ตอนที่ 1770: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (4)

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1770: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (4)

ในส่วนลึกของเหมือง เจี้ยนเฉินนั่งอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาศที่หนาแน่นและเป็นจุดรวมพลังงานดั้งเดิมอันบริสุทธิ์จากสภาพแวดล้อมรอบ ๆ มันรวมตัวกันอย่างรวดเร็วจากการดูดซับของเจี้ยนเฉิน ทำให้รอบ ๆ ตัวของเจี้ยนเฉินมีบรรยากาศที่เกือบจะกลายเป็นของแข็ง มันกลายเป็นรังไหมที่เกิดมาจากการควบแน่นพลังงานดั้งเดิมด้วยบรรยากาศที่ล้อมรอบเจี้ยนเฉิน

ท้ายที่สุด เจี้ยนเฉินได้อยู่ในที่ ๆ เป็นเหมืองเหรียญผลึกระดับสูง มันมีเหรียญผลึกระดับสูงจำนวนมากซ่อนอยู่ในหินรอบ ๆ ตัวของเขา เทียบได้กับว่าเขานั่งอยู่บนเหรียญผลึกระดับสูง ด้วยระดับของพลังงานดั้งเดิมที่รวบรวมอยู่นี้ มันทำให้ทุกคนที่เห็นต้องตกตะลึง

เจี้ยนเฉินเป็นเหมือนดั่งหลุมดำ ขณะที่เขาดูดซับพลังงานดั้งเดิมจากเหรียญผลึกระดับสูงรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว เมื่อพลังงานดั้งเดิมจำนวนมาหาศาลถูกดูดซับและกลั่นสกัด เม็ดพลังบรรพกาลก็ค่อย ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

แม้ว่าเม็ดพลังบรรพกาลจะเพิ่มขึ้นช้ามากเพียงเล็กน้อยในแต่ละวัน แต่มันก็เป็นอัตราที่ไม่น่าเชื่อสำหรับเจี้ยนเฉินที่ครอบครองร่างบรรพกาลมาหลายปี มันเร็วกว่าตอนที่ดูดซับพลังจากศิลาเซียนหยินหยางหรือพลังจากจิตมาร

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพลังงานดั้งเดิมที่บริสุทธิ์ซึ่งอยู่ในเหรียญผลึกระดับสูงที่เขาดูดซับ แถมพวกมันยังดูดซับง่าย แต่การกลั่นพลังงานของมันก็ลำบากเพียงเล็กน้อยเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้เม็ดพลังบรรพกาลของเจี้ยนเฉินได้เติบใหญ่ขึ้น จากขนาดเท่าไข่นกพิราบมาเป็นไข่ไก่ในเวลาเพียง 3 เดือนที่เขาพ่มเพาะที่นี่

“ด้วยระดับความเร็วนี้ เม็ดพลังบรรพกาลของข้าอาจจะมาถึงขีดจำกัดของขั้นที่เก้าในหนึ่งปี” เจี้ยนเฉินคิด ในเวลาเดียวกันเขาก็ตื่นเต้นเล็กน้อย เขามีความต้องการที่จะทะลวงสู่ขั้นที่ 10 ของร่างบรรพกาล

ขั้นที่ 9 ของร่างบรรพกาลทำให้ระดับการบ่มเพาะของเขาเทียบเท่าขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น เมื่อเขาทะลวงไปยังขั้นที่ 10 ระดับการบ่มเพาะของเขาจะเท่ากับขั้นเทพจริง ๆ

แม้ว่าขั้นที่ 10 ของร่างบรรพกาลจะไม่อาจเพิ่มระดับการบ่มเพาะให้เท่ากับขั้นเหนือเทพได้ แต่ความสามารถของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ท้ายที่สุดเพียงแค่ความแข็งแกร่งของร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 จึงจะสามารถทนทานต่อการโจมตีของขั้นเทพได้ แม้ว่าเขาจะไม่ป้องกันหรือหลบก็ตาม ขั้นเทพก็ไม่อาจทำร้ายเขาได้เลย

ขั้นที่ 10 ของร่างบรรพกาลนั้นทรงพลังอย่างมาก แม้แต่ขั้นเทพปกติที่ใช้การโจมตีเต็มกำลัง มันก็ไม่อาจผ่านชั้นผิวหนังของเขาได้ ต่อให้พวกเขาต้องสังเวยเลือดเพื่อทำให้การโจมตีเหนือชั้นไปยิ่งขึ้น ร่างบรรพกาลก็สามารถทนได้

นี่เป็นข้อได้เปรียบของร่างบรรพกาล

ผู้บ่มเพาะร่างบรรพกาลคนไหน ๆ ก็สามารถบอกได้ว่าไร้พ่ายในขอบเขตเดียวกัน มีเพียงอัจฉริยะเท่านั้นที่จะสามารถท้าทายพวกเขาได้ แต่ถึงอย่างนั้นส่วนใหญ่ร่างบรรพกาลจะชนะพวกเขามากกว่าแพ้

แน่นอนว่าการไร้พ่ายในขอบเขตเดียวกันไม่ใช่เป็นการแข็งแกร่งที่สุดในขอบเขตเดียวกัน ตราบใดที่เขาสามารถเอาชนะ 99 ใน 100 คนของผู้ที่อยู่ในขอบเขตเดียวกันได้และสามารถสู้กับผู้ที่ในขอบเขตที่เหนือกว่าได้ พวกเขาก็จะได้ฉายาไร้พ่าย

นี่เป็นเพราะมีคู่ต่อสู้น้อยเกินไปในขอบเขตเดียวกับพวกเขา ถึงแม้จะเป็นที่ราบกันหรือดาวเคราะห์ มันก็มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

ไม่มีอะไรเกิดขึ้นขณะที่เจี้ยนเฉินบ่มเพาะ ผู้คนในแคว้นตงอันไม่ได้มารบกวนเขา ทำให้เจี้ยนเฉินประหลาดใจเล็กน้อย

โดยปกติแล้วเจี้ยนเฉินก็ยังไม่ทราบเหตุผลที่ว่าทำไมเขาสามารถบ่มเพาะได้อย่างสงบหลังจากที่เขาครอบครองเหมือง นั้นเป็นเพราะสิ่งที่ปิงเหลาบอกกับหนานหยุนตง

พริบตาเดียวอีก 15 เดือนก็ผ่านไป เจี้ยนเฉินได้บ่มเพาะที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่งเข้าไปแล้ว

เม็ดพลังบรรพกาลของเขาในที่สุดก็มีขนาดเท่ากับกำปั้นเด็กหลังจากที่บ่มเพาะมากกว่าหนึ่งปีครึ่ง เขามีถึงขีดจำกัดของขั้นที่ 9 ในเวลานี้การบ่มเพาะที่เขาเคยฝึกฝนนั้นได้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่เขาฝึกฝนในทวีปเทียนหยวนหลายเท่านัก

อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่ได้หยุดแค่นี้ เขายังคงดูดซับพลังงานดั้งเดิมต่อไปอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายจากนั้นอีกประมาณครึ่งเดือน ปริมาณของพลังบรรพกาลที่เขาครอบครองอยู่ก็ได้เกิดพลุ่งพล่านและทำร้ายร่างบรรพกาลของเขาอย่างรุนแรง ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรงขึ้นทันทีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น หน้าผากของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อเย็น

หยดเลือดที่หลั่งรินออกมาจากพลังของเขา ในขณะที่พวกมันเต็มไปด้วยพลังงานอย่างมาก ทำให้เจี้ยนเฉินเนื้อตัวตอนนี้ชุ่มไปด้วยเลือด

การบ่มเพาะของร่างบรรพกาลต้องอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานจากการปรับแต่งร่างกายทุกครั้งที่พวกเขาทะลวงขั้น ในขณะเดียวกันความคงทนของร่างกายก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในแต่ละขั้นที่ทะลวง

พลังบรรพกาลนั้นโหดร้ายอย่างมาก หากไม่มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอดทนต่อพลังบรรพกาล ดังนั้นในการทะลวงในแต่ละครั้ง พลังบรรพกาลจะมีพลังมากขึ้นและทำลายความสมดุลของร่างกาย มันจะทำร้ายร่างกายขณะโคจรมัน ดังนั้นมันจึงเป็นความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างมาก

เพียงเมื่อร่างบรรพกาลมาถึงระดับเดียวกับพลังบรรพกาลที่มีพลังเพิ่มขึ้น พลังบรรพกาลก็ไม่อาจทำร้ายร่างกายได้ขณะที่โคจรพลังอีกต่อไป ความเจ็บปวดก็หายไป

นี่เป็นจุดอ่อนของร่างบรรพกาลปกติ ผู้ครอบครองร่างบรรพกาลต้องอดทนต่อการปรับแต่งร่างกายของพวกเขาหรือจากความเจ็บปวดเจียนตายจากการแตกสลายของเม็ดพลังบรรพกาล 18 ครั้ง

หลายวันต่อมาเจี้ยนเฉินเดินออกจากเหมืองพร้อมกับชุดขาวชุดใหม่ หนึ่งปีครึ่งที่ผ่านมา ครึ่งนึงของเหมืองได้สูญเสียเหรียญผลึกทั้งหมดทำให้กลายเป็นภูเขาปกติ

ห่างออกไปหลายกิโลเมตร ดวงตาของเฉินเจี้ยนเปิดขึ้นทันที เมื่อเขาเห็นเจี้ยนเฉินเดินออกมาจากเหมือง ทันใดนั้นเขาก็หายตัวออกไปจากยอดเขา เมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งเขาก็มาถึงตรงหน้าเจี้ยนเฉินแล้ว

ดวงตาของเฉินเจี้ยนเปล่งประกายสดใสขณะที่มองเจี้ยนเฉิน วิถีการบ่มเพาะของเจี้ยนเฉินนั้นแตกต่างกันมาก จริง ๆ แล้วเขาไม่อาจบอกได้ว่าความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินเป็นอย่างไร เขาสามารถรู้สึกได้เพียงราง ๆ ว่าพลังของเจี้ยนเฉินนั้นมีมากกว่าแต่ก่อน

ในเวลาเดียวกันร่างกายที่ปราดเปรียวของเขาดูเหมือนจะมีพลังที่น่ากลัวและทรงพลังอย่างมาก

“เจ้าทะลวงผ่านแล้ว ? ” เฉินเจี้ยนถามเจี้ยนเฉิน

เจี้ยนเฉินยิ้มน้อย ๆ และพูดว่า “ลองโจมตีข้าดู”

จากนั้นก็เกิดประกายแสงแวบผ่านดวงตาของเฉินเจี้ยน พริบตากระบี่เมฆหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขาในเวลาเดียวกัน เขาควงกระบี่แทงไปที่เจี้ยนเฉินในพริบตาพร้อมกับพลังแห่งกฏของกระบี่

เนื่องจากเฉินเจี้ยนรู้ว่าเจี้ยนเฉินทรงพลังขึ้นมาก เขาก็ไม่กล้าออมมือของเขาแม้ว่าเขาจะไม่ได้ใช้ทักษะการต่อสู้ออกไป

ด้วยระดับความเข้าใจของขั้นเทพช่วงปลายและการบ่มเพาะในขั้นเทพช่วงต้นของเขา การโจมตีของเขาไม่ด้อยไปกว่าขั้นเทพช่วงกลาง มันแข็งแกร่งกว่าขั้นเทพช่วงกลางธรรมดาเสียอีก

นี่เป็นเพราะเขาเข้าใจกฏของกระบี่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหนึ่งในกฏที่ทรงพลังมากที่สุด