ตอนที่ 1815 : น้ำมหัศจรรย์

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1815 : น้ำมหัศจรรย์

“นั่นคือผู้นำตระกูลเทียนหยวน เขาคือผู้นำตระกูลเทียนหยวน….”

“เกิดอะไรขึ้นกัน ? ทำไมผู้นำตระกูลเทียนหยวนถึงได้แผ่ปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งแบบนั้นออกมา ? เขาทะลวงผ่านรึ….”

“ผู้นำตระกูลเทียนหยวนแข็งแกร่งมากอยู่แล้ว ข้าได้ยินว่าขั้นเหนือเทพของตระกูลวายเนอร์ไม่ใช่คู่มือเขาและได้แต่รับมือตลอดการต่อสู้ ตอนนี้ผู้นำตระกูลเทียนหยวนได้ทะลวงผ่านไปแล้ว เขาจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดไหนกัน ? เขาจะกลายเป็นขั้นเหนือเทพช่วงกลางงั้นหรือ ? หรือว่าช่วงปลาย …”

“ข้าได้ยินมาว่าทุกการทะลวงผ่านสำหรับขั้นเหนือเทพต้องใช้เวลาการบ่มเพาะนานอย่างมาก แต่ผู้นำตระกูลเทียนหยวนกลับอยู่ที่นี่แค่เพียง 20 ปี และเขาก็ได้ทะลวงผ่านอีกครั้ง พรสวรรค์นี้น่ากลัวจริง ๆ….”

“ผู้นำตระกูลเทียนหยวนเป็นผู้บ่มเพาะที่เก่งกาจในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนอยู่แล้ว แม้แต่ในหมู่ขั้นเหนือเทพ มันก็มีไม่กี่คนที่เป็นคู่มือเขาได้เพราะเขาเข้าใจกฎแห่งกระบี่….”

….

ผู้บ่มเพาะหลายคนที่จับจ้องไปที่เจี้ยนเฉินได้พากันตะโกนออกมา

ชีเฉียนยังไม่ได้กลับไป ตอนที่เขาเห็นว่าเจี้ยนเฉินทะลวงผ่านได้อีกครั้ง เขาก็รู้สึกดีใจจากก้นบึ้งหัวใจ เขาเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเทียนหยวนแล้ว ยิ่งผู้นำตระกูลแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ สถานะของตระกูลเทียนหยุนก็ยิ่งมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น โอกาสที่เขาจะได้เป็นขั้นเหนือเทพของเขาเองก็สูงขึ้นไปด้วย

ปราณกระบี่แผ่ออกมาจากตัวเจี้ยนเฉินตลอดทั้งวันก่อนจะสลายไป ไม่นานทุกอย่างก็เริ่มกลับไปสงบดังเดิม ด้วยการหายไปของปราณกระบี่ ผู้บ่มเพาะทุกคนที่ไปรวมตัวกันต่างก็สลายโล่พลังของตัวเองและมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยความทึ่ง

ตอนนั้นเจี้ยนเฉินค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมานั้นก็มีแสงยิงออกมาใส่ภูเขาที่ห่างออกไปหลายพันเมตรจนเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้น

หากไม่ใช่เพราะภูเขารอบ ๆ นั้นแข็งอย่างมากเพราะรอยกระบี่ของราชาเทพต้วนมู่ งั้นภูเขาอาจจะทะลุเพราะสายตาของเจี้ยนเฉินก็ได้

“ในที่สุดข้าก็เข้าถึงความสำเร็จขั้นกลางของจิตวิญญาณกระบี่ได้สำเร็จ” เจี้ยนเฉินยิ้มออกมา หลังจากที่บ่มเพาะและทำความเข้าใจมา 20 ปี ในที่สุดกฎแห่งกระบี่ของเขาก็ยกระดับขึ้นมาอีกครั้งในสุสานราชาเทพต้วนมู่

“ตอนที่ข้าเข้าถึงความสำเร็จขั้นต้นของจิตวิญญาณกระบี่ มันเท่ากับความเข้าใจของขั้นเหนือเทพช่วงปลาย” เจี้ยนเฉินคิดและตัดสินความแข็งแกร่งของตนในตอนนี้

ความเข้าใจกฎของเขาขึ้นถึงขั้นเหนือเทพช่วงปลายแล้ว

สิ่งเดียวที่เขาขาดไปยังคงเหมือนเดิม มันคือขอบเขตการบ่มเพาะของเขาเอง

ร่างบรรพกาลของเขายังคงอยู่ที่ขั้น 10 ซึ่งเท่ากับขั้นเทพ ตอนที่ร่างบรรพกาลของเขาขึ้นถึงชั้น 11 ได้ ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาจะเทียบเท่ากับขั้นเหนือเทพ

ขอบเขตการบ่มเพาะนั้นขึ้นอยู่กับการเข้าใจกฎ ส่วนการบ่มเพาะนั้นขึ้นอยู่กับพลังงานในตันเถียน

“เม็ดพลังบรรพกาลของข้าขาดพลังงานไป 1/3 ส่วนก่อนที่จะขึ้นถึงขั้น 11 ได้ ข้าต้องหาทรัพยากรการบ่มเพาะเพื่อเติมเต็มส่วนนี้ให้เร็วที่สุด” เจี้ยนเฉินตัดสินใจก่อนจะออกจากที่นั่นไปในทันที

หลังจากที่เขาถึงความสำเร็จบางส่วนของจิตวิญญาณกระบี่ได้ ที่นี่ก็ไม่ได้ส่งผลดีต่อเจี้ยนเฉินมากอย่างเคยอีกต่อไป

มันเพราะนี่คือที่ซึ่งราชาเทพต้วนมู่ฝึกฝนกระบี่และไม่ใช่ที่ซึ่งราชาเทพต้วนมู่ตัดสินใจส่งต่อกฎของตนเองให้ เจี้ยนเฉินได้เข้าใจและซึมซับความเข้าใจที่ส่งผลดีต่อเขาทั้งหมดแล้ว การอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ทำให้เขาพัฒนาขึ้นมาอีก

แต่เจี้ยนเฉินไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ที่ที่เขาบ่มเพาะได้กลายเป็นพื้นที่สมบัติและเป็นที่ต้องการของทุกคน ทุกคนต่างก็อยากได้มันมาเพราะพวกเขาเชื่อว่าผลของความเข้าใจกฎแห่งกระบี่นั้นจะเพิ่มขึ้นตราบใดที่ได้บ่มเพาะที่นั่น

ในเวลาเดียวกันเพราะมีคนมากมายได้ไปรวมตัวกันในสุสานราชาเทพ ข่าวการที่ผู้นำตระกูลเทียนหยวนได้ทะลวงผ่านจึงถูกส่งกลับไปยังตระกูลพวกเขาไปอย่างรวดเร็ว

ในหอคอยสูงของครอบครัวโม่ภายในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ฉิงหยาง บรรพชนนั่งอยู่ด้านใน ตอนนี้เขาสวมชุดสีดำ เขาถือเกราะที่ได้รับความเสียหายอยู่ในมือพร้อมกับทำการศึกษามัน ดูเหมือนเขาจะลังเลอย่างมาก

“วัตถุเทพนี้เสียหายเกินไป ด้วยความแข็งแกร่งของข้าแล้ว แม้ว่าข้าจะหาวัสดุของมันได้แต่ข้าก็ไม่อาจจะซ่อมแซมมันได้ หากข้าไม่อาจจะซ่อมมันได้ เกราะนี้ก็คงเป็นแค่ของหายากแต่ไร้ประโยชน์ ข้าสามารถขายมันให้กับตระกูลหรือนิกายใหญ่เพื่อผลประโยชน์ได้ แต่มันเป็นวัตถุเทพ แม้ว่าจะเสียหายแต่มันก็น่าเสียดายที่ข้าจะขายมันไปเช่นนั้น มันเพราะของที่ตระกูลและนิกายใหญ่เสนอมาหกับข้านั้นไม่อาจจะเพียงพอกับการเพิ่มความแข็งแกร่งของข้าเอง ไม่ว่าจะมีผลึกและสมบัติสวรรค์เท่าไหร่ แต่ความแข็งแกร่งของข้าก็ไม่เพิ่มขึ้นตราบใดที่ยังไม่ทะลวงผ่านความเข้าใจกฎ แต่หากข้าซ่อมเกราะนี้ได้ ความแข็งแกร่งของข้าก็จะเพิ่มขึ้นโดยตรง” บรรพชนคิดด้วยความลังเล

“เจี้ยนเฉิน ได้ฆ่าหลานรักของข้าไป ยกโทษให้ไม่ได้ แม้ว่าข้าจะขึ้นถึงขั้นเหนือเทพช่วงกลางขั้นสูงสุดได้แต่ข้าก็ยังไม่มั่นใจว่าจะหยุดปราณกระบี่สองสายของเจี้ยนเฉินได้ ข้าต้องหาทางป้องกันปราณกระบี่ทั้งสองหากข้าต้องการฆ่าเจี้ยนเฉิน แต่ข้าหยุดปราณกระบี่ได้เพียงสายเดียว หากขึ้นเป็นขั้นเหนือเทพช่วงปลายหรือมีขั้นเหนือเทพหลายคนมาร่วมมือกับข้า มันยากกับการทะลวงผ่านการบ่มเพาะพร้อมกับหาขั้นเหนือเทพคนอื่นเมื่อร่วมมือกันจัดการเจี้ยนเฉิน ยังไงซะทุกคนก็รู้ถึงความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินและพลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานราชาเทพต้วนมู่ มันยากที่จะขอให้พวกเขามาร่วมมือกับข้าจัดการเจี้ยนเฉิน แม้ว่าจะชักชวนพวกนั้นมาได้ แต่ข้าก็ไม่คิดจะจ่ายค่าตอบแทนให้พวกเขา “

บรรพชนตระกูลโม่มองเกราะในมืออีกครั้งและพึมพำออกมา “ดูเหมือนว่าข้าคงได้แต่ใช้วัตถุเทพนี้ หากดูจากสถานการณ์ตอนนี้ เกราะนี้คือวัตถุเทพ ข้าไม่ต้องซ่อมมันให้สมบูรณ์ก็ได้ แค่ซ่อมมันให้ได้สัก 1/10 รึ 2/10 ก็เพียงพอจะหยุดปราณกระบี่ของเจี้ยนเฉินได้ มันเพราะน้ำนั่นล้ำค่าเกินไป ข้าต้องใช้มันไปอย่างนี้จริง ๆ รึ ? ”

บรรพชนตระกูลโม่คิดถึงน้ำไม่กี่หยดที่เขาได้มาเพราะโชค เขาพบมันในอวกาศ ตอนที่มันลอยอยู่ในมิติ มันก็ได้แผ่พลังแปลก ๆ ออกมา

บรรพชนตระกูลโม่ไม่รู้ว่าน้ำนั่นคืออะไร แต่เขารู้ว่ามันโดดเด่น ผลก็คือเขาเก็บมันกลับมา หลังจากนั้นเขาก็ได้ทดลองกับมามาหลายปีจนสุดท้ายก็พบคุณสมบัติของมันอย่างหนึ่งได้คือการซ่อมแซม

เขาไม่รู้ว่าน้ำนั่นทรงพลังแค่ไหนและมันสามารถซ่อมวัตถุเทพได้หรือไม่ เขารู้แค่ว่าเกราะเซียนที่เขาพบในอดีตนั้นถูกซ่อมได้อย่างสมบูรณ์ด้วยน้ำนั่นเพียงหยดเดียว

ข้อเสียของมันอย่างเดียวคือมันจะลดคุณภาพของมันลงหลังจากที่ทำการซ่อมแซม