ตอนที่ 3369

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3369 : นิกายกระบี่เมฆรุ้ง

 

ณ จี้เมี่ยเทียน

 

แดนทําลายล้าง

 

นิกายกระบี่เมฆรุ้ง เป็นนิกายระดับ 4 ที่มีแต่สตรีล้วน เนื่องเพราะนิกายแห่งนี้รับแต่อิสตรีเท่านั้น

 

ในจี้เมี่ยเทียนแน่นอนว่า สิ่งที่เขียนอมตะนิยมฝึกปรือมากที่สุดก็คือกระบี่

 

สิ่งนี้ได้รับผลกระทบมาจากจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่่ยเทียนล้วนๆ

 

ถึงแม้นิกายกระบี่เมฆรุ้งจะเป็นนิกายระดับ 4 อย่างไรก็ตามในนิกายนั้นโดดเด่นในเรื่องฝึกปรือกระบี่เป็นอย่างมาก และคนในนิกายกว่า 9 ส่วนก็ล้วนเป็นมือกระบี่ทั้งสิ้น

 

ฟั่ฟ. ฟั่ฟ! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง

 

สถานที่ตั้งนิกายกระบี่เมฆรุ้งนั้นอยู่ในหุบเขาอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง และบริเวณมุมเล็กๆของหุบเขา ก็ปรากฏเสียงกระบี่แหวกอากาศดังขึ้นไม่หยุด

 

เป็นสตรีในร่างเพรียวบางนางหนึ่งกําลังฝึกปรือกระบี่อยู่ในมุมของหุบเขาอย่างตั้งอกตั้งใจ กระบี่ในมือทอประกายแหลมคมเยียบเย็น ตวัดกรีดกรายไปในอากาศราวมังกรแหวกว่าย แสงกระบี่วูบวาบออกมาไม่หยุด ชวนให้ผู้ที่ชมมองสองตาพร่าเลือนอยู่บ้าง

 

นอกจากสตรีที่กําลังฝึกกระบี่แล้ว มุมหุบเขาแห่งนี้ยังมีสตรีอีกนางที่ยืนมองสตรีฝึกกระบี่ไม่วางตา

 

สตรีที่ยืนชมดูอยู่ข้างๆ มาในชุดแดงเพลิง ท่วงท่าลักษณะแลดูเข้มแข็งสง่างาม ดวงเนตรคู่งาม ไม่เพียงแหลมคม ยังทอประกายวูบวาบราวมีเส้นสายอัสนีแลบลั่น อย่างไรก็ตามยามสายตาดังกล่าวมองไปยังร่างสตรีที่กําลังฝึกกระบี่อยู่ มันก็ลดทอนความแหลมคม เผยความอ่อนโยนประดุจสายน้ำ

 

ซ่า!!

 

ซ่า!!

 

….

 

ห่างออกจากจุดที่สตรีนางหนึ่งกําลังฝึกกระบี่ไม่ไกลก็มีน้ําตกเล็กๆสาดลงจากผาสูง และสตรีที่ฝึกปรือกระบี่อยู่ หลังหมุนตัวตวัดกระบี่ฟันฟาดออกไปรอบทิศ ก็จ้วงกระบี่เสือกแทงไปยังม่านน้ําตกไม่ไกล

 

ปงงง!!

 

ซุ่มมมม!!

 

รังสีกระบี่สายหนึ่งซัดทําลายยออกไปยังม่านน้ําตกฉับไว อานุภาพพลังยังผลให้สายน้ําตกเสมือนหยุดไหลไปชั่วขณะ กระทั่งหากหากชมดูให้ดี เสมือนสายน้ําไหลย้อนทานขึ้นไปเบื้องบนอย่างน่าอัศจรรย์ ละอองเย็นฉ่ซ่านกระเซ็นเป็นฝอย ค่อยร่วงตกลงตามแรงโน้มถ่วงเป็นแพ ดั่งม่านแหทอดลงมาปกคลุมไปทั่วอาณาบริเวณใกล้เคียง

 

และในจังหวะที่ละอองน้ําซานกระเซ็นเข้าใกล้ร่างสตรีที่ฝึกกระบี่อยู่นั้น

 

ห้วงเวลาพริบตาดุจอัสนีวาบลั่น

 

สองตาคู่งามของมือกระบี่สาวหรี่ลงทั้งเผยประกายเยียบเย็น จากนั้นมือเรียวพลันปลดปล่อยพลังขุมหนึ่งถ่ายทอดลงสู่กระบี่ ตวัดพันออกไปฉับไว อุบัติเป็นแสงกระบี่จ้า ส่องสาดไปยังพื้นที่เล็กๆส่วนหนึ่งเบื้องหน้า

 

และในพื้นที่เล็กๆดังกล่าว ห้วงอากาศคล้ายหยุดเคลื่อนไหว กระทั่งละอองเย็นที่ซ่านกระเซ็นมา ก็หยุดลงกลางหาวจนเห็นเป็นละอองกลมใสนับไม่ถ้วนอย่างน่าอัศจรรย์

 

เรียกว่ายกเว้นตัวมือกระบี่หญิงที่เคลื่อนไหวแล้ว สรรพสิ่งใดล้วนไม่เคลื่อนไหว ราวกับห้วงเวลาจุดนี้ถูกผนึกแข็งจนหยุดเดินอย่างไรอย่างนั้น!

 

ฟัฟฟ!

 

ทันใดนั้น กระบี่ในมือเรียวพลันตวัดฟันออกไปอีกครั้งด้วยคววามเร็วสูงล้ํา เห็นเป็นประกายแสงสายหนึ่งแล่นวาบตัดอากาศไปฉับไว ดั่งมังกรโจนทะยานข้ามม่านเมฆ! ตัดทําลายหยดน้ําเล็กๆนับไม่ถ้วนเป็นสองเสี่ยงผ่ากลางอย่างร้ายกาจ!!

 

พริบตาต่อมา ห้วงเวลาคล้ายเริ่มเดินต่อ ละอองเย็นพร่างพรมลงมา หอบหิ้วความเย็นสบายมาส่งถึงร่างมือกระบี่สาว

 

“ซือหลิง กฏเวลาของเจ้ามีความก้าวหน้าอีกแล้ว กระบี่ผสานความลึกซึ้งหยุดนิ่งเมื่อครู นับว่าร้ายกาจไม่เบาที่เดียว”

 

ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ สตรีในชุดแดงเพลิงที่ชมดูเรื่องราวข้างๆ ได้มาหยุดยืนอยู่ข้างๆมือกระบี่สาว หลังเห็นอีกฝ่ายฟันหยดน้ําที่ถูกหยุดในอากาศนับอนันต์จนสะบั้นในกระบี่เดียว ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความชื่นชม

 

“น้าหวู่”

 

มือกระบี่สาวรั้งกระบี่มาคอนไว้ข้างกาย ท่วงท่าสภาวะแลดูกล้าหาญไม่ธรรมดา ชุดสีม่วงอ่อนของนางช่างตอบรับกับผิวขาวกระจ่าง หว่างคิ้วยังแผ่ความองอาจออกมาไม่น้อย ผสมผสานกับความงามของพวกแก้วสคราญได้อย่างลงตัวนัก

 

หากต้วนหลิงเทียนมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ และได้เห็นมือกระบี่ชุดม่วงอ่อนนางนี้ล่ะก็คงอดไม่ได้ที่จะตกใจยกใหญ่

 

เนื่องเพราะมือกระบี่สาวรูปโฉมงดงามแฝงความองอาจอย่างลงตัวนางนี้ หว่างคิ้วของนาง ไม่เว้นเค้าโครงรูปหน้ากลับให้ความรู้สึกละม้ายคล้ายเขากับภรรยาเขาอย่างเค่อเอ๋ออยู่หลายส่วน

 

และมือกระบี่สาวนางนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นางคือต้วนซือหลิง ลูกสาวของต้วนหลิงเทียนกับเค่อเอ๋อนั้นเอง

 

สําหรับน้าหวู่ที่นางเรียกหา ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเฟิงเทียนหวู่!

 

ตอนนี้วันเวลาก็ผ่านไปเกือบ 300 ปีแล้ว ตั้งแต่ที่เชี่ยเจี๋ย นาย 3 ของตระกูลเซี่ยได้ส่งตัวพวกนางออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ

 

ย้อนกลับไปในตอนนั้น ทั้งเฟิงเทียนหวู่และต้วนซือหลิงหลังถูกส่งตัวออกมาจากดินแดนการล่มสลายแห่งทวยเทพ พวกนางก็มาถึงระนาบโลกียะที่เรียกว่า ขจีสันโดษ

 

ด้วยความที่ทั้งสองได้รับการชําระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินในระนาบเทพ เช่นนั้น พรสวรรค์ของพวกนางจึงยกระดับไปสู่ขอบเขตใหม่ ยามบ่มเพาะพลังก็ได้ผลลัพธ์เป็นสองเท่าแม้ใช้ความพยายามเพียงครึ่งเดียว

 

ไม่นานทั้งคู่ก็ทะลวงด่านพลังครึ่งก้าวเซียนอมตะ จนขึ้นสู่ระนาบเทวโลกมาพร้อมๆกัน

 

แน่นอนว่าระนาบเทวโลกที่พวกนางขึ้นมาในตอนนั้นไม่ใช่ระนาบขี้เมียเทียนแห่งนี้ และไม่ใช่ ระนาบอวี้หวงเทียน…ทั้งสองได้บ่มเพาะฝึกปรืออยู่ในระนาบเทวโลกที่ขึ้นมาอยู่สักพัก จนเมื่อเฟิงเทียนหวู่ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะ จึงได้พาต้วนซือหลิงมายังระนาบจี้เมี่ยเทียน

 

ที่ไฉนจึงมายังระนาบจี้เมี่ยเทียน เฟิงเทียนหวู่ก็มีเหตุผลเช่นกัน

 

เพราะเฟิ่งเทียนหวู่เองก็ได้ยินข่าวใหญ่โตเกี่ยวกับ จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง หวนกลับมาจากนรกอสุรา และทวงบัลลังก์จักรพรรดิสวรรค์คืนกับมาจากจักรพรรดิสวรรค์ที่ฉวยโอกาสได้สําเร็จ

 

เท่าที่นางทราบ

 

จักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เสี่ยเทียนมีนามว่า ฟังชิงหยาง นั้นมันเป็นนามเดียวกับอาจารย์ที่พี่ใหญ่ต้วนให้การยอมรับนับถือ และยังเป็นอดีตผู้นํา 7 ทวาราเที่ยงแท้ในระนาบเซียน

 

พี่ใหญ่ตัวนของนางยังได้รับสืบทอดเคล็ดบําเพ็ญจิตเด็กระบี่สูงสุดอย่างยอดใจกระบี่ รวมถึง นามหมอกพิรุณ!

 

ในตอนนั้นอวิ๋นชิงเหยียนที่ลงมาบีบคั้นพาตัวเค่อเอ๋อไป ก็ได้กล่าวออกมาเอง…ว่าได้ส่งคนไปจัดการอาวุโสฟงชิงหยางเรียบร้อยแล้ว สาเหตุเนื่องเพราะพี่ใหญ่หลิงเทียนไปรับสืบทอดมรดกของ ฟงชิงหยางมาจนมีสายสัมพันธ์เป็นดั่งศิษย์อาจารย์กับอาวุโสฟงชิงหยาง”

 

เป็นเพราะเหตุผลนี้ ทําให้เฟิงเทียนหวู่ที่ได้ยินข่าวว่าจักรพรรดิสวรรค์เมี่ยเทียน ฟงชิงหยาง ถูกคนบีบให้ต้องหลบหนีเข้าสู่นรกอสุรา 1 ใน 7 แดนต้องห้ามของระนาบเทวโลก ก็ตระหนักได้ทันทีว่าไม่พ้นคนที่บีบให้ฟงชิงหยางเข้าสู่นรกอสุรา ต้องเป็นคนของอวิ๋นชิงเหยียนแน่!

 

กระทั่งเวลาที่เกิดเรื่องยังประจวบเหมาะ!

 

ทําให้เฟิ่งเทียนหวู่รู้สึกว่า หากพี่ใหญ่ต้วนของนางเดินทางมายังระนาบจี้เมี่ยเทียน ก็มีโอกาสสูงที่จะถูกฟงชิงหยางรับตัวไปเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ

 

ในระนาบเทวโลกอันกว้างใหญ่ เฟิงเทียนหวู่อาศัยเพียงเบาะแสหนึ่งเดียวดังกล่าว เพื่อใช้ในการตามหาตัวพี่ใหญ่ต้วนหลิงเทียนของนาง

 

ด้วยเหตุนี้หลังจากที่นางบ่มเพาะฝึกปรือในระนาบเทวโลกจนมีกําลังพอที่จะปกป้องตัวเองได้บ้างแล้ว จึงพาต้วนซือหลิงเดินทางมายังแดนทําลายล้างของจี้เมี่ยเทียน และเข้าร่วมกับนิกายระดับ 4 อย่างนิกายกระบี่เมฆรุ้ง ซึ่งรับเฉพาะอิสตรี

 

นางได้เข้ามาพักอาศัยอยยู่ที่นิกายกระบี่เมฆรุ้งได้ร้อยกว่าปีแล้ว

 

และไม่ว่าจะเฟิงเทียนหวู่หรือต้วนซือหลิง ก็ทะลวงถึงขอบเขตราชาอมตะเป็นที่เรียบร้อย

 

เห็นไฉนที่ทั้งคู่จึงสามารถก้าวหน้าได้ในเวลาสั้นๆ เพราะไม่เพียงแต่ร่างกายจะได้รับการชําระขัดเกลาจากพลังวิญญาณฟ้าดินของระนาบเทพ แต่นิกายกระบี่เมฆรุ้งก็ให้การดูแลพวกนางอย่างดี

 

เรียกว่าพรสวรรค์ของทั้งคู่สําหรับนิกายกระบี่เมฆรุ้งนั้น ถือว่าสูงล้ําและโดดเด่นมาก ถึงขั้นเป็นศิษย์อัจฉริยะที่ไม่เคยมีมาก่อนในนิกาย

 

และในปัจจุบัน ตัวนซื่อหลิงก็ได้ถูกประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้งรับเป็นศิษย์ส่วนตัว สําหรับเฟิงเทียนหวู่ก็คารวะอาวุโสใหญ่ของนิกายยกระบี่เมฆรุ้งเป็นอาจารย์

 

นิกายกระบี่เมฆรุ้ง ในฐานะที่เป็นขุมกําลังระดับ 4 ก็มีตัวตนระดับจอมราชันอมมตะสมญานามเป็นผู้ค้ําจุน

 

จอมราชันอมตะสมญานามที่ว่าก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง อาจารย์ของเฟิงเทียนหวู่

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านทั้งคู่ได้อาศัยอยู่ในนิกายกระบี่เมฆรุ้งอย่างราบรื่น ไม่มีภยันตรายใดๆ อย่างน้อยๆก็ยังไม่มี ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องประเสริฐนักเพราะสุดท้ายแล้วระนาบเทวโลกก็เต็มไปด้วยภยันตรายทุกแห่งหน

 

และเมื่อ 100 ปีก่อน เฟิงเทียนหวู่ก็ได้ขอให้อาจารย์ของนางพาไปยังพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนครั้งหนึ่ง เพื่อไปสืบข่าวคราวของพี่ใหญ่ต้วน ว่าที่แท้พี่ใหญ่ตัวนได้มาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้วหรือยัง กระทั่งใช่เข้าร่วมพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ไปแล้วหรือไม่

 

อย่างไรก็ตาม พอนางมาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ คนที่นั่นกลับไม่ล่วงรู้ถึงการคงอยู่ของพี่ใหญ่ต้วนเลย

 

ยิ่งไปกว่านั้น จักรพรรดิสวรรค์แห่งเมี่ยเทียนก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นในตอนนั้น

 

“น้าหวู่ ท่านกําลังคิดอะไรอยู่หรือ?”

 

พอเห็นเฟิงเทียนหวู่เหม่อไป ต้วนซือหลิงก็อดถามออกมาไม่ได้

 

ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ต้วนซือหลิงได้อยู่กับเฟิงเทียนหวู่มาโดยตลอด เฟิงเทียนหวู่จึงเป็นทั้งมารดาและพี่สาวของนาง

 

อาจกล่าวได้ว่าเวลาที่ต้วนซือหลิงใช้อยู่ร่วมกับบิดามารดาของนาง ยังไม่นานเท่ากับเวลาที่อยู่ด้วยกันกับเฟิงเทียนหวู่ด้วยซ้ํา

 

“ข้ากําลังคิดอยู่ว่านี่มันก็ผ่านมาเป็นร้อยปีแล้ว ไม่ทราบว่าท่านพ่อของเจ้าได้มาถึงพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แล้วหรือยัง…”

 

ก็หันไปมองต้วนซือหลิง สองตากระจ่างงามหมดจดของนางเต็ม

 

ไปด้วยความอ่อนโยน

 

ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเฟิงเทียนหวู่ก็เห็นต้วนซือหลิงเป็นดั่งลูกสาวแท้ๆของาง

 

ไม่ว่ามีสิ่งดีๆใดๆนางก็ยกให้ต้วนซือหลิงก่อน

 

เพราะเหตุนี้ทําให้ด้านพลังของต้วนซือหลิงแทบจะไล่ตามนางทันแล้ว…หากไม่ใช่เพราะภายหลังต้วนซื้อหลิงรู้ความ และมักจะปฏิเสธไม่ยอมรับความหวังดีของเฟิงเทียนหวู่ ปานนี้ด้านพลังฝึกปรือของต้วนซือหลิงคงก้าวข้ามเฟิงเทียนหวู่ไปนานแล้ว

 

“ท่านพ่อ…”

 

ได้ยินคําพูดของเฟิงเทียนหวู่ ต้วนซือหลิงก็นิ่งเหม่อไปทันที

 

ย้อนกลับไปในอดีต ตอนที่นางต้องแยกจากบิดา ถึงแม้นางจะยังเล็กแต่ทว่าก็จําความได้แล้วจึงรู้ว่าบิดามีหน้าตาเป็นอย่างไร รู้ว่ามารดามีหน้าตาเป็นอย่างไร

 

“น้าหวู่ ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่ยิ่ง”

 

หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งสุดท้ายร่างต้วนซือหลิงก็สั่นสะท้าน จากนั้นก็โยนตัวเข้าอ้อมอกเฟิงเทียนหวู่พลางร่ําไห้ออกมาน้ําตาไหลพราก

 

แม้นางจะยังอายุไม่ถึง 300 ปี

 

ทว่านางไม่ได้พบเจอหน้าบิดามารดามา 200 กว่าปีแล้ว

 

หากตลอดระยะเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมา นางไม่วาดรูปเหมือนของบิดากับมารดาทุกครั้ง เกรงว่าป่านนี้อาจจะลืมหน้าบิดามารดาไปแล้วก็เป็นได้

 

เฟิงเทียนหวู่ก็ได้แต่ตบหลังตัวนซื่อหลิงเบาๆ ตัวนางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบโยนอีกฝ่ายอย่างไรดี 

 

ขณะเดียวกัน ในใจก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงพี่ใหญ่ต้วนขึ้นมาจับใจ

 

“ฮาย ผู้ใดรังแกสาวน้อยซื้อหลิงของเรากันล่ะเนี่ย หืม?”

 

ต้วนซือหลิงโยนตัวเองเข้าอ้อมอกเฟิงเทียนหวู่ทั้งร่ําไห้ได้ไม่นาน ก็มีเสียงหนึ่งดังมาแต่ไกลจากนั้นปรากฏร่างสตรีในชุดขาวสง่างามเห็นร่างลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะมาหยุดยืนข้างๆเฟิงเทียนหวู่กับตัวนชื่อหลิง

 

“ศิษย์พี่หญิง”

 

หลังจากเฟิงเทียนหวู่กับต้วนซือหลิงผละร่างออกจากกัน เฟิงเทียนหวู่ก็กล่าวทักอีกฝ่ายทันที

 

และนางยังเป็น อาจารย์ ของต้วนซือหลิงอีกด้วย

 

สตรีผู้มาใหม่ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้ง อวี่เหวินชิง

 

อวี่เหวินชิง นอกจากจะเป็นประมุขนิกายกระบี่เมฆรุ้งแล้ว นางยังเป็นยอดฝีมือลําดับที่สองของนิกายกระบีเมฆรุ้งรองจากอาวุโสใหญ่อีกด้วย

 

“ศิษย์พี่หญิง ท่านมาหาพวกเราเช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือ?”

 

เฟิงเทียนหวู่เอ่ยถามอวี่เหวินชิง

 

ก่อนที่อวี่เหวินชิงจะทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงแหวกฝ่าสายลมหนึ่งดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฏสตรีช รามาในชุดคลุมสีดําหลวมๆ ร่างกายผ่ายผอม ใบหน้าเหี่ยวย่นเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมเห็นร่า งลงมาจากฟ้าเสียก่อน

 

“อาจารย์”

 

พอเห็นผู้มาใหม่ เฟิงเทียนหวู่ก็เร่งป้องมือคารวะทักทายทันที ขณะเดียวกันหว่างคิ้วก็อดขมวดเป็นปมไม่ได้ เพราะการที่อยู่ๆอาจารย์ของนางเร่งมาหาพวกนางถึงที่นี่แบบนี้ เกรงว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่

 

เพราะตั้งแต่ที่นางมาอยู่นิกายกระบี่เมฆรุ้งได้ร้อยกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทีดังกล่าว

 

“อาจารย์”

 

“อาจารย์ย่า”

 

อวี่เหวินชิงกับตัวนซื่อหลิงก็เร่งคารวะทักทายผู้มาใหม่เช่นกัน ในขณะที่แววตาของอวี่เหวินชิง ฉายความเศร้าออกมา ด้านต้วนซือหลิงกลับเต็มไปด้วยความสงสัย เห็นได้ชัดว่ากําลังคิดเหมือนกันกับเฟิงเทียนหวู่

 

“ท่านอาจารย์ ท่านมาพร้อมศิษย์พี่หญิงเช่นนี้ได้ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”

 

เฟิงเทียนหวู่มองไปยังอาจารย์ของนาง ผู้อาวุโสใหญ่ที่มีพลังฝีมือเป็นอันดับ 1 ของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง โหยวไป๋เฟิ่ง” ด้วยแววตาจริงจัง

 

โหยวไป๋เฟิ่งยังเป็นดั่งเสาหลักของนิกายกระบี่เมฆรุ้ง จอมราชันอมตะสมญานาม!

 

“มีเรื่องคิดจะหารือกับพวกเจ้า”

 

โหยวไป๋เฟิ่งพักหน้ารับคําทักของอวี่เหวินชิง จากนั้นพอหันมองไปยังเฟิงเทียนหวู่ดวงตาสีโคลนของนางก็ฉายชัดถึงความไม่ยินยอมพร้อมใจประการหนึ่ง

 

และสิ่งนี้ยังทําให้สองตาเฟิ่งเทียหวู่หรี่ลงทันที ในใจยังบังเกิดสังหรณ์อัปมงคลประการหนึ่งผุดขึ้น!