ตอนที่ 3362 : เผ่าพยัคฆ์ขาว
หลังเสี่ยวจินกล่าวจบคํา นางก็หลับตาลงทันที ร่างมหึมาเริ่มห่อหุ้มไปด้วยพลังสายเลือด
พลังงานสายเลือดสีแดงฉานที่ปกคลุมร่างดังงกล่าว สามารถปิดกั้นได้กระทั่งสํานึกเทวะ ทําให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ไม่อาจตรวจสอบสถานการณ์ความเป็นไปของเสี่ยวจินได้เลย
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่านี่เป็นเรื่องดีกับเสี่ยวจิน ไม่ใช่เรื่องร้าย
ให้ถอยไปหมื่นก้าว ถึงเสี่ยวจินจะล้มเหลว แต่ก็แค่เท่าทุนไม่มีอะไรเปลี่ยน
ทว่าหากประสบผลสําเร็จดั่งที่นางพูดล่ะก็…นางจะพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพทันที!
“ฮ่วนเอ๋อ”
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนแผ่สํานึกเทวะออกไปตรวจสอบระวังภัยโดยรอบ ก็อดส่งเสียงผ่านพลังถามฮ่วนเอ๋อไม่ได้ “เสี่ยวจินสามารถพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพได้ด้วยวิธีนี้”
“ไม่ได้หมายความว่า การกลืนกินสัตว์เทพจะทําให้สัตว์อมตะชั้นยอดวิวัฒนาการไปเป็นสัตว์เทพได้หรอกหรือ?”
ในสายตาของต้วนหลิงเทียน ในมรดกความทรงจําที่ฮ่วนเอ๋อได้รับสืบทอดมา ต้องมีเรื่องราวพวกนี้บันทึกไว้แน่
“พี่หลิงเทียน”
ฮ่วนเอ๋อส่ายหัวไปมาพลางตอบผ่านพลังว่า “มีเพียงสัตว์อมตะชั้นยอดบางชนิดเท่านั้น ที่สามารถใช้วิธีกลืนกินสายเลือดสัตว์เทพเพื่อยกระดับพัฒนาสายเลือดของตัวเอง…สัตว์อมตะไม่เว้นสัตว์อมตะชั้นยอดส่วนใหญ่ ไม่มีความสามารถแบบนี้”
“เสี่ยวจินเป็นสัตว์อมตะชั้นยอดที่มีความสามารถเช่นนี้พอดี”
“และเป็นธรรมดาว่าในฐานะที่เป็นสัตว์อมตะชั้นยอดแล้ว เสี่ยวจินจะมีโอกาสวิวัฒนาการไป เป็นสัตว์เทพก็ต้องกลืนกินเลือดของสัตว์เทพเท่านั้น…หากไปกลืนกินสัตว์อมตะชั้นยอดอื่นๆ ไม่ว่าจะมากแค่ไหนก็ไม่มีทางพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพได้”
ฮ่วนเอ๋อกล่าวออกรวดเดียวจบ
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวทันที ขณะเดียวกันก็บังเกิดความคาดหวังใจอยู่บ้างโดยหวังว่าเสี่ยวจินจะสามารถยกระดับสายเลือดกลายไปเป็นสัตว์เทพได้สําเร็จ
“เสี่ยวจิน”
ต้วนหลิงเทียนไม่คิดไม่ฝันจริงๆ ว่าหนูขนทองตัวเล็กๆที่เคยอยู่กับเขาในระนาบโลกียะตอนนั้น จะเติบโตมาได้ถึงขนาดนี้ และกําลังจะมีโอกาสพัฒนาไปเป็นสัตว์เทพแล้ว
เรื่องราวทั้งหมดในปัจจุบัน วันแรกที่ต้วนหลิงเทียนได้พบเจอเสี่ยวจิน เขาไม่แม้แต่จะฝันถึง
เสี่ยวจินกลืนกินเลือดเนื้อของพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ จนอยู่ในสภาพดักแด้วิวัฒนาการแบบนี้ ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อ ก็จําต้องคอยปกป้องคุ้มครองนางเอาไว้ไม่ห่าง
ทั้งคู่ไม่กล้าออกไปมองหาศัตรูอะไร
แน่นอนว่าที่นี่คืออเวจีหมื่นแปลง ต่อให้พวกเขาจะไม่ออกไปหาคนอื่น คนอื่นก็จะมาหาพวกเขาอยู่ดี
แต่แล้วไง?
ต้วนหลิงเทียนกระทั่ง 1 ใน 2 แม่ทัพระดับ 7 ที่สมควรแข็งแกร่งที่สุดในสมรภูมิอเวจียังฆ่าได้ เขายังต้องกลัวคนอื่นอีกเหรอ?
ต่อให้มีคนมามากแค่ไหน ก็ตายมากขึ้นเท่านั้น
และในปัจจุบัน หากมีคนที่คอยติดตามตารางจัดอันดับยศแต้มรบอยู่ล่ะก็จะพบว่า 1 ใน 2 อันดับแรกบนหัวตาราง “ไป๋สุ่ยหาน” ที่เป็นอันดับ 2 นั้น นามของมันได้อันตรธานหายไปจากตารางแล้ว
ไป๋สุ่ยหานก็เป็นชื่อปลอมของพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ที่ตกตายด้วยน้ํามือต้วนหลิงเทียนในพื้นที่อเวจีหมื่นแปลงแห่งนี้เมื่อครู่
ชื่อจริงของมันไม่ใช่ไป๋สุ่ยหาน
แต่มีชื่อว่า “ไป๋หนิง”
ไป๋สุ่ยหานเป็นแค่ชื่อปลอมเท่านั้น
ถึงแม้จะเป็นสัตว์เทพที่จะอุบัติขึ้นในรอบ 100,000 ปีของเผ่าพยัคฆ์ขาว ทําให้เผ่าพยัคฆ์ขาวให้ความสําคัญกับการปกป้องมันเต็มที่ แต่ไป๋หนิงก็ไม่กล้าเปิดเผยตัวตนในสมรภูมิอเวจี
เพราะหากเรื่องที่มันครอบครอง 1 ใน 5 เทพเบญจธาตุอย่างวารีเทพชําระโลกาแพร่ออกไป ตัวมันไม่เว้นทั้งเผ่าพยัคฆ์ขาวก็จะตกเป็นเป้าของสาธารณชนทันที
ถึงตอนนั้น เผ่าพยัคฆ์ขาวก็คงไม่มีกําลังปกป้องมันได้
ความเย้ายวนใจของเทพเบญจธาตุ โดยเฉพาะเทพเบญจธาตุขั้นสูงแล้ว มันมหาศาลเกินไป
วารีเทพชําระโลกาขั้นที่ 7 ไม่พ้นต้องทําให้ขุมกําลังระดับสวรรค์ที่แข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าเผ่าพยัคฆ์ขาวเคลื่อนไหวแน่ และแม้แต่ขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็อาจจะเคลื่อนไหวเช่นกัน!
ถึงแม้เผ่าพยัคฆ์ขาวจะแข็งแกร่ง
อย่างไรก็ตามหากต้องเผชิญหน้ากับขุมกําลังระดับสวรรค์นับสิบหรือนับร้อยเล่า? ไหนจะยังมีขุมกําลังของจักรพรรดิสวรรค์ที่ไม่อ่อนแอไปกว่าเผ่าพยัคฆ์ขาวเลยสักนิดเข้ามาผสมโรง พวกมันจะไปต้านไหวได้อย่างไร?
“โอทวยเทพ! แม่ทัพระดับ 7 ไป๋สุ่ยหานถูกฆ่าตายแล้ว?!”
“ผู้ใดฆ่ามันกันแน่?”
“ข้าก็ไม่อาจทราบได้ไม่มีแม่ทัพระดับ 7 คนใหม่ปรากฏขึ้น เห็นได้ชัดว่าไป๋สุ่ยหานสมควรตกตายด้วยน้ํามือของแม่ทัพระดับ 7 อีกคน หรือไม่ก็เป็นแม่ทัพสักคนที่ยังไม่ได้ผ่านการทดสอบทําลายขีดจํากัดครั้งที่ 7”
ไป๋สุ่ยหาน 1 ใน 2 แม่ทัพระดับ 7 ที่ครองอันดับ 2 ในตารางจัดอันดับยศแต้มรบของสมรภูมิอเวจี ตาย!
จังหวะนี้ ทั่วทั้งสมรภูมิอเวจีอดไม่ได้ที่จะแตกตื่นฮือฮากันไปพักหนึ่ง
แน่นอนว่าไม่มีใครล่วงรู้ว่าไป๋สุ่ยหานตกตายด้วยน้ํามือของต้วนหลิงเทียน แม่ทัพระดับ 6 ที่ใช้นามแฝงว่า เซี่ยเฟยหวู่
ในสมรภูมิอเวจีถึงแม้จะห้ามใช้ยันต์อมตะใดๆ
อย่างไรก็ตาม หากผู้ที่เข้ามาตกตายและวิญญาณถูกทําลายในนี้ ลูกแก้ววิญญาณของมันที่อยู่นอกสมรภูมิอเวจีก็จะตอบสนองทันที
ไป๋หนิง ที่ทุกคนในสมรภูมิอเวจีรู้จักกันในนามไป๋สุ่ยหาน แม่ทัพระดับ 7 ที่ท่องไปทั่วสมรภูมิอเวจีได้ราวปลาในน้ํา ทันทีที่มันถูกต้วนหลิงเทียนฆ่าตาย ลูกแก้ววิญญาณของมันก็แตกลงเช่นกัน
เป็นธรรมดาว่าลูกแก้ววิญญาณของไป๋หนิงถูกกพบว่าแตก หลังเกิดเรื่องไม่ถึงครึ่งชั่วยาม
ทําให้เผ่าพยัคฆ์ขาวสะเทือนกันยกใหญ่
สถานที่ตั้งเผ่าพยัคฆ์ขาวสาขาหลักนั้น อยู่ในระนาบเทวโลกนาม “ล่างจี้เทียน” และสถานที่ตั้งเผ่าก็อยู่ในพื้นที่ราบสูง โดยมีภูเขานับหมื่นๆลูกห้อมล้อม
และตอนนี้ในพื้นที่หุบเขาแห่งหนึ่ง ที่อยู่ใจกลางภูเขานับหมื่นลูกนั่น ก็ปรากฏร่างมากมายเหินกันมาจากทั่วสารทิศ
ไร้ซึ่งข้อยกเว้นใด ทุกคนที่มาล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นผู้อาวุโสของเผ่าพยัคฆ์ขาวทั้งสิ้น!
ไม่นาน โถงใหญ่ใจกลางหุบเขา เหล่าอาวุโสทั้งหลายก็มาประชุมกันพร้อมหน้าพร้อมตา
“ไป๋หนิง ตายแล้ว”
หัวหน้าเผ่าพยัคฆ์ขาว เป็นชายรางกายกําสูงใหญ่มาในชุดคลุมยาวสีขาว สองตามันดั่งสายฟ้าฟาด ชักสีหน้าถมึงทิ้งเอ่ยคําเสียงเข้ม
“ข้าบอกไปไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบแล้วว่าอย่าได้ปล่อยให้ไป๋หนิงไปสมรภูมิอเวจี! พวกท่านมีผู้ใดฟังข้าบ้าง!!”
อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ขาวเอ่ยออกเสียงหนัก มันเป็นชายชราที่มีใบหน้าอ่อนวัยปานทารก เส้นผมขนเคราทั้งหางคิ้วที่ยาวเฟื้อยล้วนเป็นสีขาวโพลน บัดนี้ใบหน้าอ่อนวัยของมันบิดเบี้ยวยากดูชมนัก
“เฮ่อ ไป๋หนิงจะอย่างไรก็เป็นพยัคฆ์เทพวารีพิสุทธิ์ที่จะปรากฏตัวขึ้นทุกๆรอบแสนปีของเผ่าพยัคฆ์ขาวเรา ไม่เพียงด่านพลังถึงจอมราชันอมตะ 10 ทิศ และมีภาพวารีเทพสมบัติประจําเผ่าของพวกเรา แต่มันยังครอบครองวารีเทพชําระโลกาอีก ผู้ใดจะไปคิดว่าในสมรภูมิอเวจีจักมีคนสามารถฆ่ามันได้เล่า? เป็นไปได้หรือไม่ที่มันถูกผู้ใดดักฆ่าหลังกลับออกมาจากสมรภูมิอเวจี ?”
อาวุโสอีกคนของเผ่าพยัคฆ์ขาว เอ่ยข้อสันนิษฐาน
“ไม่น่าใช่”
สตรีรูปลักษณ์สง่างามในชุดคลุมขาวประดับประดาไปด้วยมณีล้ําค่าเอ่ยขึ้น “ทุกครั้งที่หนิงเอ๋อเข้าออกสมรภูมิอเวจี ล้วนแล้วแต่ส่งข้อความมาแจ้งข้าตลอด…”
“ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้รับข้อความจากหนิงเอ๋อ ก็ตอนที่กําลังจะเข้าสมรภูมิอเวจี”
สตรีสง่างามคลุมขาวคนนี้ ก็คือมารดาขอไป๋หนิง ภรรยาของอาวุโสใหญ่แห่งเผ่าพยัคฆ์ขาว และยังเป็นผู้อาวุโสลําดับที่ 7 ของเผ่าพยัคฆ์ขาว นางนับเป็นสตรีที่แข็งแกร่งอย่างหาได้ยาก โดดเด่นที่สุดในเผ่าพยัคฆ์ขาวรุ่นก่อน เป็นจักรพรรดิอมตะสมญานามคนหนึ่ง
“ด้วยพลังของไป๋หนิง ในสมรภูมิอเวจีไม่น่าจะมีผู้ใดทําอันตรายมันได้ให้กล่าวว่าอยู่คงกระพันก็ไม่เกินเลย…ภาพวารีเทพ วารีเทพชระโลกาขั้นที่ 7 พลังระดับนี้ยังจะมีใครทําอะไรมันได้อีก?”
“จะอย่างไรก็ช่าง ตอนนี้ไป๋หนิงตกตายไปแล้วจริงๆ”
“ไป๋หนิงเป็นดั่งความหวังของเผ่าเราในรอบแสนปีหากมันบรรลุถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งได้ยอดเยี่ยมเพราะวารีเทพชะระโลกาขั้นที่ 7 สักวันต้องนําพาเผ่าพยัคฆ์ขาวเรากวาดสะท้านไปทั่วล่างงี้เทียนแน่นอน กระทั่งมันคิดจะขึ้นดํารงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์แห่งล่างงี้เทียนยังไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้!”
“บัดซบ! หากผู้ใดบอกได้ว่าใครฆ่าไป๋หนิง ข้าจักไปฆ่าสารเลวนั่นให้ตาย ยังจะสับร่างมันให้แหลกเป็นชิ้นๆ เผากระดูกมันให้เป็นขี้เถ้า!”
เหล่าระดับสูงของเผ่าพยัคฆ์ขาวเดือดดาลกันยกใหญ่
พวกมันโกรธจนตัวสั่น แต่ไม่อาจทําอะไรได้
เพราะหากไป๋หนิงตกตายภายในสมรภูมิอเวจี โอกาสที่พวกมันจะพบเจอคนร้ายก็เรียกว่าแทบจะเป็นศูนย์
“ข้าจักลองไปตรวจสอบเรื่องนี้ดูก่อนเพราะมีจุดที่น่าสงสัยมากเกินไป”
อาวุโสคนหนึ่งของเผ่าพยัคฆ์ขาวกล่าวออกเสียงหนัก “บางทีอาจเป็นได้ ที่ครั้งนี้ไป๋หนิงกลับออกมาจากสมรภูมิอเวจี แต่ไม่มีโอกาสได้แจ้งอาวุโส 7 ก็ถูกใครเล่นงานไปเสียก่อน พวกท่านไม่คิดว่าเป็นไปได้หรือไร?”
“ก็จริง! เรื่องนี้ต้องไปตรวจสอบดูก่อน!”
ถึงแม้เผ่าพยัคฆ์ขาวจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ โอกาสที่จะคลําพบเบาะแสมันน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่ในเมื่อมันเกี่ยวพันถึงการตายของไป๋หนิง และภาพวารีเทพอันเป็นอุปกรณ์เทพประจําเผ่าพยัคฆ์ขาว เช่นนั้นก็ไม่อาจนิ่งดูดายไม่ทําอะไรได้
จริงอยู่ที่ไป๋หนิงตกตายไปแล้ว และทําอย่างไรคนตายก็ไม่อาจฟื้นคืน
ทว่าหากสามารถสืบหาจนพบว่าใครเป็นคนฆ่าไป๋หนิง ไม่เพียงจะได้ล้างแค้นแต่ยังมีโอกาสได้ภาพวารีเทพกลับคืนสู่เผ่า
สําหรับเผ่าพยัคฆ์ขาว ไป๋หนิงย่อมมีความสําคัญมากกว่าภาพวารีเทพ
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ในเมื่อไป๋หนิงก็ตกตายไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่มีความสําคัญเป็นลําดับแรกของเผ่าพยัคฆ์ขาวก็คือการตามหาภาพวารีเทพกลับคืน ส่วนการแก้แค้นให้ไป๋หนิงมันกลายเป็น เรื่องรองลงไป เพราะถึงจะฆ่าคนล้างแค้นได้ ไป๋หนิงก็ไม่อาจฟื้นคืน
ต่อมาคนของเผ่าพยัคฆ์ขาว ก็เริ่มออกไปสืบค้นหาเบาะแสทั่วทั้งล่างงี้เทียน
เรื่องราวทั้งหมด ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่ได้ล่วงรู้อะไรเป็นธรรมดา และเป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้
แต่ถึงจะรู้เขาก็ไม่สนใจ
ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นคนฆ่าไป๋หนิง เว้นเสียแต่เขาจะเดินไปบอกเองว่า “เฮ่ ข้าเป็นคนฆ่ามันนะ”
วันเวลาผันผ่านดั่งอาชาขาวปลอดทะยานข้ามทุ่ง
พริบตา ก็ล่วงเลยไปอีก 10 ปีแล้ว
ในสมรภูมิอเวจี ทั้งยังเป็นพื้นที่หมื่นแปลง ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็คอยปกป้องคุ้มครองเสี่ยวจินเอาไว้ตลอดเวลา
และตอนนี้ พลังสายเลือดที่ปกคลุมเสี่ยวจินดั่งรังไหมโลหิตยิ่งมากยิ่งพุ่งพล่านทอประกายแดงฉาน แลดูลี้ลับนัก
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ภายในรังไหมสีเลือดเป็นอย่างไร ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อก็ไม่อาจทราบได้เลย
ทั้งคู่รู้เพียงต้องปกป้องเสี่ยวจินให้ดีที่สุด ไม่ให้อะไรมาส่งผลกระทบกับการพยายามวิวัฒนาการครั้งนี้ของนางได้อย่างเด็ดขาด
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนจํานวนมากมายนับไม่ถ้วนที่ปรากฏตัวในพื้นที่แห่งนี้ เรียกว่าพาตัวมาให้ต้วนหลิงเทียนกับฮ่วนเอ๋อฆ่าถึงหน้าประตู ที่สําคัญในรรดาผู้คนที่พากันมาตาย ยังมีไม่น้อยที่ครอบครองเทพเบญจธาตุ
แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็นเทพเบญจธาตุขั้นต่ํา
ทว่าแม้จะด้อยคุณภาพ แต่เมื่อมีปริมาณมากเข้าว่า ก็ยังพอทําให้เทพเบญจธาตุๆหนึ่งในร่างต้วนหลิงเทียนบรรลุถึงขั้นที่ 8 ได้อย่างราบรื่น
และเทพเบญจธาตุที่กลายไปเป็นขั้นที่ 8 ได้สําเร็จก็คือ เพลิงเทพโลกาหล
เพลิงเทพโกลาหลขั้นที่ 8 นั้นก็สามารถช่วยเหลือต้วนหลิงเทียนในรูปแบบใหม่นอกจากส่งพลังออกมา
เพราะตอนนี้ มันสามารถรวมรั้งอณูพลังธาตุไฟในฟ้าดิน ก่อร่างเพลิงขึ้นมาช่วยต้วนหลิงเทียนรับมือศัตรูด้านนอก…แน่นอนว่าร่างเพลิงของมันไม่อาจอยู่ห่างจากต้วนหลิงเทียนได้มากเกินไป
“พี่สาวสุ่ย ท่านมีความรู้มากกว่าใคร เช่นนั้นท่านพอจะทราบหรือไม่ว่าสถานการณ์ของเสี่ยว จินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…นางจะพัฒนาเป็นสัตว์เทพได้สําเร็จหรือไม่?”
ต้วนหลิงเทียนเอ่ยถามวารีเทพชําระโลกาด้วยความสงสัย
ในสายตาเขา วารีเทพชําระโลกาที่อยู่กับตัวตนระดับเทพที่กําลังจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดคนแรกด้วยพฤกษาเทพกําเนิดชีพในสวรรค์และโลก สมควรมีความรู้มากที่สุด และควรจะเข้าใจถึงสถานการณ์ตอนนี้ได้ไม่มากก็น้อย
“จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ ข้าบอกได้แค่ว่ามันดีมากกว่าร้าย”
วารีเทพชําระโลกากล่าว “เพราะสุดท้ายนี่มันก็ผ่านมาสิบปีแล้ว หากจะล้มเหลวจริง คงล้มเหลวไปแต่แรกไม่อยู่ในสภาพรังไหมวิวัฒนาการนานถึงขนาดนี้หรอก”
“ พี่สาวสุ่ย รอให้เสี่ยวจินวิวัฒนาการเสร็จเมื่อไหร่ ข้าว่าจะออกจากสมรภูมิอเวจีเลย”
ต้วนหลิงเทียนกล่าว “ด้วยเทพเบญจตธาตุระดับต่ํา พวกท่านคงแทบไม่อาจพัฒนาอะไรได้ แล้วเช่นนั้นอยู่ต่อไปก็มีแต่จะเสียเวลาเปล่า”
ตลอดระยะเวลา 10 ปีหลังที่ผ่าน แม้เขาจะพบเจอเทพเบญจธาตุมากมาย และช่วยให้เพลิงเทพโกลาหลเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 8 ได้อย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม ที่เพลิงเทพโกลาหลเปลี่ยนเป็นขั้นที่ 2 ได้นั้น เป็นเพราะการดูดซับที่สะสมมาก่อนหน้า
“หลังจากกลับออกไป ข้าคิดจะทะลวงให้ถึงขอบเขตจักรพรรดิอมตะ และเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งสักพัก จากนั้นก็จะเข้าสู่สมรภูมิ 9 ยมโลกทันที”
สองตาต้วนหลิงเทียนทอประกายจ้าขึ้นมาด้วยความวาดหวัง “ในสมรภูมิ 9 ยมโลกต้องไม่ขาดจักรพรรดิอมตะที่ถือครองเทพเบญจธาตุระดับสูงๆแน่!”