พลังชีวิตที่เข้มข้นและบริสุทธิ์ปะทะเข้าหน้า เพียงวูบเดียวหลินสวินรู้สึกประหนึ่งเข้าสู่แดนเซียน!

ภูผาธาราที่นี่เขียวชอุ่ม ผืนดินกว้างเต็มไปด้วยสรรพสัตว์ เวิ้งฟ้ายังปรากฏสีฟ้าที่แวววาว ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดล้วนมีพลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ไหลเวียน เขียวชอุ่มชุ่มฉ่ำ

ดอกไม้ป่าที่สามารถเห็นได้ทั่วไปจำนวนหนึ่งล้วนสาดพรมประกายแสงอบอวล กลิ่นหอมรัญจวนคละคลุ้งชวนให้ผู้คนลุ่มหลงแผ่ออกมา

ต้นไม้เก่าแก่เปลือกหนาแตกกิ่งก้านสาขามากมายตั้งเรียงรายสูงเสียดฟ้า ยามที่กิ่งใบของมันโบกแกว่ง ก็พรมแสงฝนที่เหมือนสายน้ำตกลงมาด้วย นั่นล้วนเป็นสิ่งที่วิวัฒน์ขึ้นจากพลังชีวิตอันเข้มข้น

สรรพสิ่งล้วนดูเหมือนแดนเซียนในตำนาน เป็นแดนมงคลที่เหล่าทวยเทพสิงสถิต

ยิ่งกว่านั้นสิ่งที่ต่างจากแดนหลอมสมบัติคือ ในฟ้าดินแห่งนี้มีระลอกคลื่นชีวิตที่ชวนตกใจไหลเวียนอยู่!

บนเวิ้งฟ้า เสียงกังวานใสสายหนึ่งดังแหวกม่านเมฆ กระเรียนขาวฝูงหนึ่งท่วงท่างามสง่า ดุงดั่งรุ้งเทพสีขาวฝูงหนึ่งวาบผ่านบนเวิ้งฟ้า

“กระเรียนเซียนคุนหลุน… ตามตำนาน กระเรียนเซียนเหล่านี้ถือกำเนิดพร้อมกับแหล่งสถานคุนหลุน เป็นสัญญาณแห่งมงคล คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะมาถึงก็จะถูกพวกเราเห็นเข้าตั้งแต่แรกแล้ว”

เมิ่งอี้ร้องชมคราหนึ่ง กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ไม่ได้หมายความว่า การเดินทางของพวกเขาครานี้จะต้องเปลี่ยนทุกข์เป็นสุข โชคดีซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรอกหรือ”

“เช่นนั้นก็ขอให้สมพรปากพี่เมิ่งแล้ว”

จีเฉียนก็หัวเราะเช่นกัน

หลินสวินและอาหูเริ่มสำรวจรอบทิศ สัมผัสรับรู้เงียบๆ

ในภูผาธาราแถบนี้ไม่ได้มีเพียงแค่พวกเขา ในพื้นที่ไม่ไกลออกไปยังมีเงาร่างของผู้ฝึกปราณคนอื่นปรากฏตัวผ่านอากาศออกมาอย่างต่อเนื่อง

ทันทีที่มาถึงต่างอดส่งเสียงอุทานออกมาไม่ได้

เพราะฟ้าดินแถบนี้เรียกได้ว่าสลักจิตงามประณีต ประหนึ่งแดนพิสุทธิ์สุขารมณ์

ยืนอยู่ในนี้ ไม่ต้องออกแรงสักนิดก็สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายมหามรรคที่ลอยเข้ามาตามธรรมชาติ!

“เถาวัลย์บรรลุนภาเมื่อครู่ล่ะ เหตุใดถึงหายไปแล้ว”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยขึ้น

ทุกคนต่างอึ้งไป ล้วนคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะใส่ใจปัญหาเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาเช่นนี้ด้วย

แม้จะเป็นเช่นนี้เมิ่งอี้ก็ยังกล่าวอธิบายอย่างใจเย็นว่า “เถาวัลย์บรรลุนภาเป็นเพียงวิธีเข้าสู่โบราณสถานคุนหลุนแห่งนี้ พาดเชื่อมระหว่างแดนหลอมสมบัติและโบราณสถานคุนหลุน พี่หลินจะมองว่ามันเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างสองโลกก็ได้”

หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง

เขาหาได้ถามสุ่มไปเรื่อย แต่เพราะคิดถึงที่มาของแดนหลอมสมบัติ

หากไม่ใช่เพราะได้รับก้อนทองแดงก้อนหนึ่งที่ ‘เตาหลอมสมบัติ’ ใบนั้นเหลือทิ้งไว้ เขาก็ยังไม่กล้าเชื่อว่าแดนหลอมสมบัติที่ใหญ่โตนั่น จะถึงกับวิวัฒน์ขึ้นมาจาก ‘เตาหลอมสมบัติ’!

สันนิษฐานเช่นนี้ โบราณสถานคุนหลุนที่ยืนอยู่ในเวลานี้ จะมีที่มาอย่างไรกัน จะใช่…

วิวัฒน์มาจากของวิเศษบางอย่างเหมือนกันหรือไม่

เห็นได้ชัดยิ่ง ว่าไม่ว่าจะเป็นเมิ่งอี้หรือคนอื่นๆ ล้วนไม่สามารถตอบคำถามข้อนี้ได้

ทันใดนั้นจู่ๆ บริเวณที่ไกลออกไปก็มีเสียงร้องโหยหวนสายหนึ่งดังขึ้น แหลมเล็กหาใดเปรียบ ท่ามกลางบรรยากาศมงคลสงบสุขเช่นนี้จึงเสียดหูหาที่เปรียบไม่ได้

ในใจพวกหลินสวินตระหนก ต่างทอดสายตามองไป

ก็เห็นเบื้องหน้าต้นไม้โบราณต้นหนึ่งไกลๆ ชายหนุ่มชุดคลุมม่วงคนหนึ่งถูกขึงไว้ ร่างกายห้อยต่องแต่งกลางอากาศ ดิ้นขัดขืนสุดชีวิตก็ไม่เป็นผล

และสิ่งที่ขึงคอของเขาไว้ เป็นกิ่งไม้เขียวมรกตยาวหลายสิบจั้งเต็มกิ่งหนึ่งที่ห้อยลงมาจากต้นไม้เก่าแก่!

สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างของชายหนุ่มชุดม่วงเหี่ยวเฉาลงไปอย่างรวดเร็ว สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณ รวมถึงเลือดเนื้อทั่วร่างราวกับถูกกัดกินไป

จนถึงตอนสุดท้าย แม้แต่ผิวหนังที่หลงเหลืออยู่ก็ยังกลายสภาพเป็นฝุ่นผง ลอยร่วงเกลื่อนพื้น

ภาพเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดและน่าสะพรึงนี้ ทำเอาคนในที่นั้นไม่รู้เท่าไหร่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เสียงร้องผวาดังทั่วสี่ทิศ ขนพองสยองเกล้า

“นั่นเป็นผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักดาบจันทร์คราม และเป็นมกุฎมหาอริยะคนหนึ่ง พลังต่อสู้แข็งแกร่ง แต่ว่า… แต่ว่ามาตายสภาพนี้หรือ”

มีคนขวัญผวา เอ่ยปากเสียงสั่น

นี่เพิ่งจะมาถึงโบราณสถานคุนหลุน ก็มีมกุฎมหาอริยะประสบเคราะห์เช่นนี้แล้ว ใครบ้างจะไม่ใจสะท้าน

คราวนี้คนมากมายถึงตระหนักอย่างลึกซึ้ง ว่าฟ้าดินเบื้องหน้านี้ดูเป็นมงคลเหมือนแดนพิสุทธิ์สุขาวดี ทว่าความจริงแล้วซุกซ่อนอันตรายยิ่งใหญ่ที่ไม่มีใครล่วงรู้เอาไว้มากมาย

นับแต่อดีตถึงปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้!

หลินสวินมองอย่างละเอียด ต้นไม้โบราณต้นนั้นกิ่งก้านเขียวมรกต สูงตระหง่านเสียดฟ้า พลังชีวิตเข้มข้นม้วนตลบดุจน้ำตกไหลหลั่งออกมา

มันวิเศษศักดิ์สิทธิ์อย่างเห็นได้ชัด ดูไม่ออกเลยว่ามีอันตราย

แต่ใครจะคาดคิด กิ่งก้านเดียวของมันก็สามารถปลิดชีวิตมกุฎมหาอริยะคนหนึ่งได้ง่ายๆ?

ยามเมื่อมองภูผาธาราของฟ้าดินแห่งนี้อีกหน หลินสวินยังอดสีหน้าเคร่งขรึมไม่ได้ ในใจผุดความรู้สึกอันตรายรุนแรง

“เห็นป่าอย่าใกล้ เจอเขาเลี่ยงเขา เจอน้ำเดินอ้อม เจอหมอกจงถอย…”

อาหูกล่าวเสียงเบา “นี่คือบทเรียนที่ผู้อาวุโสนับไม่ถ้วนที่มุ่งหน้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนในอดีตที่ผ่านมา ใช้เลือดและชีวิตสรุปออกมาได้ พวกเราก็อย่าประมาทโดยเด็ดขาด”

กล่าวพลางนางทอดสายตามองทางพวกเมิ่งอี้ “ทุกท่าน พวกเราขอออกจากที่นี่ก่อนแล้ว”

“ดี ข้าคนแซ่เมิ่งจะรอคำตอบของเจ้าทั้งสอง”

เมิ่งอี้ไม่ได้อิดออด

“ขอตัว”

หลินสวินและอาหูหันตัวจากไปพร้อมกัน

และพร้อมกันนั้น ผู้ฝึกปราณมากมายที่มาถึงโบราณสถานคุนหลุนแถบนี้ก็พากันเริ่มเคลื่อนไหว เหินไปยังทิศทางแตกต่างกัน

โบราณสถานคุนหลุนใหญ่โตยิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าฟ้าดินแห่งนี้ซุกซ่อนความลับเอาไว้เท่าไหร่ และไม่มีใครสามารถคาดคะเนความกว้างใหญ่ของมันได้

ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุนครั้งนี้ล้วนมาด้วยความพร้อม มีแผนการแต่แรก ในมือก็ไม่ขาดเบาะแสและคำชี้แนะจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับแหล่งสถานคุนหลุน

ดังนั้นยามที่เคลื่อนไหวต่างก็ไม่ได้บุ่มบ่ามเหมือนแมลงวันไร้หัว หากเป็นเช่นนั้นอาจประสบเคราะห์ได้ง่ายๆ

ก็เหมือนอย่างชายหนุ่มชุดม่วงเมื่อครู่ เพียงแค่เข้าใกล้ต้นไม้โบราณต้นหนึ่งเท่านั้นก็ถูกขึงตายทั้งเป็น!

เช่นเดียวกัน อาหูก็เป็นเช่นนี้ นางมาเพราะต้นท้อแบนต้นหนึ่ง!

มีนางนำทาง หลินสวินย่อมไม่ต้องกังวลว่าจะหลงเข้าสู่แดนอันตราย

‘พี่เมิ่ง เจ้ามีแผนการแบบใดกันแน่ จะร่วมมือกับพวกเขาจริงๆ หรือ’

จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินและอาหูจากไป คราวนี้จีเฉียนจึงอดสื่อจิตเอ่ยถามไม่ได้

เมิ่งอี้หัวเราะเบาๆ ถามย้อนกลับไปว่า “ทำไมจะไม่ได้ หากลงมือรุนแรงจริงๆ จากพลังของพวกเรา หากไม่จ่ายค่าตอบแทนมากมาย เกรงว่าคงเอาพวกเขาสองคนไม่อยู่”

“เจ้าแน่ใจหรือ”

จีเฉียนจับจ้องเมิ่งอี้ เขามักรู้สึกอยู่เสมอว่าในใจเมิ่งอี้กำลังวางอุบายอะไรบางอย่าง

เมิ่งอี้ตบไหล่จีเฉียนเบาๆ กล่าวเสียงนุ่มนวลว่า “พี่จี พวกเราเป็นสหายเก่ากัน เจ้าแค่ต้องร่วมเดินทางข้างกายข้าก็พอแล้ว เรื่องอื่นข้าตัดสินใจไว้นานแล้ว”

เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนทอดสายตามองไปไกลๆ แล้วกล่าวว่า “ไปกันเถอะ ก่อนจะไปแท่นสักการะ พวกเราต้องไปที่แดนมงคลแห่งหนึ่งก่อนสักเที่ยว หากโชคดี ไม่แน่ว่ายังจะได้รับของดีจำนวนหนึ่งด้วย”

กล่าวพลางเขาเอามือไพล่หลัง ก้าวเดินมุ่งหน้า

จีเฉียนและเจียงเหิงสบตากันปราดหนึ่ง ก่อนเดินตามไป

‘ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านไว้ใจคนผู้นี้หรือ’

เจียงเหิงสื่อจิตถาม นางมีความกังวลใจอย่างบอกไม่ถูก เมิ่งอี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนเหวใหญ่ที่ลึกสุดหยั่งปากหนึ่ง ปราดเปรื่องซ่อนคมไม่เปิดเผย

‘วางใจเถอะ เมิ่งอี้ไม่กล้าคิดไม่ซื่อกับพวกเราแน่’

จีเฉียนมั่นใจยิ่ง เขามาจากเผ่าจักรพรรดิตระกูลจี มีที่มาหยั่งลึกแน่นแฟ้นถึงขีดสุดกับเผ่านักรบฉงฉี หนำซ้ำเขาผูกสัมพันธ์กับเมิ่งอี้มานานแล้ว รู้ธาตุแท้ของเมิ่งอี้ดียิ่งยวด

เพียงแต่สิ่งเดียวที่จีเฉียนยังไม่มั่นใจก็คือ ครั้งนี้เมิ่งอี้ทำไปเพียงเพื่อป้ายคำสั่งเซียนเหิน ถึงได้ตัดสินใจร่วมมือกับพวกหลินสวินสองคนนั่นจริงๆ หรือ

วู้ม…

ปิ่นปักผมสีเงินเล่มหนึ่งลอยผลุบโผล่ๆ ชี้ทางอยู่เบื้องหน้าอาหู

หลินสวินตามหลังนางติดๆ ระวังตัวหาใดเปรียบตลอดทาง โบราณสถานคุนหลุนนี่ดุจดั่งแดนเซียน ภูผาธาราชุกชุม ประกายเซียนเวียนไหล พลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าภายในนั้นซุกซ่อนอันตรายไว้มากน้อยเพียงใด

“ดูเร็ว นั่นไม่ใช่หลินสวินหรือ”

ระหว่างทางเงาร่างกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้น ยามมองเห็นพวกหลินสวินสองคนต่างก็เผยแววจับจ้องศัตรูออกมาอย่างอดไม่ได้

หลินสวินปรายตามองปราดหนึ่งก็จำได้ในทันที นั่นคือคุนจิ่วหลินและผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์กลุ่มหนึ่ง

เหมือนดั่งคำว่าศัตรูพบหน้า ดวงตาล้วนแดงก่ำเป็นพิเศษ

หลินสวินตั้งท่าจะลงมือโดยไม่ลังเลสักนิด แต่ถูกอาหูขวางไว้ “อย่าเคลื่อนไหว พื้นที่แถบนี้เต็มไปด้วยอันตรายมากเกินไป ดึงผมเส้นเดียวสะท้านทั่วร่าง อย่าลืมสิว่าผู้สืบทอดสำนักดาบจันทร์ครามเมื่อครู่ตายอย่างไร”

ดวงตาหลินสวินหดรัด ระงับไอสังหารภายในใจเอาไว้

“หลินสวิน ความกล้าของเจ้าไม่ได้ยิ่งใหญ่มากหรือ เหตุใดถึงไม่กล้าลงมือล่ะ” คุนจิ่วหลินเอ่ยปากเยียบเย็น เจือแววเยาะเย้ย

เวลานี้ระยะห่างของพวกเขาสองฝ่ายเหลือแค่หลายสิบจั้งเท่านั้น

แต่เห็นได้ชัดมากว่าพวกคุนจิ่วหลินก็ไม่ได้คิดจะลงมือเช่นกัน ต้องรู้ดีเช่นกันว่าหากลงมือที่นี่จะประสบกับอันตรายที่ไม่อาจคาดการณ์ได้แน่นอน

หลินสวินแดกดันกลับ “คราวที่แล้วหากไม่ใช่เพราะเหวินฉิงเสวี่ย เกรงว่าเจ้าคงกลายเป็นคนตายไปนานแล้วกระมัง”

คุนจิ่วหลินสีหน้าเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูขึ้นมาทันที

“ข้าให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง หากเจ้ากล้าลงมือตอนนี้ ข้าสัญญาว่าจะให้เจ้าตายอย่างมีเกียรติ หากไม่กล้าก็ไสหัวหลีกไปให้ข้าซะ”

หลินสวินและอาหูพุ่งตรงไปข้างหน้า ไม่ได้หลบหลีกสักนิด หมายจะสวนผ่านข้างกายพวกคุนจิ่วหลินไป

คุนจิ่วหลินหน้าเบ้บวมแดง หน้าผากมีเส้นเลือดปูดโปน เกือบอดไม่ไหวอยากลงมือหลายต่อหลายครั้ง

แต่ท้ายที่สุดก็ยังมองหลินสวินและอาหูเดินอาดๆ ผ่านหน้าพวกเขาไปตาปริบๆ

“สวะ!”

หลินสวินกล่าวทิ้งท้ายแล้วจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

“หลินสวิน! เจอกันคราวหน้าข้าจะขยี้ศพเจ้าให้แหลกเป็นหมื่นชิ้นแน่!”

คุนจิ่วหลินระงับเพลิงโทสะในใจไม่อยู่อีกต่อไป ส่งเสียงคำรามออกมา ไอสังหารยะเยือกเย็น

ข้างกายเขาผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ทั้งกลุ่มต่างก็เดือดดาลยากสงบเช่นกัน หลินสวินนี่ไม่เห็นพวกเขาในสายตาเกินไปแล้ว

ตูม!

ทันใดนั้นในพื้นที่ใกล้เคียง ประกายไฟฟ้าสีเทาขมุกขมัวสายหนึ่งผุดวาบ

คุนจิ่วหลินสะดุ้งตกใจ รีบเก็บไอสังหารที่ล้นทะลักออกมารอบกายอย่างรวดเร็ว ประกายไฟฟ้าสีเทาขุ่นมัวสายคล้ายสูญเสียเป้าหมาย ไม่นานก็อันตรธานหายไป

เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตา พวกคุนจิ่วหลินต่างสูดหายใจหนาวเยือก เมื่อครู่หากอดไม่อยู่ลงมือกับหลินสวิน เช่นนั้นผลที่ตามมาย่อมไม่อาจคาดคิดโดยเด็ดขาด!

และพร้อมกันนั้นในใจหลินสวินก็เสียววาบไม่หายเช่นกัน สัมผัสได้ถึงประกายไฟฟ้าสีเทาที่โผล่มาปุบปับสายนั้น

“กล่าวเช่นนี้ ในโบราณสถานคุนหลุนแห่งนี้ก็ไม่สามารถต่อสู้ได้เลยหรือ” เขาอดถามไม่ได้

เมื่อครู่คุนจิ่วหลินเพียงแค่เผยไอสังหารวูบหนึ่งเท่านั้น ก็ชักนำประกายไฟฟ้าสีเทาสายหนึ่งออกมาแล้ว นี่ชวนให้ผู้คนตกใจเกินไปแล้ว

อาหูส่ายหน้า “ไม่ได้ขนาดนั้น โบราณสถานคุนหลุนแห่งนี้ย่อมมีกฎระเบียบฟ้าดินของตนเอง รอหลังจากพวกเราปรับสภาพกับกฎระเบียบของที่นี่ได้แล้ว ก็จะสามารถแยกแยะและสอดส่องอันตรายจำนวนหนึ่งที่ซุกซ่อนในฟ้าดินแห่งนี้ได้แล้ว”

หลินสวินพยักหน้า

หลังผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงวู้มดังขึ้นคราหนึ่ง ปิ่นสีเงินที่นำทางอยู่เบื้องหน้าสั่นเบาๆ ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งโดยพลัน

ที่นั่นเป็นป่าแถบหนึ่ง กว้างขวางหาใดเปรียบ กิ่งใบสูงเสียดฟ้า ปกฟ้าคลุมตะวัน

เห็นได้ชัดว่าอาหูเตรียมพร้อมมาแต่เนิ่นๆ นางพลิกฝ่ามือคราหนึ่ง ปรากฏกิ่งไม้สีดำสนิทกิ่งหนึ่งขึ้นมา จากนั้นกล่าวว่า

“นี่เป็นกิ่งที่ผลัดร่วงมาจากต้นท้อแบนเมื่อนานมาแล้ว มีมันอยู่ ยามที่เข้าสู่ป่าแห่งนี้ ก็สามารถทำให้พวกเราสัมผัสถึงตำแหน่งที่ตั้งของท้อแบนต้นหลักได้!”