เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาที่ดูยั่วยุของตวนมู่ชาง หลัวซิวค่อย ๆ เอ่ยปากพูดอย่างเรียบนิ่ง

“ว่าอย่างไรนะ? เขาก็สามารถกลั่นโอสถเพิ่มดีกรีได้อย่างนั้นหรือ?”

เป็นไปตามคาด หลังจากหลัวซิวพูดคำพูดดังกล่าวออกมาแล้ว ทำให้กลุ่มคนที่อยู่บริเวณรอบ ๆ รู้สึกตะลึงมากกว่าเดิม การที่มีอาจารย์ยาเซียนคนหนึ่งบังเกิดในเด็กรุ่นใหม่นั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องที่หาพบได้ยากมาก ๆ แล้ว ไม่นึกเลยว่าจะบังเกิดสองคนในช่วงเวลาสั้น ๆ หรือ?

แต่ทว่าเมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าหลัวซิวนั่นเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคง คนจำนวนมากก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่ หากลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคงไม่มีความสามารถเช่นนี้ละก็ แล้วเขาจะมีคุณสมบัติกลายเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เสวียนคงได้อย่างไรเล่า?

ตวนมู่ชางหรี่ตาลงเล็กน้อย ฝ่ายตรงข้ามและตัวเองบรรลุไม่ถึงแดนมกุฎเทพเหมือนกัน อีกทั้งแดนกฎก็ไม่มีทางบรรลุถึงขั้น 6 เช่นกัน ซึ่งนั่นก็หมายความว่าหลัวซิวผู้นี้เป็นเฉกเช่นเดียวกับเขา ต่างหลอมรวมกลั่นแปรอัคคีเทพขั้นดำชนิดหนึ่ง

เมื่อคิดเช่นนี้ได้ ตวนมู่ชางจึงกระตุกยิ้มมุมปาก ทุกสิ่งอย่างล้วนอยู่ในการคาดหมายของเขา ต้องท้าวความก่อนว่าการที่เขาสามารถหลอมรวมกลั่นแปรอัคคีเทพขั้นดำชั้นกลางชนิดหนึ่งได้นั้น สิ่งที่พึ่งพาคือฐานร่างและพรสวรรค์ที่พิเศษของตัวเขาเอง บวกกับการคุ้มกันด้วยตนเองจากบรรพอาจารย์ตวนมู่

ผลการฝึกตนของหลัวซิวนี่ต่ำกว่าเขา การที่สามารถหลอมรวมอัคคีเทพขั้นดำชั้นล่างชนิดหนึ่งนั้นก็ถือว่ายากมาก ๆ แล้ว ดังนั้นการดวลวิถียาในครั้งนี้ ตวนมู่ชางรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายที่กุมชัยชนะไว้ในกำมือ

เห็นเพียงเขายกมือโบกทีหนึ่ง ต้นยาเซียนระดับมกุฎแต่ละต้นก็ถูกเขากางออกในแนวนอน จัดวางอยู่ตรงหน้าตนเอง

ถัดจากนั้น ตวนมู่ชางก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายพลังตราประทับ เตายาที่ประณีตเตาหนึ่งจึงบินออกมาจากร่างกายเขา หมุนติ้ว ๆ อยู่กลางอากาศ

เห็นเพียงกิริยาท่าทางทุกอย่างของตวนมู่ชางล้วนดูลื่นไหลและเป็นไปตามธรรมชาติ บุคลิกดูน่าเคารพนับถือ

ความสุขุมที่เกิดมาจากความคล่องแคล่วชำนาญเช่นนี้ ต้องผ่านการฝึกฝนมามากจนนับไม่ถ้วนถึงจะสามารถทำได้แน่นอน แค่ดูจากจุดที่ไม่โดดเด่นจุดนี้ ก็สามารถดูออกแล้วว่าจะดูถูกศักยภาพของตวนมู่ชางไม่ได้เลย

“ดูท่าตระกูลตวนมู่จักบ่มเพาะเจ้าหมอนี่เป็นพิเศษเลยนี่”

แม้แต่ตัวจีเสวียนคงที่มีความมั่นใจต่อหลัวซิวอย่างเต็มเปี่ยม ก็อดไม่ได้ที่จะมองตวนมู่ชางด้วยมุมมองใหม่ แม้เขาจะไม่ชอบอุปนิสัยที่แพ้ไม่เป็นของตระกูลตวนมู่มาก ๆ ทว่ากลับปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพ่อหนุ่มคนนี้ในตระกูลตวนมู่เป็นอัจฉริยะวิถียาคนหนึ่งจริง ๆ

“แค่ก ๆ ๆ ……”

ตวนมู่ชางที่อยู่บนสนามเริ่มกลั่นยาแล้ว ส่วนฝั่งหลัวซิวกลับยังไม่มีท่าทีใด ๆ เห็นเพียงเขากระแอมอย่างเก้อเขินเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางจีเสวียนคงที่อยู่บนแท่นผู้ชมกะทันหัน

“อาจารย์ ข้าไม่มีวัตถุดิบในการกลั่นโอสถเพิ่มดีกรีขอรับ”

จากการที่หลัวซิวพ่นคำพูดดังกล่าวออกมา คนจำนวนไม่น้อยต่างรู้สึกว่ามุมปากของตัวเองกำลังกระตุก เจ้าหมอนี่มันมาดวลวิถียาจริง ๆ หรือ?

“เหอะ ๆ เฒ่าประหลาดจี เจ้าโหดร้ายต่อลูกศิษย์ตัวเองเช่นนี้เลยหรือ? เป็นลูกศิษย์ของมหาปรมาจารย์ยาเซียนผู้สง่าผ่าเผย ไม่นึกเลยว่าจะไม่มีแม้แต่ยาเซียนระดับมกุฎ”บรรพอาจารย์ตวนมู่พูดโดยไม่รู้แน่ถึงเจตนาที่แฝงอยู่คำหนึ่ง

“หึ ศิษย์คนนี้ของข้าไม่เคยกลั่นโอสถมกุฎเซียนมาก่อน การที่ไม่มียาเซียนระดับมกุฎเทพนั้นมันก็เป็นเรื่องที่ปกติมากเลยมิใช่หรือ?”

จีเสวียนคงเบ้ปากพลางสะบัดมือทีหนึ่ง แหวนวงหนึ่งจึงร่วงลงหน้าหลัวซิว

“ไม่เคยกลั่นมาก่อน?”

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าว ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกหมดคำจะพูดมากขึ้น ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุไม่มีผู้ใดสงสัยความจริงแท้ของในคำพูดของจีเสวียนคงเลย เพราะจากตัวตนของจีเสวียนคง เขาไม่มีความจำเป็นต้องโกหกเลยด้วยซ้ำ

พ่อหนุ่มที่ไม่เคยกลั่นโอสถมกุฎเซียนคนหนึ่ง ถึงขั้นคุยโวอย่างหน้าไม่อายว่าจะกลั่นโอสถเพิ่มดีกรีอย่างนั้นหรือ ลูกศิษย์คนนี้ของอาจารย์เสวียนคง เจ้าแน่ใจหรือว่าไม่ได้มาเล่นตลก?

หลัวซิวก็ทำได้แค่ยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อยเช่นกัน “ข้าไม่เคยกลั่นมาก่อนจริง ๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกเช่นกัน”