หลูเป่ยกู้ เว่ยจื่อหยา คุนจิ่วหลิน เหวินฉิงเสวี่ย ถังซู…

มกุฎมหาอริยะแต่ละคนบ้างมีชื่อเสียงเกรียงไกร บ้างฝีมือเลิศล้ำอัศจรรย์ ทำให้ในใจหลินสวินทอดถอนใจไม่หยุดอย่างอดไม่ได้

ทันใดนั้นสายตาของหลินสวินก็เหลือบไปเห็นเงาร่างที่คุ้นเคยหนึ่ง กำลังมุ่งมาจากจุดที่ห่างออกไปพร้อมผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งโดยไม่ได้ตั้งใจ

นั่นคือหญิงสาวคนหนึ่งที่ใบหน้าดั่งหยกงาม นัยน์ตาดุจน้ำพุใสสะอาด สวมชุดกระโปรงสีเขียวน้ำทะเล งามพริ้งเพรา ดูเรียบร้อย รูปโฉมโดดเด่น

เจียงเหิง!

ผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีแห่งทางเดินโบราณฟ้าดารา

ตอนนั้นที่สมรภูมิเซียนเหินในสมรภูมิเก้าดินแดน ด้วยสาเหตุที่หลินสวินเก็บ ‘เถาวัลย์หยกนภาค่ำ’ ไป จึงทำให้เจียงเหิงมองตนเป็นศัตรูและอยากฆ่าฟัน

เพียงแต่หลินสวินก็คิดไม่ถึง ว่าจะได้เจอฝ่ายตรงข้ามอีกครั้งที่ริมแม่น้ำเซียนเหินนี้

เกือบจะเวลาเดียวกัน เจียงเหิงก็มองเห็นหลินสวินได้ในปราดเดียว

นัยน์ตาคู่งามของนางเบิกกว้าง คล้ายผิดคาดยิ่งนัก ไม่นานความโกรธที่บอกไม่ถูกก็ผุดขึ้นในใจ

เจ้าหัวขโมยที่ปล้น ‘โอสถเทพ’ ของสำนักไปคนนี้ ถึงกับกล้าปรากฏตัวอย่างวางมาดเช่นนี้ ช่างรนหาที่ตายซะจริง!

มุมปากหลินสวินพลันกระตุก สื่อจิตบอกอาหูอย่างรวดเร็ว ‘เตรียมตัวให้พร้อม ฐานะของข้าอาจถูกเปิดโปงออกมาได้’

นัยน์ตาอาหูหดรัด พยักหน้าน้อยๆ อย่างไร้ร่องรอย

แต่เหนือความคาดหมายของหลินสวิน ไม่ทันไรเจียงเหิงก็เก็บสายตาไป ไม่ใส่ใจหลินสวินอีกราวกับมองข้าม

แต่กลับมีเสียงสื่อจิตที่ชัดกระจ่างเยียบเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างหูหลินสวิน

‘เจ้าหัวขโมย กังวลมากใช่ไหม ว้าวุ่นใจมากรึ หากข้าเปิดเผยฐานะของเจ้า เจ้าเชื่อไหมว่าเหล่าผู้แข็งแกร่งในที่นี้ต้องกลืนกินเจ้าทั้งเป็นโดยไม่ลังเลแน่’

น้ำเสียงเจือความเกลียดชัง ยังมีความลำพองสายหนึ่ง คิดเอาเองว่าจับจุดอ่อนของหลินสวินได้แล้ว

คนที่สื่อจิต แน่นอนว่าเป็นเจียงเหิง

หลินสวินสีหน้าราบเรียบสื่อจิตกล่าว ‘ข้าว่าเจ้าแทบอยากจะกลืนกินข้าทั้งเป็นแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ต่อให้เจ้าร้อง ร้องจนคอแตกก็ขู่ข้าไม่ได้หรอก’

‘เจ้า…’

คิ้วเรียวยาวของเจียงเหิงตวัดขึ้น โกรธจนกัดฟันกรอด นัยน์ตาคู่งามแทบลุกเป็นไฟ ‘เจ้าหัวขโมย คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้า’

‘เจ้าก็ร้องสิ’

หลินสวินท่าทางไม่แยแส

‘เจ้าอย่ามาเหิมเกริม!’

เจียงเหิงโกรธจนอยากจะบีบคอหลินสวินให้ตาย

‘ศิษย์น้อง อย่าใส่ใจพวกต่ำช้าเช่นนี้ รอเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนแล้ว ข้าจะลงมือจับตายมันด้วยตัวเอง’

ในหูของเจียงเหิงมีเสียงของศิษย์พี่ใหญ่จีเฉียนดังขึ้น

‘ศิษย์พี่ เจ้าหมอนี่กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!’

เจียงเหิงกล่าวขุ่นเคือง

‘เรื่องเล็กไม่ยอมอดทนจะเสียงานใหญ่ ศิษย์น้อง อย่าลืมที่ข้าเคยบอกเจ้าสิ เจ้าหนุ่มนี่ไม่เพียงแต่ขโมยสมบัติจากธรรมชาติอย่างเถาวัลย์หยกนภาค่ำ หญ้าวิญญาณทองเก้าใบไป บนตัวเขายังมีเจดีย์สมบัติปริศนาหลังหนึ่งที่ต้าน ‘วงอสนีสุริยัน’ ได้ด้วย’

จีเฉียนสวมชุดขาว ผมยาวสีเทา ท่าทางสง่างาม นัยน์ตาเฉียบคมส่องประกายวาววามแหวกอากาศ ทั่วร่างแผ่อานุภาพยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด

เขาเหลือบมองหลินสวินเล็กน้อยก็ไม่มองอีก

ปีนั้นเขาเคยพึ่งพาพลังของสมบัติชิ้นหนึ่งสังเกตการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในสมรภูมิเซียนเหิน ถึงขั้นที่ว่าตอนท้ายสุดยังลงมือไปชิงเจดีย์มหามรรคไร้สิ้นสุดในมือของหลินสวินโดยไม่คำนึงถึงอะไร

แต่สุดท้ายกลับพังไม่เป็นท่า

เจียงเหิงใจเย็นลงทันที

นางเคยได้ยินศิษย์พี่ใหญ่บอกว่า เจดีย์สมบัติที่ลึกลับหลังนั้นเคยปรากฏใน ‘ศึกมรรคของเหล่าจักรพรรดิ’ เมื่อนานมาแล้ว อานุภาพเกินคาดเดา เกริกก้องทั่วหล้า!

‘นอกจากนี้ บนตัวเจ้าหนุ่มนี่ยังมีป้ายคำสั่งเซียนเหินที่ทำให้ทุกคนน้ำลายหกด้วย หากเปิดโปงฐานะของเขาตอนนี้ พวกเราจะไม่มีโอกาสจับตายเจ้าหมอนี่และยึดสมบัติที่อยู่บนตัวเขามาได้อีก’

จีเฉียนสื่อจิตกล่าว

เจียงเหิงกล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง สูดหายใจลึก ควบคุมความโกรธภายในใจอย่างเต็มที่

การปรากฏตัวของพวกจีเฉียนและเจียงเหิงก็ทำให้ในที่นั้นเกิดความไม่สงบเช่นกัน

บางทีสำนักยุทธ์เสวียนจีอาจมีอำนาจร้ายกาจสู้ ‘หกสำนักใหญ่’ ไม่ได้ แต่ก็เป็นยอดสำนักเก่าแก่แห่งหนึ่ง

จีเฉียนคนนี้ก็เป็นศิษย์สืบทอดแท้จริงอันดับหนึ่งของสำนักยุทธ์เสวียนจี ตัวเขาเองยังเป็นทายาทสายตรงของเผ่าจักรพรรดิตระกูลจี สูงส่งหาใดเปรียบ

และพลังต่อสู้ของเขาก็ไม่อาจดูหมิ่นได้ง่ายๆ เช่นกัน จัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยสี่สิบแปดบนกระดานมหาอริยะฟ้าดารา!

‘พวกเขาข่มกลั้นไว้แล้ว…’

อาหูตื่นตระหนกเก้อ ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจขึ้นมา ‘ดูท่าพวกเขาคงห่วงว่าเหยื่ออย่างเจ้าจะถูกคนอื่นแย่งไป ด้วยเหตุนี้จึงเลือกหักห้ามใจไว้ ไม่คิดจะเปิดเผยฐานะของเจ้า’

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ กล่าวทันที ‘อันที่จริงข้าก็สนใจในตัวเจียงเหิงมาก’

อาหูร้องอ้อคราหนึ่ง แววตาดูแปลกออกไป เห็นชัดว่านางเข้าใจผิดแล้ว

หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ กล่าวว่า ‘ผู้หญิงคนนี้แซ่เจียง ข้าแค่อยากรู้ว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงหรือไม่’

ปีนั้นใน ‘เมืองมรณะ’ ของแดนมกุฎ ยามเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของราชันผีเสวียนคงใกล้หายไป เคยมอบปิ่นสีเขียวอ่อนที่มีลักษณะคล้ายใบไผ่ชิ้นหนึ่งแก่หลินสวิน

ภายหน้าหากมีโอกาสได้เจอทายาทของเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียง ให้เขานำสิ่งนี้ส่งคืนแก่คนที่มีชื่อว่า ‘เจียงซิงเชวี่ย’

ราชันผีเสวียนคงเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดของคีรีดวงกมล เคยถ่ายทอดวิชา ‘ยอดนิรันดร์ไร้รั่ว’ ให้หลินสวิน พูดได้ว่าเป็นศิษย์พี่ร่วมสำนักของหลินสวิน

เมื่อรับคำฝากฝังนี้แล้ว หลินสวินย่อมต้องรับผิดชอบโดยไม่อาจบอกปัด

อาหูกล่าวเหมือนคิดอะไรได้ ‘เท่าที่ข้ารู้ เผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงอาศัยอยู่ริม ‘แม่น้ำเจียง’ บนทางเดินโบราณฟ้าดารา บรรพชนของพวกเขาปรากฏบุคคลสำคัญระดับจักรพรรดิห้าคน ถูกยกย่องว่าเป็น ‘เผ่าห้าจักรพรรดิ’ รากฐานยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง’

แม่น้ำเจียง!

หนึ่งเผ่าห้าจักรพรรดิ!

หลินสวินยังสูดหายใจเย็นเยียบอย่างอดไม่อยู่ รากฐานของเผ่าจักรพรรดิตระกูลเจียงถึงกับน่ากลัวเช่นนี้ เจียงซิงเชวี่ยคนนั้นจะเป็นบุคคลระดับใด

เวลาต่อมาก็ทยอยมีผู้แข็งแกร่งบนทางเดินโบราณฟ้าดารามากมายมาที่นี่ บ้างเป็นผู้สืบทอดของสำนักใหญ่โด่งดัง บ้างเป็นทายาทของเผ่าเก่าแก่ รวมตัวเป็นกลุ่มก้อน ทำให้บรรยากาศของริมแม่น้ำเซียนเหินดูตึงเครียดขึ้นยิ่งกว่าเดิม

ในช่วงเวลานี้หลินสวินทยอยสังเกตเห็นมกุฎมหาอริยะที่เรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้าเพิ่มบางคน

เช่นเถาเจี้ยนสิงทายาทเลือดบริสุทธิ์ที่มาจาก ‘เผ่านักรบเถาอู้’ หนึ่งในสิบเผ่านักรบใหญ่ มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งที่ท่าทางโดดเด่น เปี่ยมกำลังวังชา

เถาเจี้ยนสิงก็เป็นบุคคลร้ายกาจที่อยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดาราเช่นกัน

ยังมีเยี่ยนฉุนจวิน ผู้สืบทอดที่มาจาก ‘เรือนมรรคจักรวาล’ หนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ และมีหลิงเคอจื่อผู้สืบทอดของ ‘อารามเก่าแก่ยอดทักษิณ’ ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นอนุสุขาวดีเป็นต้น

แต่ละคนล้วนครอบครองพลังยิ่งใหญ่ อานุภาพโดดเด่นเหนือธรรมดา ต่อให้อยู่ในหมู่มกุฎมหาอริยะก็ยังเรียกได้ว่าเป็นเลิศ

เวลานี้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างหนักใจอยู่บ้าง

หลังจากแหล่งสถานคุนหลุนเปิดออก มีบุคคลแห่งยุคมากเช่นนี้เข้าร่วม แค่คิดก็รู้แล้วว่าการแข่งขันจะเหี้ยมโหดระดับใด

ในเวลาเช่นนี้แม้แต่พวกคุนจิ่วหลินก็ยังเปลี่ยนเป็นเงียบสงบ ไม่กล้าเปิดตัวเหมือนก่อนหน้านี้อีก

ช่วยไม่ได้ ในที่นั้นมีมกุฎมหาอริยะรวมตัวกันมากเกินไป ไม่ขาดพวกร้ายกาจบางส่วนที่สามารถทำให้พวกเขาหวาดกลัว

แต่หวาดกลัวส่วนหวาดกลัว ยังไม่ถึงขั้นหวั่นหวาด

ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็ล้วนเตรียมตัวมาเพื่อเดินทางเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนครั้งนี้อยู่ก่อนแล้ว

ไม่นานเวลาที่แหล่งสถานคุนหลุนจะเปิดออกก็ใกล้มาเยือนแล้ว

บนท้องฟ้าเหนือแม่น้ำเซียนเหินที่ตกลงมาจากฟากฟ้านั่น มีกลิ่นอายลึกลับอัศจรรย์ลอดผ่านอยู่รางๆ เกิดเป็นช่องทางว่างเปล่าสายหนึ่งที่เลือนรางเป็นอย่างยิ่ง

ยามนี้จำนวนของผู้แข็งแกร่งที่รวมตัวอยู่ทั่วริมน้ำมีมากถึงหลายพันคน ภาพนั้นพอจะทำให้ใครก็ตามขนพองสยองเกล้า

บรรยากาศกดดันเป็นอย่างยิ่ง และตึงเครียดเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างเฝ้ารออยู่เงียบๆ

รวมถึงหลินสวินและอาหู ต่างก็หยุดสนทนาแล้วเช่นกัน

ช่วงเวลานี้ทั้งสองคนต่างเก็บงำตนเองและไม่มีจุดที่สะดุดตา การที่ไม่ดึงดูดความสนใจ กลับทำให้ทั้งสองต่างลอบเป่าปากโล่งอกอยู่ในใจ

แน่นอนว่าเจียงเหิงผู้สืบทอดของสำนักยุทธ์เสวียนจียังเหลือบมองหลินสวินเป็นครั้งคราว ท่าทางเหมือนกลัวหลินสวินจะหนีไป

น่าเสียดายที่เจียงเหิงไม่รู้ว่าในใจของหลินสวินได้ตัดสินใจอยู่ก่อนแล้ว ว่าหลังจากเข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุน เขาจะหาโอกาสจับเป็นนางก่อน

มีเสียงตกตะลึงดังขึ้นทันใด…

“ผู้สืบทอดของเรือนมรรคเหล่ามารก็มาแล้ว”

เมื่อวาจานี้กล่าวออกมาก็ทำลายความเงียบในที่นั้นทันที และทำให้บริเวณนั้นเกิดความไม่สงบ

ก็เห็นว่าห่างออกไปมีเงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏ ผู้นำคือชายชุดเขียวคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนป่วยไข้ ผิวขาวผ่องผิดธรรมดา

ผมขาวดุจหิมะของเขาประบ่า ใบหน้างามพิกล นอกจากนี้ก็ไม่มีจุดใดที่ดึงดูดความสนใจของผู้คน

แต่เมื่อเห็นชายชุดเขียวคนนี้ปรากฏตัว คนไม่น้อยในที่นั้นต่างสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หน้าพลันเปลี่ยนสี

ฮว่าซิงหลี!

ผู้สืบทอดของ ‘เรือนมรรคเหล่ามาร’ หนึ่งในหกเรือนมรรคใหญ่ มกุฎมหาอริยะคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยสีสันแห่งตำนาน ทั้งเป็นจอมมารไร้ปรานีที่ฆ่าคนไม่กะพริบตาคนหนึ่ง!

เล่าลือว่าคู่ต่อสู้ที่ตายในเงื้อมมือเขา ไม่ถึงหมื่นก็ต้องมีแปดพัน ต้องรู้ว่าคู่ต่อสู้พวกนี้ไม่มีใครที่ไม่ใช่บุคคลระดับอริยะที่ชื่อเสียงระบือลั่น

ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีเรื่องใหญ่ที่น่าฮือฮาเรื่องหนึ่งเกิดขึ้น ฮว่าซิงหลีลงมือฆ่าบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สองร้อยสามสิบเจ็ดของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา ก่อให้เกิดความปั่นป่วนโกลาหลบนทางเดินโบราณฟ้าดารา!

ยามนี้เมื่อเห็นจอมมารคนหนึ่งที่สองมือเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเช่นนี้ปรากฏตัว ใครเล่าจะไม่ตกใจ

สำหรับความสนใจพวกนี้ ฮว่าซิงหลีดูเฉยชาเป็นอย่างยิ่ง เขายิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไรมาก พาผู้สืบทอดของเรือนมรรคเหล่ามารกลุ่มหนึ่งที่ตามหลังมายืนอยู่ริมแม่น้ำเซียนเหิน

“หลินสวิน!”

แต่ไม่รอให้สภาวะจิตของทุกคนได้สงบ ข้างกายของฮว่าซิงหลีพลันมีเสียงเยียบเย็นหนึ่งดังขึ้นทันที “เจ้ากล้ามากนักนะ ถึงกับกล้าปรากฏตัวที่นี่ คิดว่าริมแม่น้ำเซียนเหินนี้ไม่มีใครจำเจ้าได้รึ!?”

คนที่พูดคือชายคนหนึ่งที่สวมชุดคลุมโลหิต นัยน์ตาแดงก่ำเรียวยาว บนสีหน้าไม่อำพรางแววเกลียดชังแม้แต่น้อย

เซวี่ยชิงอี!

หลินสวินใจดิ่งลงทันที

คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับอีกฝ่ายที่นี่ ทั้งยังมาพร้อมกับผู้สืบทอดของเรือนมรรคเหล่ามารด้วย

หลินสวิน!

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ในที่นั้นก็อึกทึกครึกโครมทันที

ในหัวของผู้แข็งแกร่งไม่น้อยเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมาพร้อมกัน เจ้าคนที่ถือป้ายคำสั่งเซียนเหินนั่น ถึงกับซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนนานแล้วหรือ

เมื่อมองตามสายตาของเซวี่ยชิงอีไป สายตามากมายก็พากันมองไปยังหลินสวินคนเดียว

จีเฉียนและเจียงเหิงสบตากันวูบหนึ่ง ในใจรู้สึกแค้นนัก ล้วนคิดไม่ถึงว่าเวลานี้แล้วยังจะมีเจ้าโง่คนหนึ่งมาเปิดโปงฐานะของหลินสวินอีก

คราวนี้เท่ากับได้ทำลายแผนการของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

พวกเขาล้วนอยากจะฆ่าเซวี่ยชิงอีทิ้งทันที

หลินสวินก็ถอนหายใจในใจ เรื่องทางโลกยากคาดเดา เจียงเหิงไม่เปิดโปงฐานะของตน กลับกลายเป็นว่าเซวี่ยชิงอี เจ้าคนที่โชคดีหอบชีวิตหนีเงื้อมมือตนไปได้คนนี้เป็นคนเปิดเผยทุกอย่างแทน

แต่หลินสวินก็ไม่เกรงกลัวและหวั่นหวาด มองไปยังเซวี่ยชิงอีด้วยสายตาเยียบเย็นกล่าว

“พวกขี้แพ้ ตอนนั้นหากเจ้าไม่ซ่อนตัว คงตายที่สมรภูมิเก้าดินแดนไปนานแล้ว มีหรือจะมายืนเห่าอยู่ต่อหน้าข้าได้อีก”

ประโยคเดียวไม่มีเกรงใจสักนิด แต่ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นยืนยันฐานะของหลินสวินได้อย่างสมบูรณ์

ในดวงตาของคนไม่น้อยเผยไอสังหารออกมาทันที ล้วนดูกระเหี้ยนกระหือรือ