เสิ่นเจี้ยวคานผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย มือขวาของเฉินผิงอันคีบเงินร้อนน้อยขึ้นมา เตรียมจะพลิกไปอีกด้าน ปัญญาชนเครางามเพิ่งจะเหลือบเห็นตัวอักษร ‘ซู’ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็ให้กลัดกลุ้มยิ่งนัก หันหน้าไปมอง โบกมือเป็นพัลวัน “เจ้าโจรน้อยจอมเจ้าเล่ห์ กลัวเจ้าแล้ว ไปๆๆ พวกเราจากกันตรงนี้ อย่าได้มาพบเจอกันอีกเลย”
เฉินผิงอันเก็บเงินเทพเซียนกลับลงไปอีกครั้ง เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “อาจารย์พ่อ คือคนที่ชอบแกะสลักหน้าผาไปทั่วสารทิศว่า ‘ได้รับคำสั่งให้มาเยือนที่นี่’ คนนั้นจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้มาหยุดอยู่ที่นี่ ข้ายังนึกว่าอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้จะอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วขว้างตำราใส่หน้าข้า”
โจวหมี่ลี่เอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “จิตใจคนยากจะคาดเดา ยุทธภพอันตรายจริงๆ”
เฉินผิงอันตบหัวของหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ย “น้ำทะเลเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เมฆประหลาดแปรเปลี่ยน ยุทธภพอันตรายจริงๆ”
บนถนนมีแผงดูดวงอยู่แห่งหนึ่ง นักพรตเฒ่าผอมจนหนังหุ้มกระดูก ด้านหน้าแผงใช้ถ่านวาดครึ่งวงกลมเอาไว้ ลักษณะคล้ายพระจันทร์ครึ่งดวง เขาเพิ่งจะเก็บแผงพอดี เด็กๆ หลายคนที่คุ้นเคยกับพวกพ่อค้าที่มาตั้งแผงลอยกำลังเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน นักพรตเฒ่ายื่นมือไปตบบนแผงหนักๆ หนึ่งที ตวาดดุ พวกเด็กๆ ก็แตกฮือกันทันใด นักพรตเฒ่าเห็นเฉินผิงอันที่ผ่านทางมาก็รีบจับธงเอียงกะเท่เร่ข้างกายให้ตั้งตรงทันใด บนผืนธงเขียนประโยคว่า ‘อยากได้เคล็ดลับความเป็นอมตะ ก็ต้องผ่านด่านเซียนนี้ไปก่อน’ ทันใดนั้นเขาก็พลันตะเบ็งเสียงดังลั่น “สองหมื่นตำลึงทองไม่ซื้อทาง ถนนในตลาดยกให้เจ้า…”
คิดไม่ถึงว่าคนทั้งสามจะเดินผ่านแผงไปโดยตรง ไม่เพียงแต่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ยังจงใจทำเป็นมองไม่เห็นอีกด้วย สุดท้ายเดินเข้าไปในร้านขายอาวุธที่อยู่ใกล้กับแผงของเขา นักพรตเฒ่าดึงสายตาที่มองตามตาปริบๆ กลับมา ทอดถอนใจหนึ่งที ก่อนจะเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “คนหยาบ คนหยาบ ไม่รู้จักมหามรรคา”
ข้างแผงดูดวงยังมีแผงลอยเล็กๆ อีกหนึ่งแผง ด้านบนผืนผ้าวางขวดไหเก่าแก่ไว้บางส่วน มีชายฉกรรจ์ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงนอนหลับหัวห้อยอยู่ ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าเพื่อนบ้านตะโกนดังขนาดนั้นก็ยังไม่ทำให้เขาตื่นได้ รอกระทั่งนักพรตเฒ่าหันหน้ากลับมา แล้วจู่ๆ เอ่ยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าทึ่ม กิจการมาเยือนถึงที่แล้ว ตื่นเร็ว” ชายฉกรรจ์ก็พลันเงยหน้าขึ้น พบว่าแท้จริงแล้วไม่มีใครแวะมาที่ร้านก็หลับต่ออีกครั้ง นักพรตเฒ่ารู้สึกทนมองเจ้าตัวขี้เกียจผู้นี้ไม่ไหวจึงพ่นเสียงหัวเราะพรืด “ในอดีตน้องจิงมีความองอาจห้าวหาญถึงเพียงใด ทุกวันนี้กลับต้องกลายมาเป็นผ้าห่อบุญที่หลอกต้มคนอื่นแล้วก็ยังไม่อาจหาเงินมาได้เสียได้”
ชายฉกรรจ์เพียงแค่หลับตานิ่ง นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืนจากม้านั่งยาว ยกเท้าเตะโถเล็กชุบทองขนาดเท่าฝ่ามือที่อยู่ใกล้เท้าคว่ำไปใบหนึ่ง นักพรตเฒ่าเอ่ยเย้ยหยันว่า “เจ้าบอกว่าหลุดมาจากในวัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีคนโง่เชื่อเจ้าอยู่บ้าง แต่เจ้าบอกว่าของเล่นชิ้นนี้คือเหมินไห่ (สมัยโบราณหมายถึงโถใหญ่ที่ใช้ในวัง มีหกชนิด) ที่เอาไว้เลี้ยงเจียวหลง ใครจะเชื่อ? โอ้โห ยังชุบทองด้วยหรือนี่ ไม่ได้แค่แปะทองสินะ ดูสินั่น ล่วงเกินแล้วๆ สีหลุดหมดแล้ว”
ชายฉกรรจ์เองก็นิสัยดียิ่ง เพียงแค่อ้อมเอวไปคว้าโถน้ำใบเล็กที่โดนเตะจนสีหลุดกลับมาตั้งวางให้ดีอีกครั้ง
นักพรตเฒ่าเตะโถเล็กจนพลิกคว่ำอีกรอบ
ชายฉกรรจ์ก็หยิบมาตั้งวางใหม่ให้ดี เพียงแต่วางไว้บนมุมผ้าที่ห่างจากนักพรตมาไกลหน่อย เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “คนบนโลกรู้จักแต่มรรคาจารย์เต๋าขี่วัวดำ ใครจะรู้จักเจ้ากัน? คนที่รู้จักเจ้าก็ไม่มีทางมาที่นี่ เจ้าเองก็ต้องนั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่นี่ทุกวันเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
ผู้เฒ่านั่งกลับลงไปบนม้านั่งตัวยาว ถอนหายใจเฮือกๆ อันที่จริงถนนและตรอกเก่าแก่มากมายในเมืองก็ล้วนมีอายุพอๆ กับผู้เฒ่า ทว่าพวกมันกลับเริ่มค่อยๆ หายไปแล้ว
และเพื่อนบ้านที่ตั้งแผงอยู่ใกล้กันอย่างคู่ของพวกเขานี้ ไม่ว่าจะอย่างไร จะดีจะชั่วก็ยังคงอยู่ที่นี่ได้ คนหนึ่งเคยขี่วัวดำออกท่องไปทั่วหล้า พยายามตามหาภาพบรรพบุรุษของห้าขุนเขา คนหนึ่งเคยขี่ลาแก่ขากะเผลกอ่อนแรง ตัวโยกคลอนไปมาอยู่บนหลังลา มือกระบี่ที่มีหนวดม้วนงอ สะพายธนูคันใหญ่ กระบี่สามฉื่อและธนูหกชั่งล้วนสามารถทิ่มแทงเจียวในน้ำได้
เฉินผิงอันเข้ามาในร้านแล้วก็หยิบฝักดาบเล่มหนึ่งขึ้นมา ชักดาบออกจากฝัก ตัวดาบแคบบาง คมกริบอย่างถึงที่สุด แกะสลักคำว่า ‘เสี่ยวเหมย’ เอาไว้ เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะหนึ่งที ตัวดาบสั่นแต่กลับไร้เสียง มีเพียงริ้วแสงบนตัวดาบเท่านั้นที่เหมือนลายน้ำกระเพื่อมเป็นระลอก เฉินผิงอันส่ายหน้า ดาบเป็นดาบดี อีกทั้งยังเป็น ‘ดาบจริง’ เพียงเล่มเดียวในร้านแห่งนี้ด้วย เฉินผิงอันเสียดายก็แต่คำพูดระหว่างนักพรตเฒ่าและชายฉกรรจ์ร้านผ้าห่อบุญนั้นกลายเป็นเสียงที่อู้อี้ ได้ยินไม่ชัดเจน ฟ้าดินแห่งนี้แปลกประหลาดเกินไปหน่อยแล้ว
เจ้าของร้านคือชายฉกรรจ์หุ่นหลังเสือเอวหมี ยิ้มเอ่ยว่า “ทั้งๆ ที่เป็นคนสะพายกระบี่ แต่กลับเข้ามาเลือกดาบในร้าน ไม่เข้าท่าเลย”
มีผู้เฒ่าชุดเขียวคนหนึ่งกำลังอ้อนวอนอย่างยากลำบาก “เทียบอักษรแผ่นนั้นของบรรพบุรุษบ้านข้าไม่อาจให้คนนอกเห็นได้จริงๆ ช่วยเห็นใจกันหน่อย ขายมันให้ข้าเถอะ”
ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองผู้เฒ่าคนนั้น คร้านจะพูดคุยด้วย
บนถนนมีเสียงเอะอะดังขึ้นมา เฉินผิงอันสอดดาบกลับใส่ฝัก วางกลับลงไปที่เดิม ถามชายฉกรรจ์ที่เป็นเจ้าของร้านว่า “ดาบนี้ขายอย่างไร?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มตอบ “หากคิดจะซื้อดาบ ย่อมได้ ไม่แพง แค่ต้องเอาน้ำบ๊วยของฉูโจวหนึ่งถ้วย ขิงขาวของถงหลิงครึ่งจิน รากบัวอ่อนตามฤดูกาลของทังซานอีกเล็กน้อยมาแลกก็ได้แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอถามว่าของสามอย่างนี้อยู่ที่ใดหรือ?”
ชายฉกรรจ์ตอบ “อยู่ในนครแห่งอื่น”
บนถนนมีเสียงเอะอะอึกทึกดังขึ้น แล้วจึงตามมาด้วยเสียงฝีเท้าม้า เป็นกองทหารม้าลาดตระเวนเมืองก่อนหน้านี้ที่คุ้มกันคนผู้หนึ่งมาส่งไว้ที่นอกร้านขายอาวุธ คือบัณฑิตท่าทางสง่างามคนหนึ่ง
บัณฑิตผู้นั้นเดินเข้ามาในร้าน ในมือถือกล่องไม้มาด้วยใบหนึ่ง พอเจอกับพวกกลุ่มของเฉินผิงอันก็มีท่าทีตกตะลึงไปอย่างเห็นได้ชัด เพียงแต่ว่าไม่ได้เปิดปากพูดอะไร วางกล่องไม้ไว้บนโต๊ะคิดเงิน พอเปิดออกแล้วก็คือน้ำบ๊วยหนึ่งถ้วย ขิงขาวครึ่งจินและรากบัวอ่อนสีขาวหิมะอีกสองสามราก
ชายฉกรรจ์เห็นแล้วถึงกับน้ำตาคลอ ไม่พูดไม่จาก็เดินอ้อมผ่านโต๊ะคิดเงินมา เอ่ยขออภัยเฉินผิงอันหนึ่งคำ แล้วหยิบดาบยาวที่มีชื่อว่า ‘เสี่ยวเหมย’ (คิ้วเล็ก) เล่มนั้นโยนให้กับบัณฑิตผู้นั้น
ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ขอเทียบอักษรมาจากเจ้าของร้านเอ่ยอย่างรันทด “เจ้านครเส้า มากวาดค้นที่ดินของพวกเราอีกแล้วหรือ เดินเตร็ดเตร่ไปทั่วสามนครตามใจชอบ แบบนี้ใช่ใช้ผลประโยชน์ส่วนตัวเบียดบังผลประโยชน์ส่วนรวมหรือไม่?”
บัณฑิตห้อยดาบไว้ตรงเอวโดยตรง แล้วถึงหันมายิ้มเอ่ยกับผู้เฒ่า “ต่อให้เป็นข้า เข้าออกนครเปิ่นโม่รอบหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน”
บัณฑิตแซ่เส้าคิดแล้วก็เอ่ยกับเจ้าของร้านว่า “รบกวนหยิบเทียบไร้ตัวอักษรนั่นออกมาหน่อย ข้าจะเสริมให้เอง”
เจ้าของร้านหรี่ตาลง “เส้าเป่าเจวี้ยน เจ้าคิดดีแล้วหรือ ระวังจะสูญเสียตำแหน่งเจ้านครที่ได้มาไม่ง่ายนี้ไปนะ”
บัณฑิตเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ชายฉกรรจ์จึงหยิบเทียบอักษรชิ้นหนึ่งออกมา ไม่มีตัวอักษร แต่กลับมีกลิ่นบุปผาอบอวล เห็นเพียงว่าตรงตราประทับเป็นคำว่าตำหนักจีซี
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ด้านข้าง
เส้าเป่าเจวี้ยน เจ้านครของนครแห่งอื่น
น้ำบ๊วย ขิงขาวถงหลิงและรากบัวภูเขาทังซานของนครเปิ่นโม่
นี่หมายความว่าอย่างน้อยที่สุดบนเรือข้ามฟากต้องมีนครอยู่อย่างน้อยสามแห่ง
ใบหน้าของบัณฑิตเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรีบคลี่ยิ้มผงกศีรษะให้อีกฝ่ายทันใด แล้วจึงหมุนตัวหันหลังกลับ
เส้าเป่าเจวี้ยนยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ทำการ ‘เขียนอักษร’ ลงบนเทียบไร้ตัวอักษร ชายฉกรรจ์เจ้าของร้านยิ้มพลางพยักหน้ารับ เก็บเทียบอักษรที่มีกลิ่นหอมของบุปผาโชยมาปะทะจมูกชิ้นนั้นลงไป จากนั้นจึงหยิบเทียบอักษรอีกชิ้นหนึ่งออกมา ประโยคเปิดเริ่มต้นคือ ‘บุตรชายนิสัยโง่เขลา’ ตรงช่วงท้ายคือประโยค ‘โปรดเผาทิ้ง’ ชายฉกรรจ์ยื่นเทียบอักษรนี้มอบให้กับบัณฑิต เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้านครเส้าด้วยที่ได้รับสมบัติไปอีกหนึ่งชิ้น”
เส้าเป่าเจวี้ยนมอบเทียบอักษรให้กับผู้เฒ่า ท่องเบาๆ คำว่า ‘เผา’ เทียบอักษรก็ถึงกับติดไฟลุกไหม้ทันที
ผู้เฒ่าตกตะลึงไปก่อน จากนั้นก็ตามมาด้วยความปิติยินดีอย่างบ้าคลั่ง สองมือรับเทียบอักษรติดไฟที่ ‘ไฟแท้จริงดุจมายา’ นั้นมา ในที่สุดก็ได้ทำความปรารถนาให้เป็นจริง รอกระทั่งเทียบอักษรเผาไหม้จนหมดสิ้น น้ำตาก็ไหลอาบใบหน้าเหี่ยวย่น ประสานมือโค้งตัวคารวะเจ้านครหนุ่มไม่ยอมยืดตัวขึ้นมา
บัณฑิตเพียงแค่เอ่ยว่าเลื่อมใสในตัวปราชญ์ผู้ล่วงลับตระกูลเจ้ามานานแล้ว ตามหลักแล้วก็ควรทำเช่นนี้
ผู้เฒ่าก้มหน้าเช็ดน้ำตา จากนั้นก็หยิบถุงใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ บนถุงปักตัวอักษรสองคำว่า ‘เอ๋อลวี่’ กับเชือกยาวประมาณฉื่อกว่าเส้นหนึ่ง ค่อนข้างเปื่อยยุ่ย
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “หลัวจื่อไต้ (แท่งเขียนคิ้วในสมัยโบราณ ลักษณะเป็นแท่งยาวพันเป็นเกลียวคล้ายก้นหอย) ถุงนี้หนักห้าหู (เครื่องตวงสมัยโบราณ เป็นรูปสี่เหลี่ยมปากแคบก้นใหญ่ หนึ่งหูเท่ากับสิบโต้ว) พอดี บวกกับเชือกเส้นนี้ เจ้านครเส้าก็จะขาดแค่รองเท้าปักลายข้างนั้นแล้ว รวมครบก็จะได้เจอกับคงต้งฮูหยินแล้ว”
เส้าเป่าเจวี้ยนเอ่ยขอบคุณ ไม่ได้แสร้งทำเป็นเกรงใจอะไร รับทั้งถุงและเชือกมาเก็บไว้ในชายแขนเสื้อโดยตรง
ใบหน้าของผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเบิกบานใจ จากไปอย่างรีบร้อน
บัณฑิตมองพวกเฉินผิงอันสามคน แล้วจึงมองไม้เท้าเดินป่าของเผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ พลันเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “กุรุทวีป นครปี้ฮว่า ลำคลองเหยาเย่”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ฟ้าแลบ หุบเขาผีร้าย ภูเขาจีเซียว”
เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มอย่างรู้กัน “เป็นเจ้าจริงๆ ด้วย”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเจ้า”
ปีนั้นที่ได้ไปท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีปเป็นครั้งแรก ตอนที่เฉินผิงอันเดินทางผ่านลำคลองเหยาเย่ เขาได้แสร้งโง่ปฏิเสธโชควาสนาตระกูลเซียนครั้งหนึ่งไปอย่างละมุนละม่อม
ตรงนครปี้ฮว่าที่อยู่ด้านหลัง เทพหญิงกว้าเยี่ยนเป็นคนที่ถนัดการเข่นฆ่าสังหารมากที่สุด เพียงไม่นานก็เป็นฝ่ายรับนักท่องเที่ยวต่างถิ่นคนหนึ่งเป็นนาย ภายหลังผ่านมานานพักใหญ่เฉินผิงอันถึงได้รู้คดีลับเรื่องหนึ่งของสำนักพีหมาจากตู้เหวินซือผู้ฝึกตนก่อกำเนิดสำนักพีหมาที่เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว รู้ว่าบ่อสายฟ้าที่อยู่บนภูเขาจีเซียวในหุบเขาผีร้ายแห่งนั้นเคยเป็นบ่อชำระกระบี่ของเรือนโต้วซูที่ปริแตกแห่งหนึ่ง มาจากหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกองของกรมสายฟ้ายุคบรรพกาล ภายหลังนายและบ่าวสองคนที่มาเยือนภูเขามู่อี คนต่างถิ่นจากหลิวเสียทวีปผู้นั้นพร้อมกับเทพหญิง ‘ฟ้าแลบ’ ที่ตรงเอวห้อยแท่นฝนหมึกโบราณก็ได้รับโชควาสนาตระกูลเซียนไปด้วยกัน ในความเป็นจริงแล้วก่อนหน้าคนทั้งสอง เป็นเฉินผิงอันที่พบเจอกับบ่อสายฟ้าของภูเขาจีเซียวก่อน เพียงแต่ว่าเขาเคลื่อนย้ายมันไปไม่ได้ จึงได้แต่ขุดเอา ‘แส้ไม้ไผ่สีทอง’ ไปบางส่วนเท่านั้น
เส้าเป่าเจวี้ยนเอ่ยขอตัวลา
เฉินผิงอันผงกศีรษะรับ
ออกมาจากร้านเฉินผิงอันก็ค้นพบว่านักพรตเฒ่าคนนั้นเอ่ยถามเสียงดัง “เด็กรุ่นหลังผู้นั้น เหมยหิมะหมื่นปีที่บ้านเกิด เคยมีสักต้นที่ออกดอกหรือไม่?”
เส้าเป่าเจวี้ยนมองเฉินผิงอันที่เงียบงันไม่พูดจา หันหน้ากลับมายิ้มเอ่ย “ทุกปีบุปผาผลิบานต้นไม้พันหมื่น ไม่มีความแปลกประหลาดใด”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังลั่น ลุกขึ้นยืนดีดปลายเท้าเตะโถใส่น้ำชุบทองใบนั้นไปให้เส้าเป่าเจวี้ยน บัณฑิตรับมาถือไว้ในมือ ชายฉกรรจ์ที่นั่งงีบหลับอยู่บนพื้นก็เพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่รับรู้ ไม่สนใจสักนิดว่าของมีค่าบนแผงลอยร้านตนหายไปชิ้นหนึ่ง
เผยเฉียนมึนงงสนเท่ห์ ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ นักพรตเฒ่าคนนั้นกำลังถามท่านอยู่กระมัง?”
ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าเมืองเส้าเป่าเจวี้ยนอะไรนั่นเข้ามาในนครเถียวมู่แห่งนี้ก็เพื่อเก็บตกสมบัติของดีกันนะ?
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มตาหยี “ไม่รีบร้อน”
เผยเฉียนหันหน้าไปก็สังเกตเห็นว่าเส้าเป่าเจวี้ยนเดินห่างไปไกลแล้ว ไปยืนอยู่ข้างกายหญิงชราขายขนมอบ ทั้งไม่ซื้อขนม แล้วก็ไม่จากไป คล้ายกับว่ารอคอยใครอยู่ตรงนั้น
เพียงไม่นานก็มีภิกษุแบกหาบปรากฏกาย มองดูแล้วเปี่ยมไปด้วยกำลังวังชา ฝีเท้าเร็วรี่ พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “คนออกบวชเช่นข้า เผชิญพันหายนะเรียนรู้พระธรรมอันน่าเกรงขาม เผชิญหมื่นพิบัติภัยเรียนรู้เรื่องราวอันละเอียดอ่อนของพระธรรม ทว่ากลับยังไม่อาจบรรลุธรรม มารทิศใต้กลับกล้าพูดจี้ใจคน บอกว่าแค่รู้จักจิตของตน เข้าใจสันดานตนก็บรรลุพระธรรมได้แล้ว ควรกวาดล้างรังของมัน ทำลายเผ่าพันธุ์ของมัน เพื่อตอบแทนพระคุณของพระพุทธเจ้าเสียจริง!”
เฉินผิงอันหยุดยืนนิ่ง สีหน้าเคร่งเครียด
เดินผ่านข้างกายหญิงชรา ภิกษุวางหาบลง ดูท่าแล้วคิดจะซื้อขนมจากร้านนาง
หญิงชราชี้ไปยังหาบที่ภิกษุวางไว้บนพื้น กำลังจะถามคำถาม เส้าเป่าเจวี้ยนกลับชิงถามก่อนว่า “นี่คือตัวอักษรอะไร?”
ภิกษุกำลังจะตอบ
เฉินผิงอันเห็นเส้าเป่าเจวี้ยนกำลังจะเปิดปากพูดอีกก็ขมวดคิ้วมุ่น ใช้เสียงในใจเอ่ยกับบัณฑิตผู้นี้ “เดิมทีก็เป็นคดีของลัทธิพุทธอยู่แล้ว เจ้าจะมาเข้าร่วมอะไรด้วย”
เส้าเป่าเจวี้ยนยิ้มบางๆ หันหน้ามา คล้ายกำลังรอให้เฉินผิงอันเอ่ยประโยคนี้อยู่ จึงใช้เสียงในใจถามกลับทันที “อย่างไรจึงจะเป็นประสงค์จากประจิม? นักพรตหาบภาชนะบรรจุเหล้าที่มีรูรั่วหรือ?”
“อ้อ?”
นักพรตเฒ่าที่ตั้งแผงขายของคล้ายได้ยินเสียงในใจของทั้งสองฝ่าย รีบลุกขึ้นยืนทันใด แต่สายตากลับเอาแต่จับจ้องเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันหัวเราะ เพียงแค่มองบัณฑิตคนนั้น “วางแผนทุกก้าวย่าง ร้อยเรียงต่อกันเป็นทอดๆ ช่างเป็นแผนการที่ดีเยี่ยมซะจริง”
——