บทที่ 773.2 พกกระบี่บินทะยาน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร หลายปีมานี้ความสามารถในการแต่งกวีของข้าเพิ่มพูนขึ้นมาก พบเจอใครล้วนไม่ต้องกลัดกลุ้ม หมี่ลี่น้อย ข้าไม่ได้โม้ให้เจ้าฟังนะ เมื่อก่อนตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าเจอกับผู้ฝึกตนเฒ่าที่คิดว่าตัวเองคือบัณฑิต แล้วยังเป็นขอบเขตสิบสี่ด้วยนะ ดูเหมือนว่าจะใช้นามแฝงว่าลู่ฝ่าเหยียนอะไรนี่แหละ เอาเป็นว่าเขาคือคนที่เลื่อมใสในชื่อเสียงแห่งกวีของข้าก็แล้วกัน เขาเป็นฝ่ายมาหาข้าที่กำแพงเมืองกระบี่ด้วยตัวเอง บอกว่าท่วงทำนองความคล้องจองในการแต่งบทกวีของข้าน่าตะลึงยิ่ง ทำให้เขาเลื่อมใสสุดขีด ยอมรับว่าตัวเองฝีมือด้อยกว่า ดังนั้นแค่พบหน้าข้าก็รู้สึกกลัดกลุ้มเสียแล้ว”

หมี่ลี่น้อยฟังด้วยอาการตกตะลึง รีบยกสองมือขึ้นปรบกัน พูดด้วยสีหน้าสดใสแช่มชื่น “ร้ายกาจ ร้ายกาจ!”

เฮ้อ น่าเสียดายก็แต่วรยุทธสิบแปดกระบวนท่าของตนที่คงไม่มีพื้นที่ให้ใช้งานเสียแล้ว เพราะว่าครั้งนี้เดินทางไกลไปเยือนบ้านเกิดอย่างทะเลสาบคนใบ้ อันที่จริงหมี่ลี่น้อยได้แอบขอบทกลอนดีๆ มาจากพ่อครัวเฒ่าอยู่หลายบท ล้วนเขียนไว้ในสมุดเล่มหนึ่งหมดแล้ว ยังคงเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ละเอียดอ่อน ตอนนั้นถามนางว่านี่เป็นวลีกวีที่หมี่ลี่น้อยใคร่ครวญออกมาได้ด้วยตัวเองเลยใช่ไหม? ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยทำหน้างง ในหัวมีแต่ความสับสน ใช่บ้าอะไรเล่า? นางจะไปรู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร จูเหลี่ยนจึงบอกให้นางคัดลอกลงบนกระดาษ ไม่อย่างนั้นจะเผยพิรุธเอาได้ หมี่ลี่น้อยพลันเข้าใจกระจ่างแจ้ง ตอนที่นางจุดตะเกียงคัดลอกบทกลอนเหล่านั้น พ่อครัวเฒ่าก็นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้าง แล้วถือโอกาสตอบคำถามของหมี่ลี่น้อยที่ถามว่าในบทกลอนคือตัวอักษรอะไร อ่านว่าอย่างไร มีความหมายว่าอะไรไปด้วยอย่างอดทน

หมี่ลี่น้อยถามพ่อครัวเฒ่าว่าคำพูดพวกนี้ล้วนยกออกมาจากตำราหรือ? พ่อครัวเฒ่าบอกว่าเปล่าเสียหน่อย ล้วนเป็นคำที่เขาคิดขึ้นมาเอง ถือว่าเป็นเอกสารด่วน เป็นความรู้ปลายแถวของสาขาย่อย ตอนนั้นหมี่ลี่น้อยร้อนใจขึ้นมาครามครัน เอ่ยว่าอย่าเดือดร้อนให้เจ้าขุนเขาคนดีกับนางต้องถูกคนดูถูกเข้านะ พ่อครัวเฒ่าบอกไม่มีทาง ไม่มีทาง ยังบอกอีกว่าตอนที่เขาอยู่บ้านเกิด หลายคนต่างก็บอกว่ากลอนของเขาคือดวงจันทร์ที่งมออกมาจากในน้ำ คือกิ่งหลิวที่เด็ดลงมาจากท่าเรือ หิ้วออกมาจากในถังสุรา ดังนั้นจึงพอจะมีน้ำหนักอยู่บ้าง เขาแค่แต่งไปตามใจ กลับกลายเป็นถ้อยคำเทพเซียนที่กวีและผู้มีชื่อเสียงหลายคนอ้อนวอนร้องขอด้วยความยากลำบากตลอดชีวิตก็ยังไม่ได้มา

หมี่ลี่น้อยกึ่งเชื่อกึ่งกังขา สุดท้ายก็ยังคงเชื่อในคำกล่าวของพ่อครัวเฒ่า

ท่ามกลางแสงไฟบนโต๊ะในค่ำคืนนั้น แม่นางน้อยคัดลอกตัวอักษรพลางแกว่งสองขาไปด้วย พ่อครัวเฒ่าแทะเมล็ดแตงพลางพูดเจื้อยแจ้วกับนางไปด้วย

ดังนั้นโจวหมี่ลี่ถึงได้ชอบภูเขาลั่วพั่วถึงเพียงนี้ ต่อให้เจ้าขุนเขาคนดีมักจะไม่อยู่บ้านบ่อยๆ แต่ก็ยังมีเผยเฉียนและพ่อครัวเฒ่า มีพี่หญิงหน่วนซู่ มีจิ่งชิงจิ่งชิง…

สำหรับผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วที่มีขอบเขตถ้ำสถิตผู้นี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือสถานที่ที่ดีมากเหมือนกัน ในใจของโจวหมี่ลี่มันคือสถานที่ที่ดีอันดับสามในใต้หล้าที่เป็นรองจากภูเขาลั่วพั่วและทะเลสาบคนใบ้เท่านั้น!

หนึ่งคือบ้านเกิดที่มีสหายอยู่เยอะมากมาย หนึ่งคือมาตุภูมิเดิมที่ทะเลสาบเล็กๆ ไม่ใหญ่มาก อีกหนึ่งคือสถานที่ที่ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้อย่างนางไม่ทันระวังก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสองใต้หล้า

เฉินผิงอันยกมือกดลงบนความว่างเปล่าให้หมี่ลี่น้อยที่ยืนอยู่บนม้านั่งสองที “ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ท่องอยู่ในยุทธภพ พวกเราต้องสุขุมหนักแน่นและสำรวม”

หมี่ลี่น้อยนั่งแปะลงบนม้านั่งยาว ฟุบตัวลงบนโต๊ะใหม่อีกครั้ง รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย คิ้วบางๆ สองข้างขมวดเข้าหากัน เอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาคนดี ดูเหมือนว่าข้าจะช่วยอะไรไม่ได้เลย ด้านนอกภูเขาลั่วพั่ว…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยชุดดำก็เกาหัว ไม่ยอมพูดต่ออีก เพียงแต่ยังรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย มีคนบอกว่านางเป็นแค่ขอบเขตถ้ำสถิตที่ใหญ่เท่าก้น แล้วยังเป็นภูตน้อยที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาลั่วพั่ว ช่างเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าเสียจริง อันที่จริงนางเองก็เสียใจอยู่หลายปี เพราะคำพูดซุบซิบเหล่านั้นเดิมทีก็เป็นความจริงอยู่แล้ว นางแค่กลัวว่าพวกพี่หญิงหน่วนซู่จะเป็นกังวลจึงแสร้งทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เฉินผิงอันยิ้มพลางยื่นมือไปลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย พอจะเดาออกได้คร่าวๆ แล้วจึงถามหยั่งเชิงว่า “เป็นคนนอกที่บอกว่าขอบเขตเจ้าไม่สูง ดังนั้นจึงหัวเราะเยาะเจ้า แอบนินทาเจ้าลับหลังใช่ไหม?”

เรื่องนี้พอกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วก็ไม่มีใครเคยพูดกับเฉินผิงอันเลยจริงๆ เรื่องใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีใครเล่า ตนจดลงบัญชีเอาไว้แล้ว นับตั้งแต่ชุยตงซานถึงเผยเฉียน ไปจนถึงพ่อครัวเฒ่า แล้วยังมีเฉินหลิงจวิน แต่ละคนอย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้ มีเพียงหน่วนซู่น้อยที่ไม่นับด้วย

หมี่ลี่น้อยอืมรับหนึ่งที เอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “เจ้าขุนเขาคนดี ข้าไม่ได้กลัวว่าจะต้องแบกรับภาระนะ ทุกวันข้าจะต้องแบกคานหาบสีทองออกลาดตระเวนภูเขา นี่ก็เพื่อเป็นการคอยเตือนตัวเองว่าภาระหน้าที่ของข้าใหญ่ยิ่ง เพียงแต่ว่าตำแหน่งขุนนางที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่สู้เปลี่ยนคนดีไหม ข้าว่าจิ่งชิงก็ไม่เลวนะ เขายังชอบเป็นขุนนางด้วย ให้เขามาเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขา ข้าว่าเหมาะสมมากเลยล่ะ หากแพร่ออกไปก็น่าฟังหน่อย จิ่งชิงเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเชียวนะ”

เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ให้เขาเป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาลั่วพั่ว? ต่อให้นายท่านใหญ่เฉินของพวกเราจะใจกล้าแค่ไหน ก็ไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้ อีกอย่างหลิงจวินก็ไม่ยินดีจะแย่งตำแหน่งขุนนางนี้กับเจ้าด้วย”

ต่อให้เฉินหลิงจวินกล้าไปเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง ยามที่ประชุมในศาลบรรพจารย์ อยู่ต่อหน้าคนกันเองกลุ่มใหญ่ที่หากไม่ใช้หนึ่งกระบี่ฟันตายก็ใช้สองสามหมัดต่อยให้เขาตายได้ ไอ้หมอนี่ยังกล้าวางมาดว่าหากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร แต่มีเพียงตำแหน่งผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขานี้เท่านั้นที่เขาไม่กล้าเป็นเด็ดขาด เฉินหลิงจวินมีดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือมีคุณธรรมในยุทธภพมากที่สุด ของที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่ว่าอะไรเขาก็กล้าช่วงชิง ยกตัวอย่างเช่นสถานะเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง และไม่ว่าอะไรก็ตัดใจมอบให้คนอื่นได้ ช่วงที่ภูเขาลั่วพั่วขาดเงินมากที่สุดนั้น อันที่จริงเฉินหลิงจวินได้ใช้สารพัดวิธีเอาทรัพย์สินมากมายของตัวเองออกมาให้ หากอิงตามคำกล่าวของจูเหลี่ยนก็คือ หลายปีนั้นนายท่านใหญ่เฉินชักหน้าไม่ถึงหลังจริงๆ ยากจนจนไม่มีเสียงเงินดังอยู่ในกระเป๋า เป็นเหตุให้ยามอยู่กับเว่ยซานจวินไม่อาจยืดเอวได้ตรง แต่หากอะไรก็ตามที่เป็นของคนอื่น เฉินหลิงจวินจะไม่ไปแย่งชิงเด็ดขาด อย่าว่าแต่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่เป็นของหมี่ลี่น้อยเลย แม้แต่ผลประโยชน์และความได้เปรียบน้อยใหญ่ทั้งหลายบนภูเขาลั่วพั่ว เฉินหลิงจวินก็ล้วนไม่เคยแตะต้อง พูดง่ายๆ ก็คือ เฉินหลิงจวินก็คือคนเก่าแก่ในยุทธภพที่ตายต้องรักษาหน้าตา เพื่อหน้าตาแล้วยอมมีชีวิตทุกข์ทน

บางทีแม้แต่ตัวเฉินหลิงจวินเองก็คงยังไม่รู้ว่า ไม่ว่าจะเป็นทางฝั่งของซานจวินเว่ยป้อที่ถูกเขาจดลงบัญชีไว้นับไม่ถ้วน หรือทางฝั่งของอาจารย์จ้งชิวที่คบค้าสมาคมกันไม่มาก อันที่จริงต่างก็มีคำประเมินต่อเขาไว้สูงมาก

อีกทั้งส่วนลึกในใจของเฉินผิงอัน ตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่ปล่อยวางมาโดยตลอดของภูเขาลั่วพั่ว ก็ได้เตรียมไว้ให้เฉินหลิงจวินนานแล้ว ปีนั้นในจดหมายลับที่ส่งมาให้เฉาฉิงหล่างก็เคยพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแค่รอให้เจ้าหมอนี่เดินลงน้ำสำเร็จเสียก่อน หากภูเขาลั่วพั่วมั่นใจแล้วว่าตนไม่อาจหวนคืนกลับบ้านเกิดได้ เรื่องนี้ก็เป็นที่แน่นอนแล้ว เพียงแต่ภายหลังเฉินผิงอันได้กลับมายังใต้หล้าไพศาล กลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ได้เจอกับเฉินหลิงจวินที่ยามเดินเท้าลอยอย่างเกินพอดีไป ถึงได้จงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ ถึงอย่างไรเรื่องดีก็ไม่ต้องกลัวมาช้าอยู่แล้ว ปล่อยนายท่านใหญ่เฉินที่ ‘คบหาสหายไว้ทั่วหล้า’ ไว้สักวันสองวันก็แล้วกัน

เฉินผิงอันเอ่ยปลอบโยน “บนภูเขาลั่วพั่ว ใครที่ตำแหน่งขุนนางใหญ่ที่สุด? ใครที่คำพูดมีน้ำหนักมากที่สุด?”

หมี่ลี่น้อยยิ้มกว้าง “แน่นอนว่าต้องเป็นเจ้าขุนเขาคนดี!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “บนภูเขาลั่วพั่วตำแหน่งขุนนางใหญ่หรือเล็ก ไม่ได้ดูกันที่ขอบเขตสูงหรือต่ำ ดูแค่ที่…ชื่อเสียงว่ามากหรือน้อย! ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่า ใครที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาแล้วจะสยบใจคนได้มากที่สุด?”

หมี่ลี่น้อยสีหน้าสดใสมีชีวิตชีวา แต่กลับแสร้งทำเป็นถอนหายใจหนักๆ สองแขนยกขึ้นกอดอก เชิดศีรษะน้อยๆ ขึ้นสูง “แบบนี้ค่อนข้างจะน่ากลุ้มแล้วนะ จะไม่เป็นขุนนางก็ไม่ได้นะนี่”

เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ”

เผยเฉียนกลับมาที่โรงเตี๊ยม เคาะประตูห้องแล้วเดินเข้ามา

เฉินผิงอันกำลังถามหมี่ลี่น้อยอยู่พอดีว่าทำไมต้องไปเที่ยวเล่นที่เมืองหงจู๋ด้วยกัน ตามหลักแล้วเมืองหงจู๋อยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วมาก หลี่จิ่นเทพวารีแม่น้ำชงตั้นที่เปิดร้านขายหนังสืออยู่ในเมืองเล็กก็มีความสัมพันธ์ควันธูปไม่น้อยกับภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาฉีตุนก็ยิ่งเป็น ‘สถานที่แห่งการได้ดิบได้ดี’ ของเว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือ ส่วนเทพวารีแม่น้ำซิ่วฮวา เนื่องจากสาเหตุของผีสาวสวมชุดแต่งงาน จึงไม่ถือว่าเป็นคนแปลกหน้ากับตระกูลกู้ตรอกหนีผิงและเฉินผิงอัน ดังนั้นก็ไม่น่าจะมีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นถึงจะถูก บวกกับที่หยางฮวาเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูที่ยังมีบุญคุณความแค้นซึ่งค่อนข้างพัวพันซับซ้อนกับเฉินผิงอัน สามารถพูดคุยกันได้ อีกทั้งคนจิ๋วควันธูปที่มาขานชื่อบนภูเขาลั่วพั่วตามเวลาที่กำหนดก็มาจากศาลเทพอภิบาลเมืองในตัวจังหวัด ดังนั้นจึงบอกได้ว่าในอาณาเขตของหลงโจวที่กว้างใหญ่ ก็หลงเหลือแค่แม่น้ำอวี้เย่สายเดียวเท่านั้นแล้ว เพราะกองกำลังขุนเขาสายน้ำแห่งอื่นต่างก็มีความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนอย่างยิ่งกับภูเขาลั่วพั่ว

สีหน้าของเผยเฉียนเปลี่ยนมาเป็นกระอักกระอ่วนทันใด เฉินผิงอันที่เดิมทีไม่ได้คิดอะไรมากจึงคิดมากขึ้นมาทันที ชำเลืองตามองลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตน เผยเฉียนกลอกตาเร็วรี่ เป็นท่าทางที่เหมือนตอนเด็กยามนางก่อเรื่องแล้วถูกเฉินผิงอันจับได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน

หมี่ลี่น้อยรีบทำหน้าสงสัย จากนั้นก็แสร้งโง่เอ่ยว่า “ทำไมพวกเราสองคนต้องไปเที่ยวที่เมืองหงจู๋ด้วยกันล่ะ มีเหตุผลอย่างอื่นหรือไม่? อืม นี่เป็นปัญหาที่ใหญ่เท่าเมล็ดแตงแล้ว ฮ่าๆ ก่อนหน้านี้ข้าก็ให้คำตอบไปแล้วไม่ใช่หรือ เจ้าขุนเขาคนดีความจำไม่ค่อยดีสินะ อันที่จริงก็เพราะว่าในกระเป๋าข้ามีเงินไม่มาก ซื้อเมล็ดแตงไม่ได้…”

พูดมาถึงตรงนี้แม่นางน้อยก็แต่งเรื่องต่อไม่ออกแล้ว จึงได้แต่หันไปมองขอความช่วยเหลือจากเผยเฉียนอย่างน่าสงสาร

เผยเฉียนจึงได้แต่รวมเสียงให้เป็นเส้นบอกเล่าเรื่องมรสุมที่เกิดขึ้นบนแม่น้ำอวี้เย่ให้อาจารย์พ่อฟังอย่างไม่มีตกหล่น บอกว่าเฉินหลิงจวินเรียกข้องราชามังกรออกมา พ่อครัวเฒ่าถามหมัดกับเหนียงเนียงเทพวารี และยังมีภายหลังที่ศิษย์พี่เล็กไปเยือนจวนวารี แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเหนียงเนียงเทพวารีผู้นั้นก็เป็นฝ่ายมาขอขมาถึงที่บ้าน เพียงแต่ว่าอดไม่ไหว เผยเฉียนจึงเล่าภาพเหตุการณ์ที่หมี่ลี่น้อยเดินเตร็ดเตร่บนภูเขาเพียงลำพังให้ฟังด้วย หมี่ลี่น้อยไม่คิดไม่ใส่ใจอะไรเลยจริงๆ ตอนเดินอยู่บนทางภูเขาก็เพียงแค่เอื้อมมือไปคว้าใบไม้เขียวขจีมายัดใส่ปาก มองซ้ายมองขวาไม่เห็นคนก็เคี้ยวใบไม้คำใหญ่อย่างส่งเดช เอามันมาระบายความกลัดกลุ้มในใจ ตั้งแต่ต้นจนจบเผยเฉียนเล่าอย่างไม่มีปิดบัง แล้วก็ไม่ได้ใส่เสริมเติมแต่ง ทุกอย่างเพียงแค่พูดไปตามความจริงเท่านั้น

เฉินผิงอันฟังแล้วก็พยักหน้ารับ เอ่ยแค่สามคำว่า “เข้าใจแล้ว”

เขาแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินคำอธิบายของเผยเฉียน เพียงแค่ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้ากลับไปบ้านเกิดก็ไปเที่ยวเมืองหงจู๋ด้วยกันนั่นแหละ พวกเราถือโอกาสไปเที่ยวศาลเจ้าเที่ยวจวนวารีอะไรพวกนั้นด้วย”

รอยยิ้มของหมี่ลี่น้อยค่อยๆ ผลิบาน แล้วจึงหยิบเอาอ่างเซียนน้ำใบนั้นมาเล่นอีกครั้ง

เผยเฉียนหยิบหนังสือออกมาหลายเล่ม ทุกเล่มล้วนมีหน้าที่ถูกพับไว้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “อาจารย์พ่อ ตรวจสอบจนเจอต้นตอแล้ว คือหลิวเฉิงกุยผู้นั้น เป็นคนของซานหยาง นามต้าฟาง มีบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ทางการและจารึกประจำจังหวัดอยู่ไม่น้อย ใต้หัวข้อมากมายอย่างขุนนางผู้มีชื่อเสียง วงการการประพันธ์ การชลประทาน ล้วนมีเรื่องของคนผู้นี้บันทึกอยู่ เพียงแต่ว่าเนื้อหาไม่ยาวมากนัก ตามคำบันทึกในหนังสือได้เกี่ยวพันไปถึงเรื่องของตาเต็งชั่งน้ำหนักด้วย ดูเหมือนว่าคนผู้นี้ได้เริ่มกำหนดหน่วยเฉียนให้เป็นหน่วยหลี (หน่วยวัดน้ำหนักของจีน 1 เฉียนเท่ากับ 10 เฟิน 1 เฟินเท่ากับ 10 หลี) ทำให้เครื่องชั่งน้ำหนักของล่างภูเขามีความแม่นยำมากขึ้น”

เฉินผิงอันเริ่มเปิดหน้าหนังสือออกอ่าน เพราะเผยเฉียนพับหน้าหนังสือเอาไว้ให้แล้ว เขาจึงเปิดอ่านเร็วมาก หากดูตามนี้ ปราชญ์ผู้ล่วงลับในตำราท่านนี้ก็พอจะถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันกับจูเหลี่ยน และยังมีหลิวเม่าองค์ชายสามของต้าเฉวียนที่อยู่ในอารามหวงฮวาได้ เพราะต่างก็เชี่ยวชาญศาสตร์การคำนวณในรูปแบบต่างๆ และการกำหนดกฎระเบียบ

เมื่อเฉินผิงอันเห็นว่าในหัวข้อวังหลวง คนผู้นี้เคยรับพระราชโองการสร้างตำหนักอวี้ชิงเจาอิง ทำหน้าที่เป็นรองราชทูต นอกจากนี้ตอนที่ฮ่องเต้ทำพิธีบวงสรวงที่เฝินอิงก็ยังเคยได้ส่งตัวหลิวเฉิงกุยให้ไปทำหน้าที่ตรวจตราการขนส่งทรัพยากร คนผู้นี้จึงเคยบุกเบิกเส้นทางน้ำมาก่อนด้วย

——