หลังจากผ่านไปพักหนึ่ง ภายใต้อำนาจบารมีแดนจักรพรรดิเทพของจีเสวียนคง อัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ดวงนั้นยิ่งอยู่ยิ่งหม่นหมองลง พลังอัคคีของมันถูกกดอัดลงไปถึงขีดจำกัด หากกดอัดมันอีกละก็ ระดับขั้นของอัคคีเทพก็จะตกจากขั้นดำชั้นสูงลงมาเป็นชั้นกลางแล้ว

ภายในเสี้ยววินาทีนี้ ก็มีแสงเรืองเปล่งประกายออกมาจากดวงตาของหลัวซิว มีแรงดูดที่มากมายมหาศาลปรากฏกลางฝ่ามือ ดูดซับอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์เข้าไปในร่างกายโดยตรง

“ซ่าซ่าซ่า……”

เสียงที่เลือดเนื้อถูกจี่ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กลางฝ่ามือข้างขวาของหลัวซิวกลายเป็นสีดำไหม้ภายในชั่วพริบตา เลือดสีแดงสดอาบเต็มมือ

อย่างไรก็ตามสีหน้าของหลัวซิวกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าเขาเคยผ่านพ้นความเจ็บระดับนี้มามากจนนับไม่ถ้วนและชินชาไปแล้ว

เมื่อจีเสวียนคงเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแอบผงกหัวเบา ๆ ไม่ว่าพรสวรรค์สติปัญญาของอัจฉริยะคนหนึ่งจะสูงมากเพียงใด สุดท้ายผลสำเร็จของคนคนนั้นจะเป็นอย่างไรนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็มีความเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของตัวเขาอยู่ดี

นอกเหนือจากโอกาสและโชคชะตาที่สามารถแปรเปลี่ยนได้แล้ว ผู้ที่วนเวียนอยู่ริมขอบความเป็นความตาย ผ่านประสบการณ์อันโชกโชนที่ทุกข์ทรมานและยากลำบากมา ถึงจะมีโอกาสกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้มากกว่า

ถูกอัคคีเทพแผดเผาแต่สีหน้ากลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เห็นได้ชัดเจนเลยว่าลูกศิษย์คนนี้ของตัวเองภายนอกดูหนุ่มมาก ๆ แต่ประสบการณ์ที่ผ่าน ๆ มาของเขาต้องเคยผ่านความทุกข์ทรมานมาไม่รู้ตั้งกี่หนแน่นอน และมีเพียงประสบการณ์การเติบโตเช่นนี้ ถึงจะสามารถขัดเกลาคนที่มีปณิธานวิถียุทธ์แน่วแน่อย่างยิ่งออกมาได้

อัคคีเทพเข้าร่าง สีหน้าของหลัวซิวไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แต่ร่างกายของเขากลับเริ่มสั่นคลอนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

คุณสมบัติพิเศษของอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ก็คือมีชี่ฉกรรจ์ที่ไร้ขอบเขตแฝงซ่อนอยู่ ชี่ฉกรรจ์เหล่านี้เหมือนดั่งดาบกระบี่ที่สร้างความเสียหายอยู่ภายในร่างกายเขาอย่างโหดร้าย เหมือนมีดาบกระบี่นับพันนับหมื่นทิ่มแทงเข้าไปในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายเขา ปณิธานจิตวิญญาณของเขาสามารถต้านทานความเจ็บปวดที่น่าเวทนาเช่นนี้ได้ ทว่าปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณของร่างกายเขากลับต้านทานไม่อยู่

พลังแห่งอสุราของร่างยุทธ์ร่างเนื้อสร้างประโยชน์ในขั้นตอนการกลั่นแปรหลอมรวมอัคคีเทพไม่ได้เลย หลัวซิวพยายามระดมผลการฝึกตนของเวทย์ดาราทั้งหลายรวมด้วยกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ที่มีกฎเพลิงอัคคีขั้น 7 แฝงซ่อนอยู่ พลังเวทย์ผลการฝึกตนของเขายังไม่ทันได้สัมผัสกับร่างแท้ของอัคคีเทพเลยด้วยซ้ำ ก็ถูกชี่ฉกรรจ์และเพลิงอัคคีที่ไร้ขอบเขตเผาทิ้งไปก่อน

ร่างมังกรที่กลายมาจากอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์มุดไปมุดมาอยู่ระหว่างเส้นลมปราณและกระดูกเอ็นในร่างกายเขา เห็นเพียงร่างกายของหลัวซิวค่อย ๆ แตกทลายอย่างต่อเนื่อง ภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ร่างกายของเขาก็ถูกทำลายจนระเนระนาดย่ำแย่สุด ๆ

“อ๊ากก! ……”

ในที่สุด ปณิธานที่เกะกะระรานของหลัวซิวก็อดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว กรีดร้องอย่างน่าเวทนาออกมาจากปากที่เต็มไปด้วยเลือด เนื่องจากเมื่อครู่นี้เอง อัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์ได้มุดเข้าไปในหัวใจเขา หัวใจอันแข็งแกร่งและทรงพลังที่เต้นเป็นจังหวะถูกทำลายไปเกือบครึ่งภายในเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น

อั่ก!

เลือดสีแดงสดพุ่งออกมาจากปาก ซึ่งภายในมีเศษสีดำที่เป็นอวัยวะภายในผสมปนเปอยู่ด้วย ร่างกายของหลัวซิวชักกระตุกอย่างรุนแรง ในแววตามีรังสีแห่งความโหดและดื้อรั้นเป็นประกายอยู่เล็กน้อย

“ตำหนักวัฏสงสาร สยบมันซะ!”หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่นในใจ

ในอดีตเขาไม่สามารถกระตุ้นตำหนักวัฏสงสารและลูกแกวทำเป็นตายได้ ทว่าตั้งแต่ที่เทพแห่งวัฏจักรชีวิตอย่างตัวมรณาหลับใหลเป็นต้นมา พลานุภาพส่วนมากของของคลังทั้งสองชิ้นนี้ก็ถูกผนึก ดังนั้นจึงทำให้เขามีโอกาสควบคุมของขลังสองชิ้นนี้

…… เวิงเวิงเวิง!……

ตำหนักวัฏสงสารที่อยู่ในตัวหยั่งรู้รับรู้ได้ถึงการเรียกของหลัวซิว ตำหนักสีทองเหลืองจึงหายวับไปภายในเสี้ยววินาที วินาทีต่อไปมันก็ปรากฏอยู่ตรงหัวใจของเขาแล้ว

ณ บัดนี้วินาทีนี้ หัวใจของหลัวซิวถูกอัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์กัดกลืนจนสภาพพังยับเยิน มังกรโลหิตที่กลายมาจากอัคคีเทพดุร้ายน่ากลัว ชี่ฉกรรจ์สูงเทียมฟ้า

โครม!

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของตำหนักวัฏสงสารทำให้อัคคีเทพโลหิตฉกรรจ์คาดการณ์ไม่ถึงเลย เห็นเพียงลำตัวของมันสั่นเทา จากนั้นก็ถูกตำหนักสีทองเหลืองกดอัดอยู่ด้านล่างของตำหนัก