เพียงแต่หลินสวินและอาหูเพิ่งเพิ่งจะหลบหลีก ปราณกระบี่ที่ดุร้ายรุนแรงอย่างที่สุดสายหนึ่งพลันคำรามมาจากด้านหลัง

ฉัวะ!

ปราณกระบี่สีเงินยวงกรีดกระชากห้วงอากาศออกเป็นรอยแยกตรงยาวพันจั้ง

ควรรู้ว่ากฎระเบียบฟ้าดินของแดนหลอมสมบัติแห่งนี้มั่นคงอย่างที่สุด คนที่สามารถปลดปล่อยอานุภาพเช่นนี้ออกมาภายในกระบี่เดียว นอกจากมกุฎมหาอริยะ ระดับอื่นๆ ไม่สามารถทำได้แน่

เบื้องหน้ามีเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งที่ปกคลุมเต็มฟ้าพุ่งเข้ามา

เบื้องหลังมีปราณกระบี่ที่ราวกับสายรุ้งม้วนตวัดมาเยือน

หลินสวินและอาหูจะรุกจะถอยล้วนไม่สามารถ!

‘ข้าจัดการเพลิงเทพพวกนี้เอง เจ้าไปสังหารศัตรู’

ตอนที่หลินสวินสื่อจิต ได้ส่งเสียงคำรามยาวออกมานานแล้ว ร่างกายพลันแผ่ขยาย วิวัฒน์เป็นหุบเหวใหญ่ที่เคลื่อนย้ายจักรวาล บดขยี้ห้วงอากาศดังครืนโครม

ชั่วพริบตานั้น เพลิงเทพหิมะน้ำแข็งทะยานเข้ามา เกิดการพุ่งชนน่ากลัวกับหุบเหวใหญ่

ปังๆๆ!

หลินสวินที่ใช้พลังเต็มกำลัง การโจมตีทั่วไปจะเทียบได้อย่างไร ชั่วพริบตาเดียวก็มีเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งสิบกว่าสายระเบิดออก ถูกหุบเหวใหญ่บดขยี้จนแหลกละเอียด กลืนกินจนหมดสิ้น

ทว่าร่างของหลินสวินเองก็สั่นระลอกหนึ่ง ความเย็นเยียบดุดันเสียดกระดูกพลันจู่โจม ทำเอาสีหน้าเขาอดเปลี่ยนไปไม่ได้

เพลิงเทพหิมะน้ำแข็งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบได้!

ไม่อาจคิดมากความ ร่างของหลินสวินพลันเปล่งแสง อาจหาญโดดเด่น โจมตีอย่างเหี้ยมหาญ

ในเวลาเดียวกันปราณกระบี่สีเงินที่ทะลวงจู่โจมมาจากด้านหลัง ถูกอาหูผ่าแตกพร้อมกับเสียงกึกก้องสะเทือนหู

ร่างของนางมีประกายเทพสีม่วงอ่อนที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไหลหลั่ง หว่างคิ้วเต็มไปด้วยอันตราย มีแสงมรรคเป็นสายๆ ควบรวมกลางฝ่ามือ แปลงเป็นกระบี่มรรคสีม่วงเล่มหนึ่ง

ในจิตรับรู้ของนางเล็งเป้าไว้นานแล้ว คือบริเวณซึ่งอยู่ห่างออกไปสามพันจั้ง

คนผู้นั้นอยู่ในชุดสีดำ หน้าผากเกลี้ยงเกลา ร่างกายสาดประกายสีทองอ่อน เหนือศีรษะมีกระบี่โบราณส่งประกายเงินยวงลอยอยู่

เป็นเว่ยจื่อหยา ผู้สืบทอดแห่งเขากระบี่ต้าหลัว มกุฎมหาอริยะมรรคกระบี่ที่จัดอยู่ในอันดับสองร้อยเจ็ดสิบเก้าของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา!

“เว่ยจื่อหยา เจ้าอยากตายจริงๆ หรือ!”

อาหูในตอนนี้ถูกกระตุ้นโทสะแล้ว

ตูม!

เงาร่างของนางทะลวงอากาศออกไป กระโปรงสีเหลืองพลิ้วไหว แสงมรรคเวียนไหล กระบี่มรรคสีม่วงในฝ่ามือส่งเสียงชิ้งขึ้นคราหนึ่ง ทะลวงสังหารไป

“กลับไป!”

สีหน้าของเว่ยจื่อหยาเย็นชา ตวัดนิ้วกวาดคราหนึ่ง กระบี่โบราณสีเงินเหนือศีรษะพลันทะยานออกไป

หนึ่งกระบี่โฉบพุ่ง ราวกับธารดาราสะเทือนเก้าสวรรค์!

ตูม โครม!

กระบี่มรรคสีม่วงและกระบี่โบราณสีเงินปะทะกัน ปราณกระบี่พรั่งพรูไปทั่ว ทำให้อากาศในรัศมีพันจั้งล้วนระเบิดแหลก ละอองแสงสาดกระเซ็น

เว่ยจื่อหยาสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ไม่อาจสงบได้

เขาอานุภาพยิ่งใหญ่ทรงพลัง หนึ่งกระบี่ที่สั่งสมมรรควิถีทั้งชีวิต กลับถูกสกัดไว้ได้

ส่วนอาหูราวกับกระแสรุ้ง เคลื่อนผ่านห้วงอากาศมาถึง ดวงตาสุกใสทั้งคู่เต็มไปด้วยความดูถูกและเย็นชา

นางดีดนิ้วคราหนึ่ง

ชิ้ง!

ไอสีม่วงพวยพุ่ง เปลี่ยนเป็นกระบี่มรรคที่ปกคลุมด้วยรอยสลักพิศวงแน่นขนัด ยาวสามฉื่อ เรียบง่ายตลอดเล่ม เจตกระบี่กลับทรงพลังราวกับแสงม่วงนิรันดร์!

เว่ยจื่อหยาหนังหัวชาวาบ คิดไม่ถึงว่าแค่ผู้หญิงที่ติดตามอยู่ข้างกายหลินสวินคนหนึ่งเท่านั้น กลับเป็นบุคคลน่ากลัวที่เก็บซ่อนฝีมือได้อย่างลึกล้ำคนหนึ่ง

ฉัวะ!

เว่ยจื่อหยาไม่ได้เข้าต้าน ถอยหลบอย่างไม่ลังเล ความไวนั่นเรียกได้ว่าน่าทึ่ง

ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ร่างของเขาก็ยังคงถูกกระบี่มรรคที่ทรงพลังและเรียบง่ายเล่มนั้นกวาดโดน

พรวด!

เงาร่างของเขาเซถอย ในปากกระอักเลือด แผ่นหลังถูกฟันเป็นรอยกระบี่ที่น่ากลัวสายหนึ่ง

ส่วนห้วงอากาศที่เขายืนอยู่ในตอนแรก ล้วนปกคลุมด้วยปราณกระบี่สีม่วงที่น่ากลัว ผสมผสานผั่นป่วน ทำลายล้างฟ้าดิน

เว่ยจื่อหยาสีหน้าหวาดผวา หนีไวยิ่งกว่าเดิม เพียงพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว

อาหูหมายจะตามไปสังหาร เสียงหัวเราะที่เผยความย่ามใจกลับดังขึ้นข้างหู…

“หลินสวินขอบคุณมาก ไอมรรคหลอมสมบัติสายนี้ข้าจะรับไว้เอง เจอกันคราวหน้าข้าจะเอาชีวิตเจ้าแน่!”

อาหูหมุนตัวทันที ก็เห็นว่าห้วงอากาศเหนือแม่น้ำใหญ่ไกลออกไป เงาร่างสูงใหญ่ที่อานุภาพเผด็จการเต็มเปี่ยมของคุนจิ่วหลินกำลังหัวเราะเสียงดังจากไปไกล

ส่วนหลินสวินกำลังรับมือกับเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งอย่างดุเดือด ไม่มีทางแยกสมาธิไปขวางไว้ได้

พอมองกลางแม่น้ำใหญ่อีกครั้ง ไอมรรคหลอมสมบัติที่วิวัฒน์เป็นดอกบัวหิมะน้ำแข็งนั่นหายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกคุนจิ่วหลินฉวยโอกาสช่วงชิงไป

หว่างคิ้วของอาหูปรากฏความเย็นเยียบ

นึกถึงภาพเมื่อครู่นี้นางก็ตัดสินได้ทันทีว่านี่เป็นการเคลื่อนไหวที่เตรียมการมาอย่างดี อาศัยพลังของเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งเล่นงานนางและหลินสวินก่อน

จากนั้นสับขาหลอกให้เว่ยจื่อหยาลงมือ ทำให้นางและหลินสวินไม่อาจรุกหรือถอย ถูกแยกตัวไปรับมือคนละทาง

สุดท้ายเป็นคุนจิ่วหลินฉวยโอกาสสอดมือ ชิงไอมรรคหลอมสมบัตินั่นไปอย่างง่ายดาย!

ในระหว่างนั้นหากอาหูไม่สามารถขวางเว่ยจื่อหยาไว้ได้ หลินสวินจะต้องถูกเว่ยจื่อหยาและคุนจิ่วหลินร่วมมือกันสังหาร ในขณะที่ถูกเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งโจมตีอย่างแน่นอน

หากหลินสวินสกัดเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งเหล่านั้นไว้ไม่ได้ คุนจิ่วหลินก็ย่อมต้องไม่เกี่ยงที่จะฉวยโอกาสโจมตีซ้ำเติมเช่นกัน!

ความคิดเหล่านี้แวบผ่านในใจอาหู ทำให้นางเกิดไอสังหารรุนแรงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

สองคนนี้เป็นบุคคลที่จัดอยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดารา กลับสมคบคิดกันวางแผนเจ้าเล่ห์ คิดว่านางกับหลินสวินรังแกได้ง่ายจริงหรือ

เจอกันคราวหน้า จะต้องตัดหัวเขาซะ!

“อย่าเข้ามา”

ตอนที่อาหูคิดจะไปช่วย กลับถูกหลินสวินส่งเสียงห้ามไว้

ตูม!

และก็เป็นตอนนี้เอง เหนือศีรษะของหลินสวินพลันมีเพลิงวงหนึ่งโฉบพุ่งออกไป เปลี่ยนเป็นเตาหลอมใหญ่เปลวเพลิงอันหนึ่ง

ชั่วพริบตาจิตใจอาหูยังสั่นสะท้าน ราวกับมองเห็นภาพที่พิสดารอย่างไรอย่างนั้น

กลางฟ้าดินสรรพสิ่งสูญสลาย มีเพียงเตาหลอมเพลิงที่ลุกโชน ฟ้าเสถียรดินขนาน ดวงดาวสุริยันจันทราล้วนลุกไหม้หมดสิ้น

ส่วนเตาหลอมเพลิงนั่น กลายเป็นหนึ่งเดียวที่ไม่เสื่อมสลายกลางฟ้าดิน!

ยามอาหูได้สติ ก็เห็นเตาหลอมเพลิงนั่นเปล่งแสง กลืนกินเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งที่ปกคลุมอยู่รอบตัวหลินสวินจนหมดสิ้น

ดวงตาอาหูเบิกโพลง รู้สึกเหลือเชื่อ

เพลิงมรรคกลุ่มหนึ่ง กลับเปลี่ยนเป็นเตาหลอมเพลิงที่ไม่เสื่อมสลาย ทะยานอยู่กลางอากาศ กำราบเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งทั้งหมด!

นี่น่าตะลึงมากอย่างไม่ต้องสงสัย

ควรรู้ว่าพลังของเพลิงเทพหิมะน้ำแข็งเหล่านั้น ทำให้เมื่อครู่นี้มกุฎมหาอริยะอย่างหลินสวินยังจนหนทาง ไม่สามารถคลี่คลายได้ในทันที!

เพียงแต่ตอนที่อาหูคิดจะสังเกตอย่างละเอียด เพลิงวงนั้นก็หายไปในร่างหลินสวินอีกครั้ง

หลินสวินเองก็เผยสีหน้าตกใจไปครู่หนึ่ง ถึงพอจะระงับความตะลึงในใจไว้ได้ มองไปยังอาหูแล้วกล่าวว่า “ข้าเองก็คิดไม่ถึง”

อาหูกล่าว “นั่นเป็นเพลิงมรรคต้นกำเนิดที่เจ้าได้รับตอนอยู่ระดับมกุฎราชันหรือ”

หลินสวินพยักหน้า กล่าวอย่างไม่มีปิดบัง “ยามอยู่ที่แดนมกุฎมีบ่อน้ำโบราณนรกเทพแห่งหนึ่ง ข้าเจอเพลิงมรรคต้นกำเนิดสายนี้ใน ‘โลกใต้สุสาน’ ที่อยู่ใต้บ่อน้ำโบราณ”

นี่ย่อมเป็นเพลิงมรรคอัศจรรย์!

ตอนนั้นก่อนที่เพลิงมรรคอัศจรรย์สายนี้จะถูกกำราบ รอบด้านล้วนถูกเพลิงมรรคฟ้าประทานห้าสายล้อมพิทักษ์ เฝ้าปกป้องเพลิงมรรคอัศจรรย์ราวกับข้าราชบริพาร

เพลิงมรรคฟ้าประทานทั้งห้าแบ่งออกเป็น ‘เพลิงมรรคสงัดนิรันดร์’ ที่เปลี่ยนเป็นบรรทัดหยกสีดำ

‘เพลิงมรรคไร้มลทิน’ ที่เปลี่ยนเป็นตำราหยกขาว

‘เพลิงมรรคห้าเร้น’ ที่เปลี่ยนเป็นกวางห้าสี

‘เพลิงมรรคโชนทอง’ ที่เปลี่ยนเป็นโคมทอง

‘เพลิงมรรคเรืองม่วง’ ที่เปลี่ยนเป็นภาพสีม่วง

ทว่าสุดท้ายหลินสวินเก็บไว้เพียงเพลิงมรรคอัศจรรย์ และยกเพลิงมรรคฟ้าประทานห้าสายนั้นให้เจ้าคางคก อาหลู่ จ้าวจิ่งเซวียน เสี่ยวอิ๋นและเจ้านกดำ

ตอนแรกหลินสวินกำราบเพลิงมรรคอัศจรรย์เพื่อหลอมศาสตราราชันบริสุทธิ์ จนกระทั่งหลังจากเขาบรรลุอริยะ ก็ไม่เคยใช้เพลิงมรรคลึกลับนี้อีกเลย

ใครจะคิดว่าในแดนหลอมสมบัติแห่งนี้ ในการต่อสู้อันดุเดือดเมื่อครู่ เพลิงมรรคอัศจรรย์ที่เงียบสงบมาโดยตลอดราวกับตกใจตื่นและปรากฏตัวออกมา!

นี่ทำให้หลินสวินไม่ทันตั้งตัว รู้สึกประหลาดใจ

เขายังจำได้แม่น ว่าตอนกำราบเพลิงมรรคอัศจรรย์ยังมีพลังผนึกไร้รูปชั้นหนึ่งเปลี่ยนเป็นอักษรมรรคแถวหนึ่ง…

‘หมายได้ไฟนี้ ต้องสัมผัสผลกรรม หมายสลายผลกรรม ต้องเข้าสถานอัศจรรย์ ไม่ว่าเจ้าเป็นผู้ใด ขอถามสักประโยค ต้องการนำเพลิงนี้ไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์หรือไม่’

แหล่งสถานอัศจรรย์ก็คือที่ที่ลึกลับที่สุดในจตุโบราณสถานบรรพกาล

นี่ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจว่า ชั่วขณะที่ตนกำราบเพลิงนี้ ก็ได้เกิดกฎกรรมกับเพลิงนี้แล้ว สักวันต้องมุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานอัศจรรย์

ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากเพลิงมรรคอัศจรรย์แล้ว บนร่างหลินสวินยังมีสมบัติอีกอย่างที่เกี่ยวข้องกับแหล่งสถานอัศจรรย์…

รูปภาพนักพรตขี่วัว!

นั่นเป็นก้อนทองแดงสนิมเขรอะก้อนหนึ่ง ด้านบนสลักภาพหนึ่งเอาไว้ เป็นชายชราชุดดำขี่อยู่บนหลังวัวเขียวตัวหนึ่ง ท่าทางผ่อนคลาย กำลังแหงนหน้ามองฟ้า

ก้อนทองแดงลึกลับนี้หลินสวินได้มาตอนอยู่ในแดนฐิติประจิม ตอนนั้นเขาถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬไล่ฆ่า จึงหนีเข้าไปในป่าลึกและได้ช่วยชีวิตเสือดาวโลหิตตัวหนึ่งไว้ เพื่อเป็นการตอบแทน เสือดาวโลหิตได้มอบก้อนทองแดงนี้ให้หลินสวิน

และด้วยเบาะแสนี้ ทำให้หลินสวินมองเห็นศพผู้ฝึกปราณที่สิ้นชีพในท่านั่งสมาธิ และได้เข้าใจว่าตอนนั้นผู้ฝึกปราณคนนี้ก็ใช้ก้อนทองแดงนี้เสาะหาแหล่งสถานอัศจรรย์ ทว่าเสาะหาอย่างยากลำบากมาสี่หมื่นแปดพันปี สุดท้ายก็หาไม่เจอ

ส่วนก้อนทองแดงที่สลักรูปนักพรตขี่วัวก้อนนี้ ก็ถูกหลินสวินเก็บรักษามาถึงตอนนี้

พูดง่ายๆ ก็คือ สมบัติทั้งสองชิ้นนี้อย่างเพลิงมรรคอัศจรรย์และภาพนักพรตขี่วัวบนตัวหลินสวิน ล้วนมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแหล่งสถานอัศจรรย์ที่ลึกลับที่สุดนั่น

“ดูท่าความลับในตัวเจ้าจะเยอะกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก”

ดวงตาคู่งามของอาหูแฝงแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง

เพลิงมรรคต้นกำเนิดกลุ่มหนึ่ง ถึงกับสามารถกำราบเพลิงเทพคุนหลุนที่คนเอ่ยถึงแล้วต้องหน้าเปลี่ยนสีได้ หากแพร่ออกไปจะต้องสร้างความฮือฮาอย่างแน่นอน

“เจ้าก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

หลินสวินยิ้ม พูดถึงเรื่องความลับแล้ว อาหูมีมากไม่แพ้ตนแน่

อาหูยิ้มหวานเอ่ย “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องเหล่านี้ เมื่อครู่นี้เว่ยจื่อหยาและคุนจิ่วหลินร่วมมือกัน ชิงไอมรรคหลอมสมบัติที่ควรเป็นของพวกเรา ความแค้นนี้หากไม่ชำระข้าทนไม่ได้แน่”

หลินสวินพูดอย่างเด็ดขาด “เจอกันคราวหน้า จะต้องฆ่าสองคนนี้แน่”

ในใจอาหูไม่ยินดี แล้วมีหรือที่หลินสวินจะเบิกบาน

“เว่ยจื่อหยาถูกกระบี่ของข้าโจมตีบาดเจ็บ กลิ่นอายก็ถูกข้าจับได้แล้ว หรือว่า… ไปฆ่าเจ้าหมอนั่นระบายความโกรธก่อนดีหรือไม่” อาหูพูด

“เช่นนี้จะดีที่สุด”

หลินสวินตอบรับอย่างไม่ลังเล

ทันใดนั้นทั้งสองพลันเปลี่ยนเส้นทาง เริ่มเคลื่อนไหว

……

ในเวลาเดียวกันเว่ยจื่อหยาและคุนจิ่วหลินได้รวมตัวกันแล้ว ทะยานอยู่กลางอากาศ

“พวกเราต่างดูถูกผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ข้างกายหลินสวินเกินไป ความแข็งแกร่งในพลังต่อสู้ของนาง ทำเอาข้ารู้สึกถึงการคุมคามรุนแรง”

เว่ยจื่อหยาสีหน้าอึมครึม นึกถึงกระบี่ที่ทรงพลังราวกับประกายม่วงหมื่นโบราณนั่นแล้ว ในใจเขาก็นึกกลัวขึ้นมา

“ดูท่าพวกเราต้องเปลี่ยนแผนแล้ว”

คุนจิ่วหลินสายตาวูบไหว เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยว่า “ไป ข้าพาเจ้าไปพบคนผู้หนึ่ง”