บทที่ 765.3 ในศาลบรรพจารย์

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ดังนั้นตัวเลือกสุดท้ายของคนที่จะกลายมาเป็นเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วจึงมีเส้าอวิ๋นเหยียน ถัวเหยียนฮูหยิน หวนอวิ๋น เซี่ยซงฮวา หลิ่วจื้อชิง หลี่ฝูฉวี

และยังมีเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน อันที่จริงสองท่านนี้ต่างก็ไม่มีความคิดเห็นต่อการเป็นเค่อชิง แต่ล้วนถูกเฉินผิงอันแยกกันใช้เหตุผลอธิบายให้เข้าใจ ใช้ความรู้สึกโน้มน้าวให้หวั่นไหว จึงต่างพากันเปลี่ยนใจ โน้มน้าวเว่ยจิ้นนั้นไม่ยาก จะดีจะชั่วเจ้าเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยก็เคยได้รับการชี้แนะด้านเวทกระบี่จากศิษย์พี่จั่วโย่วของข้า หน้าตาแค่นี้หากยังไม่ยอมให้กันก็ออกจะไร้เหตุผลเกินไป ส่วนผู้อาวุโสหยวนจากยอดเขาจื่อเสวียนนั้น เพราะเห็นแก่หน้าของจางซานเฟิงศิษย์น้องเล็ก บวกกับที่ตัวเขาเองก็สนิทกับเฉินผิงอันด้วย จึงยอมตอบตกลง

คนสุดท้ายนั้นใช้เสียงในใจพูดคุยกับใต้เท้าอิ่นกวาน คือเฉินหลี่ ‘อิ่นกวานน้อย’ แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่เป็นฝ่ายขอร้องมารับหน้าที่เป็นเค่อชิงเอง

เฉินหลี่มีความรู้สึกพอๆ กับป๋ายโส่ว เขาเองก็ประหลาดใจนักว่าเหตุใดในสายตาของตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ชื่อป๋ายเสวียนผู้นั้นถึงได้เผยความสนิทสนมใกล้ชิดกับเขาอย่างไร้เหตุผลยิ่ง

ทว่าป๋ายโส่วกลับรู้กาลเทศะและตระหนักถึงอันตรายได้ดียิ่งกว่าเฉินหลี่ เขารู้สึกว่าสีหน้าและรอยยิ้มที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเผยเฉียนไปแล้วนั้น ยิ่งทำให้คนขนลุกขนชันมากขึ้นทุกทีแล้ว

ป๋ายโส่วตัดสินใจแล้วว่าจะต้องอยู่ให้ห่างจากป๋ายเสวียนผู้นั้นสักหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกลูกหลงเดือนร้อนไปด้วย ต้องรู้ว่าครั้งที่สองที่เผยเฉียนเดินทางไปท่องเที่ยวทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนที่นางจะไปถามหมัดกับเฉาสือ ตอนที่นางเดินทางผ่านสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปอีกครั้ง เวลานั้นป๋ายโส่วเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ไม่อาจไปจากยอดเขาเพียนหรานได้ จึงได้เจอกับเผยเฉียนที่ขึ้นเขามาเป็นแขก เป็นการกลับมาพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนาน หลบพ้นวันที่หนึ่งหลบไม่พ้นวันที่สิบห้า (วันที่หนึ่งคือชูอี วันที่สิบห้าคือสืออู่ เหมือนชื่อกระบี่บินของเฉินผิงอัน) ไม่รู้ว่าเหตุใด เผยเฉียนกับเจ้าคนแซ่หลิวคุยกันไปคุยกันมากลับดึงเขาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ตอนนั้นป๋ายโส่วลองชั่งน้ำหนักของตัวเองดู แล้วก็เห็นว่าเผยเฉียนตัวสูงมากแล้ว น่าเสียดายที่ผอมแห้งราวกับลำไม้ไผ่ ดูไม่เหมือนว่าหมัดจะหนัก ป๋ายโส่วรู้สึกว่าตัวเองเลื่อนเป็นโอสถทองแล้ว ไม่กล้าพูดว่าจะต้องเอาชนะเผยเฉียนได้อย่างมั่นคง แต่ก็น่าจะพอมีเรี่ยวแรงให้สู้กลับได้บ้าง จึงประลองฝีมือกับเผยเฉียนอีกครั้งอย่างองอาจ ผลคือเผยเฉียนรับผิดชอบปล่อยหมัดหนึ่งที เขารับผิดชอบล้มไปนอนกองอยู่กับพื้น น้ำลายฟูมปาก ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง นอนชักกระตุกไม่หยุดอยู่บนพื้น ราวกับผู้ฝึกยุทธฝึกท่าเดินอย่างไรอย่างนั้น

รอกระทั่งเขาที่สลบเหมือดอยู่บนเตียงฟื้นคืนสติกลับมา เผยเฉียนก็หาข้ออ้างลวกๆ บอกคนแซ่หลิวแล้วเผ่นหนีไปแล้ว ตนนั้นป๋ายโส่วที่เศร้าสลดจึงดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมหัวแกล้งหลับต่อไป

ในขณะที่เฉินผิงอันพึงพอใจอย่างมากแล้ว หลี่หลิ่วก็พลันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ยกับเขา บอกว่านางเองก็จะเป็นเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วเหมือนกัน

แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อาจปฏิเสธได้

และถึงแม้ว่าหลี่หลิ่วจะหน้าซีดขาว ท่าทางเหมือนยังไม่หายดีจากอาการป่วยหนัก มองดูแล้วยิ่งอ่อนแอบอบบาง ทว่าหลี่หลิ่วที่มองดูคลายบอบบางมิอาจต้านทานลมเช่นนี้ ต่อให้ขอบเขตถดถอยก็ยังคงเป็นเซียนเหรินคนหนึ่ง

และชุยตงซานก็เคยบอกว่า ผู้ฝึกตนขอบเขตเดียวกัน หลี่หลิ่ว เจียงซ่างเจิน ล้วนเป็นเซียนเหรินประเภทที่ตอแยด้วยยากที่สุด แน่นอนว่ายังต้องบวกกับจื้อกุยในปีนั้นไปด้วยอีกคน เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ใหญ่ในความหมายทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นสวี่รั่วแห่งสำนักโม่หรือเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้ว ก็มีแต่จะยิ่งตอแยได้ยากยิ่งกว่า

ความกระวนกระวายของเพ่ยเซียงเจ้าแห่งแคว้นหู คาดว่าคงไม่ด้อยไปกว่าถัวเหยียนฮูหยินเลย

นางกังวลว่าพองานพิธีใหญ่ในวันนี้ผ่านพ้นไป มากคนมากดวงตา พรุ่งนี้ทางนครลมเย็นก็จะรู้ร่องรอยของนางและตลอดทั้งแคว้นหู

นางไม่ได้กลัวว่าสวี่หุนแห่งนครลมเย็นจะมาซักไซ้เอาความผิด ผู้ฝึกตนสำนักการทหารขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ต่อให้มาแล้ว แล้วจะอย่างไร? หากภูเขาลั่วพั่วคิดจะรั้งตัวแขกเอาไว้ สวี่หุนก็คงจากไปไม่ได้

เพ่ยเซียงแค่กังวลเกี่ยวกับวิธีการของคนที่อยู่หลังม่านอย่างสตรีสกุลสวี่ผู้นั้น

หงเซี่ยเดินลงน้ำกลายเป็นมังกร เป็นครั้งแรกที่ได้พบเจอกับเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเป็นทางการ เผชิญหน้ากับเฉินผิงอันที่มีสีหน้าเมตตาปราณีกับนางอย่างมาก ส่วนลึกในหัวใจของหงเซี่ยก่อกำเนิดกลับเกิดความเคารพยำเกรงตามธรรมชาติขึ้นมา

เพ่ยเซียงและหงเซี่ยที่นั่งติดกัน ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตก่อกำเนิดทั้งสองท่าน พวกนางค้นพบว่าดูเหมือนอีกฝ่ายจะตึงเครียดยิ่งกว่าตนเอง นี่กลับกลายเป็นว่าทำให้จิตใจของพวกนางค่อยๆ สงบลงได้

พูดคุยเรื่องเค่อเชิงเสร็จแล้ว

งานพิธีของภูเขาลั่วพั่วก็ถือว่าสิ้นสุดลง

การประชุมที่จำเป็นต้องปิดประตูพูดคุยกันต่อจากนี้เกี่ยวพันไปถึงความลับของสำนัก เฉินผิงอันจึงต้องไปส่งแขกที่ประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ ทุกคนที่มาเป็นแขกร่วมงานพิธีล้วนจะเข้าพักในจวนตระกูลเซียนแถบใหญ่ซึ่งสร้างขึ้นตรงกึ่งกลางภูเขาของยอดเขาจี้เซ่อ รอกระทั่งการประชุมเสร็จสิ้นลง เฉินผิงอันยังต้องแวะไปเยี่ยมเยือนเรือนแต่ละหลังอีกรอบ

ภูเขาลั่วพั่วมียอดเขาสามลูก ยอดเขาหลักคือยอดเขาจี๋หลิง ซึ่งก็คือยอดเขาที่มีเรือนไม้ไผ่ มีศาลเทพภูเขา ส่วนยอดเขาจี้เซ่อที่สร้างศาลบรรพจารย์แห่งนี้ แท้จริงแล้วเป็นยอดเขารอง

เพราะว่าเป็นการประชุมในศาลบรรพจารย์ ลูกศิษย์ของลูกศิษย์และผู้ถวายงานทั่วไปหลายคนของภูเขาลั่วพั่วล้วนจำเป็นต้องจากไป จึงติดตามแขกที่มาร่วมงานพิธีลงไปจากภูเขา ต่อให้เป็นจ้าวซู่เซี่ยลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเฉินผิงอันที่เนื่องจากประสบการณ์ยังไม่มากพอ วันนี้จึงยังไม่อาจอยู่ต่อได้ แต่สำหรับคนหนุ่มที่ถึงวันนี้เพิ่งจะเป็นปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ การกราบไหว้อาจารย์ที่เป็นดั่งความฝัน ก็ยังคงทำให้เขาจากไปเหมือนคนเดินละเมอ กระทั่งถึงบัดนี้ผู้ฝึกยุทธหนุ่มก็ยังไม่คืนสติ เพราะก่อนหน้านั้นทางภูเขาลั่วพั่วไม่มีใครบอกเขาเลยว่าวันนี้ตนเองจะกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เฉินได้

จ้าวซู่เซี่ยหันหน้าไปพูดกับจ้าวหลวนที่อยู่ด้านข้างเสียงเบา “หลวนหลวน ข้าคงไม่ได้ฝันไปกระมัง?”

หญิงสาวที่หน้าตางดงามอย่างถึงที่สุดสวมชุดตระกูลเซียนของจวนไช่เฉวี่ยยิ้มตอบว่า “ต่อยตัวเองหนึ่งหมัด หากเจ็บปวดก็ไม่ใช่ความฝันแล้ว”

จ้าวซู่เซี่ยถอนหายใจ “หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ก็น่าจะพูดกับอาจารย์เฉินสักคำ ให้เปลี่ยนจากข้าไปเป็นเจ้าก็คงดี เจ้าคุณสมบัติดีขนาดนี้ ทุกวันนี้เป็นถึงขอบเขตประตูมังกรแล้ว ข้าต้องฝึกวิชาหมัดสองล้านครั้งกว่าจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ได้อย่างลุ่มๆ ดอนๆ”

คิดไม่ถึงว่าจ้าวซู่เซี่ยกลับยิ้มจนดวงตาทั้งคู่หยีลงเป็นพระจันทร์เสี้ยว ราวกับว่าการที่ตัวเองไม่ได้กลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของอาจารย์เฉิน นางถึงจะดีใจยิ่งกว่า

หลิวเสี้ยนหยางเดินเคียงไปกับศิษย์พี่ใหญ่ต่งกู่อย่างเป็นธรรมชาติ พาเว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะไปด้วย

กุ้ยฮูหยินกับถัวเหยียนฮูหยินจับมือเดินไปด้วยกัน พูดคุยกระซิบกระซาบกันเรื่องของสตรี

เส้าอวิ๋นเหยียนไปหาหลิ่วจิ่งหลง แน่นอนว่าต้องได้รู้จักกับหลิ่วจื้อชิง สวีซิ่งจิ่วและหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าไปด้วย คนทั้งกลุ่มอันที่จริงถือว่าเป็นคนบ้านเดียวกันจากอุตรกุรุทวีป ยามพูดคุยกันจึงถูกคอกันอย่างมาก

เฉินหลี่พาเกาโย่วชิง และยังมีจวี่สิงกับเฉามู่ไปด้วยกัน คนทั้งสี่คือตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มาเร็วยิ่งกว่า และยังมีเด็กๆ ที่เหลืออีกเก้าคนที่ติดตามใต้เท้าอิ่นกวานมายังภูเขาลั่วพั่ว

ยังคงเป็นคนบ้านเดียวกันกลุ่มใหญ่

เพื่อนร่วมชั้นเรียนสี่คนที่มีหลินโส่วอีเป็นหนึ่งในนั้นเดินเคียงบ่าไปด้วยกัน

คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าพวกเขาคือหลี่เอ้อผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง เซียนเหรินหลี่หลิ่ว หันเฉิงเจียงผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง ทุกวันนี้เป็นคนในครอบครัวเดียวกันแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางคุยกับเว่ยจิ้นเสร็จก็เดินเร็วๆ มาทางหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่ง มือหนึ่งวางบนบ่าของคนคนหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะร่าตะโกนเรียกหันเฉิงเจียง

หันเฉิงเจียงสีหน้าแข็งค้าง ร่างกายขึงเกร็ง หันหน้ามามอง เค้นรอยยิ้มส่งให้หลิวเสี้ยนหยาง ตามองตรงไม่ล่อกแล่ก

หลินโส่วอีที่เคยเป็นคนเฝ้าศาลของลำน้ำฉีตู้หรี่ตาลง คนเชื่อดาบต่งสุ่ยจิ่งก็กระตุกมุมปาก

บัณฑิตหันเฉิงเจียงมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากทันที

อันที่จริงราชวงศ์ฮวาหลิงคือราชวงศ์ใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของอุตรกุรุทวีป อีกทั้งสกุลหันยังเป็น ‘ไท่ซ่างหวง’ ของราชวงศ์ฮวาหลิง ฐานะค่อนข้างคล้ายคลึงกับสกุลอวี้ของแผ่นดินกลาง ในฐานะทายาทสายตรงของสกุลหัน หันเฉิงเจียงจึงถือว่ามาจากตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวยอันดับหนึ่งของใต้หล้าไพศาลแล้ว เพียงแต่ว่ามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่คุ้นเคยกับทั้งผู้คนและสถานที่ ในใจจึงอดเกิดความกระวนกระวายไม่ได้ เขาไม่ถือสาสักนิดที่ต้องกินผักดองดื่มเหล้าชั้นเลว ทุกวันจะต้องทำงานอย่างการหาบน้ำผ่าฟืน กลับกันยังรู้สึกยินดีที่ได้ทำเช่นนั้น เพียงแต่ว่าถูกหลิวเสี้ยนหยางสหายรักเพียงหนึ่งเดียวในเมืองเล็กข่มขู่จนหวาดผวาไปหมด ตามคำกล่าวของหลิวเสี้ยนหยาง นับตั้งแต่เด็กมาหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่งต่างก็เป็นมารร้ายของบ้านเกิด ชอบดักเอาผ้าป่านครอบหัวคนกลางทางแล้วลากไปซ้อมในนา หันเฉิงเจียงไม่กลัวเรื่องการทะเลาะโต้เถียง แต่กลัวการทะเลาะต่อยตีนี่นา หากหน้าเขียวจมูกบวมกลับไปบ้าน ต่อให้หันเฉิงเจียงไม่รู้สึกว่าตัวเองขายหน้า แต่ท่านพ่อตาแม่ยายรักหน้าตาเป็นที่สุด แถมเพื่อนบ้านแต่ละคนก็หูดีข่าวไวกันยิ่งกว่าอะไรดี เขาจะทำอย่างไรได้? บอกว่าหกล้มระหว่างทางงั้นหรือ?

รอกระทั่งหลี่หลิ่วผินหน้าน้อยๆ กลับมามองทางด้านหลัง หลินโส่วอีกับต่งสุ่ยจิงก็พากันเคลื่อนสายตาออก หันมาคุยกันอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ทันที

ซุนชิงแห่งจวนไฉ่เชวี่ยพาหลิ่วกุ้ยเป่าลูกศิษย์ผู้สืบทอดเดินไปกับหลี่ฝูฉวีผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตก่อกำเนิดและโจวไฉ่เจินลูกศิษย์ผู้สืบทอดของนาง เดินตามหลังกลุ่มของหลิวจิ่งหลงไป

ป๋ายโส่วรู้ว่าในนี้มีความลี้ลับซ่อนอยู่ เจ้าจวนซุนที่อยู่ด้านหลังกับหลูสุ้ยแห่งภูเขาสุ่ยจิงต่างก็เป็นหนึ่งในสิบเทพธิดาใหญ่ของอุตรกุรุทวีป อีกทั้งยังหลงใหลเจ้าคนแซ่หลิวราวกับถูกผีบังตาบังใจ ส่วนเซียนกระบี่เส้าแห่งเรือนชุนฟานกับอาจารย์ของหลูสุ้ยก็เป็นกึ่งๆ คู่รักครึ่งตัวที่มีบุพเพแต่ไร้วาสนาต่อกัน ดังนั้นเวลานี้คนทั้งสองกลุ่มที่เดินตามกันไป แม้อยู่ใกล้ในระยะประชิด แต่รอบด้านกลับเต็มไปด้วยปราณสังหาร

ฟ่านเอ้อ ซุนเจียซู่ จินซู่ กำลังพูดคุยธุระกับเหวยอวี่ซงเทพเจ้าแห่งโชคลาภของสำนักพีหมา

ซานจวินเว่ยป้อ เซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวา หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน อวี้เจวี้ยนฟู หลินจวินปี้ คนห้าคนที่มาจากสี่ทวีปก็พูดคุยกันถูกคอยิ่ง

คนจากสองร้าน ‘สายตรอกฉีหลง’ อย่างสือโหรว คนใบ้น้อยอาหมาน นักพรตเฒ่าตาบอดเจี่ยเฉิง จ้าวเติงเกา เถียนจิ่วเอ๋อร์ และยังมีจางเจียเจินกับเจี่ยงชวี่ที่เคยเป็นลูกจ้างผู้ดูแลร้านลำดับสอง ทั้งยังเคยทำงานเบ็ดเตล็ดในตรอกฉีหลง พากันลงจากภูเขาไปด้วยกัน

นักพรตเฒ่าลูบหนวดคลี่ยิ้ม สีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง ช่วยไม่ได้ ทุกวันนี้ได้เลื่อนขั้นขุนนางอีกแล้ว จะห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ ผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วแบ่งออกเป็นสามระดับ เขานอนอยู่เฉยๆ ก็ได้รับโชคด้วยการเลื่อนขั้นเป็นผู้ถวายงานลำดับสอง

ไปถึงที่พักกึ่งกลางภูเขา จวนตระกูลเซียนของยอดเขาจี้เซ่อแถบนี้กับสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างลดหลั่นกันเป็นแถบๆ ด้านหลังภูเขาลั่วพั่วนั้น ปีนั้นล้วนอาศัยโจวเฝยผู้ถวายงานที่ควักเงินฝนธัญพืชสิบกว่าเหรียญในกระเป๋า เรือนที่พักทุกเรือนล้วนเป็นผู้ดูแลใหญ่จูเหลี่ยนที่ออกแบบและควบคุมการสร้างด้วยตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นพ่อครัวเฒ่าที่เคยเขียนตำรา ‘รูปแบบมาตรฐานสถาปัตยกรรม’ ของพื้นที่มงคลดอกบัวมาก่อน เมื่อเทียบกับจวนที่พักแถบที่อยู่ใกล้กับเรือนไม้ไผ่ยอดเขาจี๋หลิง ต้องเรียกได้ว่าผู้มาที่หลังไล่ตามมาจนแซงหน้า แต่ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าจะถือว่าเป็น ‘คนเก่าคนแก่’ ของภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ก็ยังต้องดูว่าทางฝั่งของเรือนไม้ไผ่นั้นมี ‘เรือนเล็กเก่าโทรม’ ที่ไม่มีค่าจริงๆ อยู่หรือไม่ นี่คือหลักการเดียวกันกับข้อที่ว่าสนิทกับภูเขาลั่วพั่วหรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าได้แทะเมล็ดแตงหรือไม่

แขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีทุกคนล้วนสังเกตเห็นว่ากลุ่มคนที่เดิมทีก่อนหน้านี้คุยเล่นกันไประหว่างทาง แทบไม่ต้องแยกย้ายกันไปยังไงเลย เพราะที่พักของพวกเขาล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกันทั้งสิ้น ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะพูดคุยกันต่ออยู่ในเรือนที่พักแห่งใดแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกตน ยามอยู่บนภูเขาต่างคนต่างฝึกตนของตัวเองไป อีกทั้งยังมาจากสี่ด้านแปดทิศของใต้หล้าไพศาล โอกาสที่จะได้มารวมตัวกันอย่างในวันนี้ อันที่จริงมีไม่เยอะ

และสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการจัดการอย่างตั้งใจหลังจากปรึกษากันอย่างละเอียดของหน่วนซู่น้อย พ่อครัวเฒ่าและนักบัญชีเหวย ลำพังเพียงแค่กระดาษที่ใช้ร่างรายละเอียดคร่าวๆ ผู้ดูแลน้อยเฉินหน่วนซู่ก็เขียนเต็มไปแล้วหนึ่งตะกร้า

เพราะต้องมาเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบรรพจารย์ ก่อนหน้านี้หน่วนซู่จึงมอบกุญแจหลายพวงไว้ให้กับเถียนจิ่วเอ๋อร์และอาหมานน้อย แต่ไหนแต่ไรมาพี่หญิงจิ่วเอ๋อร์ก็เป็นคนละเอียดอ่อนอยู่เสมอ ส่วนอาหมานน้อยก็อย่ามองว่าเขาชอบทำตัวเหมือนคนใบ้ เพราะแท้จริงแล้วเฉลียวฉลาดหัวไวอย่างมาก

ยามอยู่ล่างภูเขา อาหมานที่มีชื่อจริงว่าโจวจวิ้นเฉินแค่สนิทกับเถ้าแก่สือโหรวอยู่บ้างเท่านั้น อยู่บนภูเขาก็แค่พูดคุยกับหน่วนซู่ไม่กี่คำ ต่อให้ไปอยู่กับเผยเฉียนผู้เป็นอาจารย์ อาหมานก็ยังคงชอบทำตัวเป็นคนใบ้อยู่เหมือนเดิม

ในลานบ้านขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง เฉินหลี่ ‘อิ่นกวานน้อย’ นั่งเอนๆ พิงเก้าอี้หิน มองป๋ายเสวียน ‘อิ่นกวานน้อยน้อย’ ที่เอาสองมือไพล่หลัง

เฉินหลี่ถาม “ป๋ายเสวียน เจ้าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้วหรือยัง?”

ป๋ายเสวียนเหมือนถูกฟ้าผ่า จากนั้นก็นินทาในใจไม่หยุด มารดามันเถอะ เจ้านี่พูดจากับนายน้อยแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าเป็นอิ่นกวานน้อยที่ได้รับการยอมรับจากทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วอย่างไร? เจ้าได้อยู่ข้างกายอาจารย์เฉาสักกี่วันกันเชียว?

เกาโย่วชิงรู้สึกอยุติธรรมแทนเด็กๆ เหล่านั้นจริงๆ จึงพูดบ่นว่า “เฉินหลี่ ไม่มีใครเขารังแกคนอื่นแบบเจ้าหรอก ทุกวันนี้ป๋ายเสวียนยังอายุไม่ถึงสิบขวบเลยนะ”

เด็กหนุ่มจวี่สิงนั่งอยู่บนขั้นบันได วางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่งพาดหัวเข่าเอาไว้ ยิ้มมองเรื่องสนุก ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร เป็นคอขวด ขอบเขตต่ำกว่าเฉินหลี่หนึ่งขั้น

เด็กสาวเฉามู่ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเซี่ยซงฮวาเช่นเดียวกัน แต่กลับเพิ่งจะเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรเท่านั้น

เฉินหลี่เหล่ตามอง เกาโย่วชิงรีบเงียบเสียงทันที เฉินหลี่ถามอีกว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลบรรพจารย์ แล้วยังมีตอนที่อยู่บนเส้นทางเดินลงจากภูเขา เจ้ามองอะไร?”

ป๋ายเสวียนกลอกตาหนึ่งที ก่อนจะยิ้มหน้าทะเล้น “ก็เพราะเลื่อมใสในมาดของอิ่นกวานน้อยอย่างไรล่ะ”

เฉินหลี่กล่าว “วันหน้าตั้งใจฝึกตนให้ดี”

ป๋ายเสวียนข่มกลั้นความวู่วามที่จะกลอกตาเอาไว้ ยิ้มร่ากุมหมัดเอ่ยว่า “แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

น่าหลันอวี้เตี๋ยกับเหยาเสี่ยวเหยียนต่างก็สนิทกับเกาโย่วชิง เวลานี้ต่างก็นั่งยองขนาบซ้ายขวาพี่หญิงเกา ต่างก็จ้องหีบไม้ไผ่ใบน้อยที่ว่ากันว่าพี่หญิงเผยเฉียนเป็นผู้มอบให้ใบนั้นตาเป็นมัน

ส่วนอวี้ชิงจางและเฮ้อเซียงถิงนั้นนั่งอยู่ข้างกายจวี่สิง กำลังพูดคุยกันด้วยภาษาบ้านเกิด ถามเรื่องขนบธรรมเนียมและผู้คนของธวัลทวีป

กำแพงเมืองปราณกระบี่จะบอกว่าใหญ่ก็ใหญ่มาก ผู้ฝึกกระบี่และเซียนกระบี่มีเยอะมากมายจริงๆ แต่จะว่าเล็กก็เล็กมาก อันที่จริงก็ใหญ่เพียงแค่นั้น

อีกทั้งก่อนหน้านี้ต่อให้เป็นเด็กๆ ที่แค่เคยเห็นหน้าค่าตากันบนตรอกบนถนนของบ้านเกิด พอมาอยู่ใต้หล้าไพศาลต่างก็เปลี่ยนมาเป็นสนิทสนมกัน

มีเพียงคนเดียวที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือซุนชุนหวัง แม่นางน้อยที่พอเลือกห้องได้ก่อนใครก็เริ่มบำรุงกระบี่บินด้วยความอบอุ่นทันที

——