มาพักอยู่ในห้องพัก เฉินผิงอันจึงขอยืมตำราอริยะปราชญ์หลายเล่มมาจากทางศาล ล้วนเป็นหนังสือที่ไม่ถูกศาลบุ๋นสั่งห้ามอีกต่อไป เฉินผิงอันจุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งบนโต๊ะ ไม่ได้นอนหลับตลอดคืน เพียงแค่พลิกเปิดหน้าหนังสือช้าๆ มีบางครั้งที่จะลุกขึ้นยืน ผลักหน้าต่างมองไปด้านนอก ลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า
หลังจากที่เฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากจากใบถงทวีป ข้ามมหาสมุทรเข้ามาในอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป ดวงตะวันจันทราในสภาพจิตใจ แกนม้วนภาพแห่งกาลเวลากองใหญ่ที่เดิมทีสามารถสัมผัสได้ตอนอยู่ตรงหน้าประตูภูเขาของภูเขาไท่ผิง แต่ไม่อาจคลี่เปิดออกได้ มีรวมทั้งสิ้นยี่สิบสี่ภาพก็คล้ายเปิดตราผนึกขุนเขาสายน้ำออกเองโดยอัตโนมัติ ทุกภาพล้วนเปิดกว้าง แค่มองก็เห็นทุกอย่างจนถ้วนทั่ว
ยกตัวอย่างเช่นช่วงฝนธัญพืช กลุ่มคนเก็บใบชาในชนบทเดินเข้าไปในภูเขาเขียวขจี เด็กสาวคนหนึ่งในนั้นเรือนกายสะโอดสะอง มือทั้งสองเก็บใบชาด้วยท่วงท่าคล่องแคล่วคุ้นเคย จู่ๆ โดนลมพัดเรือนร่างก็ส่ายไหว ประหนึ่งกิ่งหลิวที่ถูกลมวสันต์พัดขยับ เด็กสาวพลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังภูเขาลูกหนึ่ง มีงูตัวใหญ่ขดตัวรอบภูเขา ดวงตาเป็นประกายดำมืด ปากใหญ่ราวกับเพดานสี่เหลี่ยมเปิดอ้าสองอันอ้าออกกว้าง สูบดังสวบทีดียว คนเก็บชาบนภูเขาที่ไม่ว่าจะเป็นชายหญิง คนแก่หรือเด็กก็ล้วนกลายเป็นโครงกระดูกขาวที่หล่นร่วงลงพื้นแล้วแตกสลายทันที
ฤดูใบไม้ร่วง สีทองแผ่กว้างเป็นแถบใหญ่ ขุนนางอายุน้อยที่สวมรองเท้าสึกอย่างหนักคนหนึ่งนั่งอยู่ริมคันนา กำลังยิ้มพูดคุยกับชาวนาแก่คนหนึ่ง นาทีถัดมาเมื่อลมโหมกระหน่ำพัดเข้าใส่ รวงข้าวปลิวไสว เมล็ดข้าวแต่ละเมล็ดเหมือนกระบี่บิน หมู่บ้านทั้งหมดในอำเภอคล้ายกระดาษขาวบางๆ แผ่นหนึ่งที่เจอกับพายุฝนกระหน่ำ จึงเละเทะขาดวิ่น เสียงท่องตำราในโรงเรียนชนบทที่สร้างเป็นกระท่อมง่ายๆ พลันขาดหายไป
ในหอเก็บหนังสือของตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง ตะเกียงแต่ละดวงส่องสว่างในยามค่ำคืน ทันใดนั้นจวนทั้งหลังก็พลันเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจใบหน้าซีดขาว ริมฝีปากแดงสดตนหนึ่งเดินเข้าไปด้านในช้าๆ ทุกครั้งที่เสียงดีดนิ้วดังขึ้น ด้านข้างตะเกียง บนผนัง บนหน้าต่าง จะต้องมีกองเลือดสดกองใหญ่ระเบิดแตกโพล๊ะ
บนภูเขาตระกูลเซียนลูกหนึ่ง เซียนซือผู้เฒ่าท่านหนึ่งกำลังนำพาเด็กๆ กลุ่มหนึ่งปั้นตุ๊กตาหิมะ แล้วก็ถือโอกาสสั่งสอนเด็กหนุ่มหน้าตาหมดจด ท่าทางเฉลียวฉลาดอย่างยิ่งไปด้วย ดูเหมือนผู้เฒ่าจะกำลังพูดถึงเรื่องการขอฝนล่างภูเขา เพื่อขอฝน นายท่านเจ้าเมืองจะเผาราชามังกรที่ทำจากกระดาษ เจ้ามาร่วมวงความครึกครื้นอะไรส่งเดช จะต้องเคลื่อนย้ายน้ำในลำธารให้จงได้ คิดว่าตัวเองเป็นราชามังกรแห่งนทีแล้วจริงๆ หรือไร ทำแบบนี้จะมีผลกรรมพัวพัน วันหน้าอย่าได้ทำอะไรโดยใช้อารมณ์เช่นนี้อีก…เด็กหนุ่มตอบรับอาจารย์อย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แม้ปากผู้เฒ่าจะเอ่ยสั่งสอนลูกศิษย์ แต่อันที่จริงในดวงตากลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ…ทันใดนั้นแสงกระบี่มากมายก็พลันพุ่งผ่านมา บนพื้นกองเกลื่อนไปด้วยศพไร้หัว มีทั้งคนแก่ผู้นั้น และมีทั้งเด็กหนุ่มคนนั้น
มีกษัตริย์ของพื้นที่ห่างไกล ขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊ ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพ ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของพรรคเล็กๆ พากันกระโจนเข้าหาความตาย ตายอย่างองอาจกล้าหาญ แต่กลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องตายอย่างไร้ชื่อเสียง
ล้วนเป็นขนบธรรมเนียมประเพณีของใบถงทวีป ล้วนเป็นภาพเหตุการณ์โศกนาฎกรรมของกลียุคในใบถงทวีป
ความงดงามและการทุ่มเทที่ ‘ละเอียดอ่อน’ ทั้งหมดล้วนถูกสถานการณ์ใหญ่ที่พุ่งมาอย่างดุดันบดขยี้จนสิ้นซากไปแล้ว ตลอดทั้งใบถงทวีปล้วนถูกตอกปิดฝาโลงไปแล้ว ถูกบ่อโคลนเละๆ กลบทับให้อยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ และเฉินผิงอันก็คือหนึ่งใน ‘สถานการณ์ใหญ่ของใต้หล้า’ นั้น ความทรงจำที่เขามีต่อใบถงทวีป ถึงขั้นที่ว่าที่แห่งนี้ก็คือหนึ่งในสถานที่ที่ผู้ฝึกตนบนภูเขาแย่ที่สุด
เห็นได้ชัดว่าชุยฉานต้องการให้เฉินผิงอันที่คิดจะผ่อนคลายสภาพจิตใจในใบถงทวีป ไม่อาจผ่อนคลายได้แม้แต่น้อย ต้องการให้ใต้เท้าอิ่นกวานผู้นี้ไม่เหลือพื้นที่สำหรับหลอกตัวเอง ม้วนภาพอันงดงามยี่สิบสี่ภาพที่ถูกบดขยี้เป็นผุยผงไม่ถ่วงรั้งม้วนภาพอัปลักษณ์สองร้อยสี่สิบภาพที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องสกปรกโสมมจนไม่อยากกล่าวถึง แต่เจ้าเฉินผิงอันอย่าลืมล่ะว่า ไม่ว่าจะเป็นสองร้อยสี่สิบหรือว่าสองพันสี่ร้อย เจ้าก็ยังคงไม่อาจปฏิเสธบุคคลที่อยู่ในม้วนภาพยี่สิบสี่ภาพนั้น และขุนเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งจะมีคนที่ ‘ไม่สมควรตาย’ อยู่น้อยนิดแค่นี้ได้อย่างไร?
ชุยฉานต้องการให้เฉินผิงอันเห็นบนภูเขาล่างภูเขาของใบถงทวีปกับตาตัวเอง ความงดงามน้อยใหญ่เหล่านั้น อีกแปดทวีปที่เหลือของใต้หล้าไพศาล แม้แต่ตัวของผู้ฝึกตนใบถงทวีปเองต่างก็รู้สึกว่าใบถงทวีปคือแผงลอยเละเทะที่สภาพไม่อาจทนมองแห่งหนึ่ง แต่มีเพียงเจ้าเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้นที่คิดแบบนั้นไม่ได้ เลือกที่ตั้งของสำนักเบื้องล่างเป็นใบถงทวีป? ยอดเยี่ยม ถ้าอย่างนั้นก็จงอยู่ร่วมกับผู้ฝึกตนของสองทวีปอย่างแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่กำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุดให้ดีๆ ไปก็แล้วกัน!
และสองทวีปนี้ หนึ่งก็คือบ้านเกิดของเจ้า มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับภูเขาลั่วพั่วของเจ้าอย่างแนบแน่น อีกหนึ่งก็คือสถานที่ที่ถูกเจ้ามองว่าเป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดซึ่งเจ้าเคารพนับถือมากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปของไพศาล ยินดีอธิบายเหตุผล? ชอบอธิบายเหตุผล? ในเมื่อเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งแล้ว กลับมาถึงบ้านเกิดก็ยิ่งเป็นเจ้าสำนักที่ได้ครอบครองสำนักเบื้องล่าง ไม่ได้เป็นแค่ใต้เท้าอิ่นกวานของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกต่อไป ถ้าอย่างนั้นก็ให้เจ้าเฉินผิงอันที่อยู่ในใบถงทวีปที่ซึ่งไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ต้องใช้เหตุผลแห่งนี้ ได้ทวนกระแสสถานการณ์อวดเก่งเป็นวีรบุรุษ ให้เจ้าคนเดียวได้อธิบายเหตุผลในครั้งเดียวเสียให้พอใจ!
แต่หากจะไม่ใช้หลักการเหตุผลก็ไม่ได้ เพราะว่าเฉินผิงอันก็คือบัณฑิตที่ถูกจับตามองมากที่สุดของสายเหวินเซิ่ง
สายเหวินเซิ่งที่อยู่ในลัทธิขงจื๊อ อยู่ในศาลบุ๋น ตำแหน่งในใต้หล้าไพศาลถูกยกระดับขึ้นสูงเท่าไร เฉินผิงอันที่เป็นทั้งอิ่นกวาน แล้วก็เป็นทั้งเจ้าสำนัก ในเมื่อคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งก็ยิ่งต้องเป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรมคนหนึ่ง ก็จะต้องโผล่พรวดขึ้นมาบนโลก เป็นดั่งเรือที่ลอยสูงตามกระแสน้ำขึ้น ถูกยกให้ลอยขึ้นสูงอยู่บนฟ้าทีละนิด คำชมเชยนับไม่ถ้วน ทั้งมาจากใจจริงและทั้งปะปนไปด้วยเจตนาร้าย คำชื่นชมอย่างเปิดเผย ถ้อยคำสรรเสริญอย่างลับๆ ล่อๆ ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ล้วนเป็นน้ำที่รองรับเรือลำนั้น
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้ชัดเจนดีว่า เหตุใดอาจารย์จึงเลือกที่จะ ‘หลบ’ อยู่ในสวนกงเต๋อ เลือกที่จะสองหูไม่ฟังเรื่องนอกหน้าต่างอีกครั้ง
ท่ามกลางม้วนภาพแห่งกาลเวลาทั้งหมด มีเพียงแค่ม้วนภาพเดียวที่เฉินผิงอันไม่ได้ดูจนครบถ้วน ทุกครั้งที่เปิดออกจะต้องปิดมันลงอย่างรวดเร็ว ไม่กล้ามองมาก
คืนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
นั่นคือตรอกที่มีความกว้างพอๆ กับตรอกหนีผิง คือสถานที่เปลี่ยวร้างห่างไกลที่ไม่รู้ว่าอยู่มุมใดในใบถงทวีป ฝนพรำลงมาในตรอก มีแม่นางน้อยคนหนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันคันเล็กๆ กระโดดไปตามทาง ร่มกระดาษน้ำมันจึงเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ เดี๋ยวเอียงเดี๋ยวเอนตามไปด้วย นางกลับบ้านด้วยฝีเท้าแผ่วเบาและรวดเร็ว
เฉินผิงอันพลันเอาดวงจิตถอยออกมา แล้วปิดม้วนภาพแห่งกาลเวลาม้วนนั้นอีกครั้ง
สองนิ้วคีบหน้าหนังสือหน้าหนึ่งไว้หนักๆ เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ปล่อยหน้าหนังสือที่ปลายนิ้วออกเบาๆ แล้วปิดหนังสือเล่มนั้นเสียเลย
เฉินผิงอันลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง สองนิ้วประกบดันไว้ที่หน้าต่างเบาๆ พึมพำกับตัวเองว่า “ข้ารู้ว่าท่านต้องการให้ข้าประลองหมากล้อมกับท่าน ท่านซิ่วหู่มีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงส่ง เพราะตัวท่านเองก็ไม่อยู่แล้ว หลงเหลือเพียงแค่เศษซากกระดานหมากของสามทวีปอย่างใบถง แจกันสมบัติและอุตรกุรุทวีปเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “อาจารย์ฉี ศิษย์พี่ใหญ่อย่างชุยฉานรังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ ศิษย์พี่เล็กท่านไม่คิดจะจัดการบ้างเลยหรือ?”
ฟ้าดินเงียบสงัด ค่ำคืนอันยาวนานไร้สรรพสำเนียง
เฉินผิงอันถามเองตอบเองว่า “ข้ารับรองว่าครั้งนี้ศิษย์พี่ใหญ่ต้องแพ้แน่”
และอันที่จริงครั้งนี้ชุยฉานก็หวังว่าศิษย์พี่จะแพ้ศิษย์น้องจะชนะ หวังว่าจะไม่เหมือนสถานการณ์ถามใจที่ทะเลสาบซูเจี่ยนที่ราชครูต้าหลีชนะอย่างไร้รสชาติอีก
เพียงแต่ว่าคิดอยากจะเอาชนะซิ่วหู่บนกระดานหมาก ระดับความยากจะมากแค่ไหน แค่คิดก็พอจะจินตนาการได้
อันที่จริงหลังจากเฉินผิงอันผ่านสงครามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก็สามารถยอมรับความเป็นความตายของ ‘ผู้แข็งแกร่ง’ มากเท่าไรก็ได้ มีเพียงเผชิญหน้ากับผู้อ่อนแอเท่านั้น คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เหมือนตนแห่งตรอกหนีผิงในอดีต เหมือนหลิวเสี้ยนหยางของบ้านเกิด เหมือนเจ้าขี้มูกยืดน้อย เฉินผิงอันกลับจะรู้สึกว่าภายใต้สถานการณ์ใหญ่ การจากไปของ ‘ผู้อ่อนแอ’ จำนวนนับไม่ถ้วน ยังคงไม่ถูกต้อง ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่ได้ ดังนั้นจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ เฉินผิงอันก็ยังไม่กล้ามองภาพเหตุการณ์สุดท้ายในทะเลสาบหัวใจนั่น
ราวกับว่าหากไม่มองดูผลลัพธ์นั้น แม่นางน้อยถือร่มก็จะยังคงเดินต่อไปในตรอกเล็ก ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไป
หรือบางทีนางอาจจะกลับไปถึงบ้านแล้วเก็บร่มกระดาษน้ำมันเล็กๆ คันนั้น จะมีคนในครอบครัวนั่งเล่น มีแสงไฟน่าใกล้ชิด มีความปรองดองของคนในครอบครัว
ต่อให้ไม่พูดถึงจิตใจคนอะไร พูดถึงแค่เรื่องของการตัดขาดเส้นทางการหาเงินบางอย่างในใบถงทวีป บนภูเขาล่างภูเขาล้วนมีความแค้นที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน เกี่ยวพันไปถึงผลได้ผลเสียของตัวเอง ไม่แน่ว่าเฉินผิงอันและการเลือกบางอย่างของสำนักเบื้องล่าง ในวันใดวันหนึ่งก็อาจเกิดความขัดแย้งกับยอดเขาเสินจ้วนสำนักกุยหยก กับเหวยอิ๋ง สุดท้ายเป็นเหตุให้เจียงซ่างเจินอดีตเจ้าสำนัก ผู้ถวายงานโจวเฝยจำเป็นต้องเลือกทำสิ่งที่ทุกคนไม่อาจชื่นชอบได้ทั้งหมด และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไมเฉินผิงอันถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน จากที่ตัดสินใจเพียงลำพังเลือกให้เฉาฉิงหล่างเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง เปลี่ยนมาเป็นเอ่ยประโยคนั้นบนภูเขาลั่วพั่วว่า ‘หากมีความเห็นต่างสามารถพูดคุยกันอีกทีได้’ อันที่จริงไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่เชื่อใจเฉาฉิงหล่าง แต่เป็นเพราะถึงอย่างไรเฉาฉิงหล่างก็ยังอายุน้อยเกินไป และการเลือกบางอย่างของเขาก็อาจจะทำให้จิตใจดั้งเดิมของเขาไม่อาจแบกรับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงได้เร็วเกินไป
เฉินผิงอันรู้ดีว่ารสชาตินั้นยากจะกล้ำกลืน และความทุกข์บางอย่างก็มีแค่ความขมขื่นจริงๆ ไม่มีประโยชน์ใดๆ แม้แต่น้อย อีกทั้งหากข้ามผ่านไปไม่ได้ก็คือข้ามผ่านไปไม่ได้
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงตัดสินใจแล้วว่าตำแหน่งเจ้าสำนักเบื้องล่างสามารถปล่อยว่างไว้ก่อนได้ ให้เฉาฉิงหล่างได้ฝึกฝนจิตใจอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวไปอีกสิบกว่าปี
เป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านมานานหลายปีเกินไป เฉินผิงอันอยากทำความดีชดใช้ความผิด จึงถือเสียว่า ‘ไม่ใช่ไม่บอกกล่าว เพียงแต่ว่ายังไม่ถึงเวลา’ แม้ว่าตอนนี้สำนักเบื้องล่างจะยังไม่เลือกเจ้าสำนัก ตนเองก็จะไม่เผยโฉมมากเกินไปนัก เพียงแค่จะให้รองเจ้าขุนเขาบางคนวางมาดดุร้ายทำนองว่า ‘มาเยือนใบถงทวีปของพวกเจ้า เพียงแค่เพื่อหาเงินด้วยความปรองดองเท่านั้น’ ตั้งแต่แรกเริ่ม ยกตัวอย่างเช่น…ชุยตงซาน ถึงอย่างไรช่วยแบ่งเบาภาระให้กับอาจารย์ของตนก็เป็นภาระหน้าที่ของคนที่เป็นลูกศิษย์อยู่แล้ว
โดยไม่ทันรู้ตัวฟ้าก็สว่างแล้ว
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
ห่างไปไกลนอกหน้าต่างมีหญิงสาวที่ยิ้มหวาน ทว่าสายตากลับเฉียบคมคนหนึ่งยืนอยู่
มังกรที่แท้จริง หวังจู ขอบเขตบินทะยาน
……
แคว้นซูสุ่ย กลางดึก ในศาลเทพภูเขาที่ปิดประตูไปแล้ว เด็กสาวสวมรองเท้าปักลายบุปผาคนหนึ่งรับฟังคำบอกเล่าจากสาวใช้ร่างสูงโปร่งจบก็เอาสองมือไพล่หลัง ก้าวเท้าเดินเนิบช้า หลังจากคิดใคร่ครวญอย่างจริงจังก็พยักหน้า ใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยเสียงหนักแน่น “บัณฑิตมักจะมีลูกเล่นเยอะเสมอ หากข้าได้อ่านหนังสือมากอีกสักหน่อยก็ต้องคิดหาวิธีเล็กๆ แบบนี้ออกมาได้แน่นอน เลือกเมล็ดพันธ์บัณฑิต รวบรวมโชคชะตาบุ๋นจำนวนมากเอาไว้ ทำหลายเรื่องสำเร็จได้ในคราวเดียว เป็นวิธีการที่ง่ายจะตายไป ข้าจะคิดไม่ถึงหรือ?! ส่วนเรื่องของการดักชิงตัวกลางทาง เอาถุงป่านครอบหัว นั่นก็ยิ่งเป็นอาชีพเก่าของพวกเราแล้ว หลับตายังทำได้สำเร็จเลย”
สาวใช้คนหนึ่งที่เรือนกายอวบอิ่มพยักหน้ารับอย่างแรง เอ่ยประจบยกยอไปสองสามคำ เทพภูเขาเหวยเว่ยฟังถ้อยคำไพเราะจบแล้ว อารมณ์ขุ่นเคืองถึงจะเพิ่งปรากฏ นางทุบลงบนหน้าอกของสตรีคนนั้นอย่างแรง ทุบจนฝ่ายหลังเซถอยไปหลายก้าว เด็กสาวด่าดังลั่น “ไร้สมอง มีแต่เจ้านี่หรือไร เจ้าเฉินผิงอันผู้นั้นมาเยือนศาลบ้านตัวเอง เจ้าถึงกับกล้าไม่เผยตัวไปคารวะเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งเชียวหรือ? มาดใหญ่กว่าแผ่นฟ้าเสียอีก ทำไมเจ้าถึงไม่ไปเป็นซานจวินฝู่จวินไปเลยเล่า? อยู่กับข้าจะไม่ทำให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมแย่หรอกหรือ? หา?”
สาวใช้ร่างอวบอิ่มเงียบกริบเป็นจักจั่นในหน้าหนาว ไม่กล้าเถียงแม้แต่ครึ่งคำ ได้แต่ลูบหัวใจเท่านั้น
เหวยเว่ยยังมีไฟโทสะ จึงเขย่งปลายเท้าดึงหูสาวใช้ร่างสูงโปร่งแล้วกระชากลงมาอย่างแรง ทำเอาศีรษะของฝ่ายหลังถูกดึงลงต่ำ เอ่ยสั่งสอนว่า “เจ้าเองก็โง่เหมือนกัน ไม่รู้จักรั้งเฉินผิงอันที่รักหยกถนอมบุปผาเป็นที่สุดผู้นั้นอยู่เป็นแขกเสียบ้าง? รู้หรือไม่ว่าเซียนกระบี่หนุ่มท่านหนึ่งที่มาจากราชวงศ์ต้าหลี มีความหมายอย่างไรในแคว้นซูสุ่ยของพวกเรา? หมายความว่าเหนียงเนียงบ้านเจ้าพอจะอาศัยใบบุญของเขามาหาค่าน้ำร้อนน้ำชาได้บ้างเล็กน้อย อย่างน้อยก็ควรขอให้เขาช่วยทิ้งลายน้ำหมึกอะไรไว้ให้ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าพวกเราสามคนที่อยู่ในแคว้นซู่สุ่ยก็สามารถเดินตัวลอยได้แล้ว”
ด่าคนจบ ระบายโทสะเสร็จ เด็กสาวสวมรองเท้าปักลายบุปผาก็ถอนหายใจ ปล่อยนิ้วมือ มองคนโง่สองคนที่ท่าทางคล้ายนอบน้อม แต่แท้จริงแล้วกลับแอบเบิกบาน ก็ได้แต่เอ่ยอย่างจนใจว่า “ข้ามีความสัมพันธ์ควันธูปอย่างมากกับราชสำนักแคว้นซูสุ่ย แต่พวกเจ้าคิดว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นแค่อยากจะช่วยเหลือพวกเราเท่านั้นหรือ?”
มองคนโง่สองคนที่เอาแต่กินควันธูปไม่ออกแรงซึ่งยามนี้หันมามองหน้ากันเอง นางก็เหลือกตามองบนเล็กน้อย จากนั้นใช้สองนิ้วประกบกันชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง แล้วค่อยชี้ไปที่สาวใช้ร่างสูงโปร่ง แล้วจู่ๆ ก็พลันกำหมัดแน่น ปากส่งเสียงฮึ่มฮั่มคล้ายเสียงฟ้าผ่า ก่อนจะยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าลองคิดดูสิว่าเฉินผิงอันที่เป็นเซียนกระบี่ ได้มาเยือนที่แห่งนี้ของพวกเรากี่ครั้งแล้ว?”
สาวใช้ร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างขลาดๆ “สามครั้งแล้ว”
เหวยเว่ยเอ่ยอย่างเดือดดาล “ไม่ถึงสามสิบปี เซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งก็มาเยี่ยมเยือนภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่งถึงสามครั้งแล้ว นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าจะยังต้องมีครั้งที่สี่แน่นอน! เจ้าคิดว่าประโยคแรกที่เขาเปิดปากพูด เหตุใดถึงได้ถามว่าจัดการกับเทวรูปในวัดพวกนั้นอย่างไร? หากเจ้าพูดผิด…หากศาลเทพภูเขาของพวกเราทำผิด เจ้าก็ลองดูสิว่าเขาจะจากไปหรือไม่ เชื่อหรือไม่ว่าต่อให้เจ้าไล่เขาไป เขาก็จะยังอยู่ต่อเพื่อพูดคุยกับข้าให้ได้! เขามันเสือหน้ายิ้ม ในชายแขนเสื้อซ่อนมีด คือคนอำมหิตที่นึกอยากฆ่าใครขึ้นมาก็ไม่คิดจะพูดคุยปรึกษากัน…หากไม่เป็นเพราะข้าล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า รู้ว่าเขาจะต้องทำแบบนี้ ดังนั้นถึงได้จัดการเก็บรักษาก้อนหินแตกพังพวกนั้นเป็นอย่างดีไว้แต่เนิ่นๆ เวลานี้พวกเราสามคนจะพูดได้หรือไม่ก็บอกได้ยากแล้ว”
หญิงสาวร่างสูงโปร่งเอ่ยอย่างระมัดระวัง “เหนียงเนียงจะคิดมากเกินไปหรือไม่? ครั้งนี้เขามาเป็นแขกที่ศาลของพวกเรา มองดูแล้วท่าทางปรองดองอย่างมาก ไม่มีมาดของเซียนกระบี่เลยแม้แต่น้อย”
ใต้ร่มไม้ของต้นสนโบราณนอกประตู เซียนกระบี่ชุดเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งหิน คลี่ยิ้มอ่อนโยน พูดคุยกับนาง ยังเชื้อเชิญให้นางนั่งลงคุยกันด้วย
เหวยเว่ยเหล่ตามองนางแวบหนึ่ง สาวใช้ร่างสูงโปร่งรีบหุบปากฉับทันใด
เหวยเว่ยโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ประตูใหญ่เปิดออก นางนั่งลงบนธรณีประตู สองมือเท้าคาง เริ่มคิดเรื่องราว
อาณาเขตของเทพภูเขาครอบคลุมครึ่งจังหวัด ดูแลภูเขาสายน้ำประมาณหกอำเภอ เหวยเว่ยไม่เคยชอบคบค้าสมาคมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลบุ๋นบู๊ทั้งหลาย แต่ละคนหมวกขุนนางไม่ใหญ่ แต่ตาชอบมองสูงไม่เห็นหัวใคร อย่างมากสุดก็แค่ไปมาหาสู่กับเทพอภิบาลเมืองในอำเภอที่ระดับขั้นต่ำกว่านางหนึ่งขั้น เพราะฝ่ายหลังจะรู้จักกาลเทศะมากกว่า
สุดท้ายเหวยเว่ยเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งหลายในอำเภอ ตรวจสอบสมุดคุณความชอบทั้งหมดอย่างละเอียด ในอาณาเขตบ้านของพวกเรา เมล็ดพันธ์บัณฑิตทั้งหมด ซึ่งก็คือคนที่มีหวังว่าจะเป็นซิ่วไฉ เป็นก้งเซิง ล้วนจดลงมาในบันทึกทั้งหมด ทำตามที่เซียนกระบี่ผู้นั้นบอก น้ำเส้นเล็กไหลยาวนี่นะ…แล้วยังมีตระกูลที่สะสมคุณความดีทั้งหลาย เฮ้อ เสียดายๆ ข้าเสียดายจะตายอยู่แล้ว พวกเจ้าเองก็แบ่งแสงศักดิ์สิทธิ์แห่งผลบุญไปซ่อนในเทพทวารบาลที่ติดอยู่หน้าประตูบ้านพวกเขาเสียหน่อย ไม่อาจช่วยเหลือเรื่องใหญ่โตได้ เพราะทรัพย์สินบ้านพวกเราน้อยเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยในเรื่องเล็กๆ อย่างการขับไล่ไอชั่วร้าย เสนียดจัญไรก็แล้วกัน รอให้นายท่านจิ้นซื่อผู้นั้นสอบติดกระดานทองคำแล้วมาแก้บนที่ศาลพวกเรา เพิ่มโชคชะตาบุ๋นให้มากขึ้นแล้วค่อยมาวางแผนในระยะยาวกันอีกที มีอยู่ข้อหนึ่งที่เฉินผิงอันพูดไม่ผิดแม้แต่น้อย วันนี้ไม่เหมือนในวันวาน จะทำการค้าที่จบในครั้งเดียวไม่ได้อีกแล้ว ขอแค่สามารถเริ่มต้นได้ดี ถึงอย่างไรก็ต้องมองการณ์ให้ไกลสักหน่อย”
——