจ้าเมืองคนถัดไปต่อจากเจ้า เขาก็แค่ต้องผลักไปด้านนอกให้สุดแรง ใช้สองมือบวกกับสองเท้า ขอแค่เจ้าเด็กนี่ถูกผลักทิ้งไปได้ ก็จะถือว่าข้าแพ้”

“อืม ถึงกับไม่ได้ถลึงตาใส่ข้า ดูท่าเจ้าเองก็คงคิดแบบนี้เหมือนกัน ไม่ต้องสนว่าเป็นคนดีหรือคนเลว แต่สรุปก็คือมีความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน พวกเรามาชนแก้ว ดื่มกันสักอึกดีไหม?”

หลิวเม่ายกกาเหล้าที่อยู่ในมือขึ้น ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ

เหยาเซียนจือไม่ดื่มเหล้าอีก เพียงแค่เหล่ตามองนักพรตหลงโจวผู้นี้ “เจ้าคนนี้หากไส้ยังไม่เละไปหมด (เปรียบเปรยว่าเป็นคนชั่ว มีแต่ความคิดชั่วร้าย) เป็นเจ้าเมืองของเมืองหลวงก็มากพอเหลือแหล่เลยจริงๆ”

หลิวเม่ากระตุกมุมปาก ยื่นสองนิ้วออกมากระตุกชุดคลุมลัทธิเต๋าเรียบง่ายบนร่าง “เจ้าเมือง? อาจารย์เฉินที่เจ้าเลื่อมใสเป็นที่สุดเรียกข้าว่าอย่างไร องค์ชายสาม จวิ้นหวังขั้นหนึ่งชั้นโทอย่างเจ้าทัดเทียมได้หรือ? ขุนนางบุ๋น แม่ทัพบู๊ ยุทธภพ ข้าล้วนได้ยึดครองหนึ่งส่วนเพียงลำพัง เจ้าอย่าลืมล่ะว่า ก่อนที่ข้าจะออกจากเมืองหลวงไปเยือนจวนจินหวงของเป่ยจิ้นแห่งนั้น ใครกันที่เสียเวลาถึงสามปีเต็มเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ไปทั่ว ช่วยแต่งตำรา ‘จารึกภูมิศาสตร์เล่มบางยิ่งใหญ่แห่งหยวนเจินสิบสองปี’ ที่มีมากถึงสี่ร้อยฉบับให้กับราชวงศ์ต้าเฉวียนของพวกเราอยู่เบื้องหลังอย่างลับๆ?”

——