นักพรตเฒ่าที่นั่งยองอยู่ริมทางเพิ่งจะแทะแตงโมครึ่งหนึ่งในมือเสร็จ แตงโมกึ่งดิบยังไม่สุกงอมดี รสชาติธรรมดา จึงเตรียมจะหยิบอีกครึ่งที่เหลือมากิน พอได้ยินสองชื่อนี้ก็พลันตัวสั่นเยือก ค้อมเอวลงอีกครั้ง ยื่นมือออกไปปาดช้อน แนบหลังมือไว้กับพื้นดิน ฝ่ามือประคองแตงโมเหมือนเซียนเหรินประคองขุนเขาไว้ในฝ่ามือ ไยจะไม่มีมาดของเทพเซียนเล่า นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม แตงไม่สุกไม่หวาน ทว่าวิชาคาถาบนร่างนับว่ายังพอใช้ได้ ไม่เคยรู้สึกติดขัดไม่คุ้นมือแม้แต่น้อย
ทว่าคำว่าสองชื่อที่เขากล่าวนี้ ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับสหายน้อยเฉินที่เพียงพบเจอก็ถูกชะตา จึงสนิทสนมกลมเกลียวกันแม้แต่น้อย แต่เป็นชื่อของนครบินทะยานและชื่อหนิงเหยาต่างหาก
เซียนกระบี่อะไรนั่น นักพรตเฒ่าเห็นมานักต่อนักแล้ว
ทว่าบุคคลอันดับหนึ่งของตลอดทั้งใต้หล้าตัวจริง น้ำหนักหนักว่าแตงโมครึ่งซีกใต้ฝ่ามือของนักพรตวัวดำในเวลานี้มากนัก
พี่ใหญ่ซุนแห่งอารามเสวียนตูนั่นเพิ่งจะเป็นบุคคลอันดับที่เท่าไรในใต้หล้ามืดสลัวกันเชียว? ดูเหมือนว่าจะเป็นอันดับที่ห้ามิใช่หรือ?
ฝูลู่อวี๋เสวียน น้องอวี๋ของพวกเราคนนั้น สองชายแขนเสื้อบรรจุเต็มไปด้วยแผ่นยันต์ เพิ่งจะเป็นบุคคลอันดับที่เท่าไรของไพศาลเอง? ดูเหมือนว่าจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำกล่าวที่แน่ชัดว่าเขาอยู่ในอันดับใดกระมัง? แต่สรุปก็คือลำดับชื่ออยู่ค่อนไปทางด้านหลังอย่างมาก
หากหนิงเหยาเป็นเพียงแค่หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับยังดี คำกล่าวที่ว่าอนาคตบนมหามรรคามีความหวัง ก็เป็นแค่เรื่องในอนาคตที่อาจมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้มากมาย แต่หากเป็นหนิงเหยาที่อยู่ในนครบินทะยานแล้ว หนิงเหยาที่เป็นขอบเขตบินทะยานแล้ว กลับเป็นเรื่องตรงหน้าที่จริงแท้แน่นอนแล้ว
ในเมื่อตอนอยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้านางเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยานได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่าบนเส้นทางการฝึกตนต่อจากนี้ ขอแค่ภายในเวลาแปดร้อยปีพันปี หนิงเหยาไม่ได้ไปอาละวาดก่อเรื่องที่ศาลบุ๋น หรือไปถามกระบี่ที่ป๋ายอวี้จิง ก็จะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับนางแล้ว
ดังนั้นหนิงเหยาในวันนี้พกกระบี่เดินทางไกลมาเยือนไพศาล การออกจากบ้านเกิดของนาง เป็นการนำพา ‘มหามรรคาแห่งใต้หล้า’ มาบนร่างนางด้วย อะไรที่เรียกว่ามังกรข้ามแม่น้ำ ก็คืออย่างนี้นี่เอง
นักพรตเฒ่าอดไม่ไหวหันหน้าไปมอง ไม่ทันมีเวลามาสนใจว่านักพรตน้อยเฉินจะจดจำความแค้นหรือไม่ เพราะเขาอยากจะเหลือบมองสตรีผู้เดินทางไกลที่สะพายกล่องกระบี่ไว้ด้านหลังคนนั้นอีกหน่อย ได้มองมากอีกแค่แวบเดียวก็ถือเป็นกำไรนี่นา
คนเก่าแก่ในยุทธภพหมายความว่าอะไร ก็หมายความว่าบนเส้นทางชีวิตเคยพบเจอใคร เคยดื่มเหล้ากับใคร เรียกพรรคพวกเรียกสหาย เคยประลองฝีมือประชันมรรคกถากับใคร ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเคยชนะใครมาก่อนไม่แน่เสมอไปว่าจะร้ายกาจอย่างไร แต่เคยแพ้ให้กับใคร กลับกลายเป็นไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเรื่องที่ทำให้มีหน้ามีตาก็เป็นได้
เฮ้ย! สหายน้อยเฉิน เจ้าโจรน้อยช่างใจกล้านัก ถึงกับลงไม้ลงมือกับเทพธิดาหนิงเลยหรือ?!
เทพธิดาหนิง สามารถออกกระบี่ได้แล้ว ฟันเท้าหมาคู่นั้นของเขาซะ เรื่องแบบนี้หากแพร่ออกไปจะไม่ทำให้คนนอกเห็นเป็นเรื่องตลกเปล่าๆ หรอกหรือ…เดี๋ยวก่อน เรื่องคืนนี้ใครจะเอาไปบอกต่อได้? สหายนักพรตน้อยเฉินคนนั้นคงไม่เปลี่ยนสีหน้าไม่จำคน เป่าลมข้างหมอนอะไรนั่นให้เทพธิดาหนิงฟัง แล้วให้นางมาฆ่าคนปิดปากหรอกกระมัง? ช่างเถิด คู่รักเทพเซียนคู่หนึ่งที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลกหล้า คู่สร้างคู่สมที่สวรรค์สรรค์สร้าง อยู่ใต้แสงจันทร์เบื้องหน้ามวลบุปผา ออดอ้อนคลอเคลียกันจนกระทั่งแสงจันทร์ยังอาย เป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
เป็นข้าผินเต้าที่เป็นส่วนเกินสินะ
ยังคงกินแตงต่อดีกว่า
เฉินผิงอันกอดหนิงเหยาเบาๆ แล้วก็ปล่อยนางอย่างรวดเร็ว ถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว “มาได้อย่างไร?”
สีแดงแผ่ลามข้างจอนหูของหนิงเหยา ผงชาดอะไร วาดขนคิ้วอะไร หวีผมประทินโฉมอะไร จำเป็นเสียที่ไหน
หนิงเหยายื่นกระบี่ยาวในมือให้เฉินผิงอัน เอ่ยว่า “ประมาทเกินไปหน่อยหรือไม่? กระบี่พกประจำตัวก็กล้ามอบให้คนอื่นหรือ?”
เฉินผิงอันรับเย่โหยวมาสะพายไว้ด้านหลัง ยิ้มเอ่ย “เทพเซียนผู้เฒ่าเฟิงจวินเป็นบุคคลที่เปิดเผยตรงไปตรงมา มอบกระบี่เย่โหยวให้เขา ข้าวางใจอย่างมาก ไม่ต่างจากยามที่สะพายไว้เองเลย”
หนิงเหยารู้สึกกังขาเล็กน้อย เฟิงจวิน?
เฉินผิงอันหันหลังให้วัวดำที่กินหญ้าและนักพรตที่กินแตง ขยิบตาให้หนิงเหยา เอ่ยเตือนว่า “ก็คือนักพรตวัวดำที่ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างไรล่ะ อันที่จริงก็เป็นเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ที่เป็นคนแรกสุดที่เสนอให้ ‘นอกใช้ยันต์ในหลอมยา หยินหยางส่งเสริมควบวิชาคาถา’ น่าเสียดายก็แต่ธรณีประตูในการรับลูกศิษย์ของนักพรตผู้เฒ่าสูงเกินไป เสียเปรียบมามาก ชื่อเสียงถึงยังไม่โด่งดังไปหลายใต้หล้าอย่างจริงจังเสียที มีคนมากมายบนโลกใบนี้ที่คุณธรรมไม่คู่ควรกับตำแหน่ง ความสามารถไม่คู่ควรกับชื่อเสียง ทว่าเทพเซียนผู้เฒ่าเฟิงจวินกลับตรงกันข้ามกันเลย ช่างชวนให้คนรู้สึกอยุติธรรมแทนเขานัก”
หนิงเหยาร้องอ้อหนึ่งที “ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสของลัทธิเต๋าที่เจ้าเคยพูดถึงเมื่อก่อนนี่เอง”
นักพรตเฒ่าที่นั่งยองอยู่ห่างไปไกล อันที่จริงคอยเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่ตลอดเวลา เวลานี้ฟังจนดวงตาสองข้างเปล่งประกาย สองไหล่สั่นสะท้านน้อยๆ แตงที่อยู่ในมือชิ้นนี้ทิ้งรสชาติอบอวลไว้เต็มปาก พอนึกจะหวานก็ช่างหวานจริงๆ
สี่คนไหน?
นักพรตจมูกโคหน้าเหม็นอย่างตงไห่แห่งอารามกวานเต๋า ซุนไหวจงแห่งอารามเสวียนตูใหญ่ ฝูลู่อวี๋เสวียน เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหริน นี่ก็ตั้งห้าคนเข้าไปแล้ว
ไม่ว่าผินเต้าจะเบียดคนไหนหล่นไปก็ล้วนเป็นเรื่องงดงามที่ต้องจุดธูปขอบคุณให้มากจริงๆ หรือจะให้เป็นอันดับล่างสุดของสี่คนก็ได้
ก่อนหน้านี้นักพรตน้อยเฉินคุยเล่นกับตนที่ภูเขาเหนี่ยวจวี่ ทำไมไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย ปฏิบัติต่อคนอื่นไม่จริงใจมากพอเลยนะ ในเมื่อในใจมีความเคารพนับถือเช่นนี้อยู่นานแล้ว จะปิดบังไปทำไม?
หนังหน้าของคนหนุ่มหนาเกินไปย่อมไม่ได้ แต่บางเกินไปก็ยิ่งไม่ดี
ตอนนั้นกริชที่ไถลออกมาจากชายแขนเสื้อหมุนควงไม่หยุดนิ่ง ทำให้คนมองรู้สึกขนลุกขนชัน ทำเอาผินเต๋าเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าได้เจอกับเฉาโม่ผู้นั้นจริงๆ จากนั้นยังรวมเวทห้าอสนีไว้กลางฝ่ามือ เล่นไปเล่นมา ก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ของแท้ดั้งเดิม’ ทำไม คือผู้สูงศักดิ์น้อยจวนเทียนซือคนหนึ่งที่ลืมกระบี่ไม้ท้อไว้ในบ้านหรือ คิดไม่ถึงว่าที่แท้ล้วนเป็นความเข้าใจผิดกันทั้งนั้น
ก็เหมือนอย่างห่านกลางเมฆแมลงกลางพงหญ้ารบกวนความฝันคน ม้าเหล็กตะลุยลำคลองน้ำแข็งเข้าสู่ความฝัน ความเข้าใจผิดที่เป็นเช่นนี้กลับไม่ทำลายความงดงาม
นักพรตเฒ่าที่มีสีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่ารีบโยนแตงในมือทิ้งไปทันที สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง กระแอมเบาๆ หนึ่งทีเป็นการเตือน แล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนช้าๆ เผชิญหน้ากับชายหญิงอายุน้อยคู่นั้น นักพรตเฒ่าไม่ลืมใช้ส้นเท้าเตะเปลือกแตงที่เหลืออยู่บนพื้นให้กระเด็นไปไกล
นักพรตเฒ่าลูบหนวดยิ้ม หลังจากชำเลืองตามองสตรีขอบเขตบินทะยานคนนั้นแล้วก็ทำท่าครุ่นคิดเล็กน้อย ยังคงไม่รู้สึกผิดบาปแม้แต่น้อย ยกมือคารวะตามขนบลัทธิเต๋า เอ่ยเสียงดังกังวานว่า “ผินเต้าเฟิงจวิน ฉายาว่าวัวดำ”
เฉินผิงอันเองก็คารวะแบบลัทธิเต๋ากลับคืนไปอย่างที่หาได้ยาก
ส่วนหนิงเหยากุมหมัดคารวะกลับคืน “ผู้เยาว์หนิงเหยา รู้สึกโชคดีที่ได้พบท่านนักพรต”
นักพรตเฒ่าหัวเราะดังก้อง การวิ่งวุ่นอย่างเหน็ดเหนื่อยอยู่ในนครป๋ายเหยี่ยนครั้งนี้ ทำให้ได้เห็นคู่รักเซียนที่ราวกับคู่หยกงามสองคนนี้กับตาตัวเอง ถึงอย่างไรก็ยังคงหวังให้คนมีรักได้อยู่ร่วมกันจนแก่เฒ่า คุ้มแล้ว คุ้มแล้ว
เฉินผิงอันคีบยันต์ขายภูเขากระดาษเขียวออกมาจากชายแขนเสื้อ นักพรตเฒ่าตาแหลม เห็นว่าเฉินผิงอันเปลี่ยนตัวอักษรจากขายเป็นซื้อ ด้านหลังมีสามคำว่า ‘โปรดหยุดก่อน’ นูนขึ้นมา นักพรตเฒ่าสะดุ้งเยือก หลี่สือหลางที่เป็นเทพเทวดาของนครเถียวมู่ มีเสน่ห์ก็มีเสน่ห์อยู่หรอก แต่กลับไม่ใช่คนที่พูดคุยด้วยง่ายอะไรเลย โดยเฉพาะยามที่ต้องทำการค้า เฉียบแหลมจนน่าขนลุก ทว่านักพรตน้อยเฉินกลับสามารถเอาของสิ่งนี้มาจากมือของเขาได้? สิบสองนครของเรือราตรี นอกจากเส้าเป่าเจวี้ยนแห่งนครหรงเม่าที่ยังเป็นลูกนกเพิ่งหัดบินแล้ว เจ้านครเก่าแก่อีกสิบเอ็ดคนที่เหลือ ต่างคนต่างมีนิสัยคนละแบบ ต่างคนต่างมีวิชาอภินิหารบนมหามรรคาของใครของมัน ล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงประหยัดน้ำมัน
เฉินผิงอันคีบยันต์ออกมาอีกแผ่นหนึ่ง ส่งมอบให้กับนักพรตเฒ่า “เปลี่ยนกระบี่เป็นยันต์ การค้ายังคงอยู่”
นักพรตเฒ่าพูดไม่ออก ได้แต่รับยันต์กระดาษเหลืองที่ระดับขั้นลดลงมา พยักหน้าตอบตกลง ช่วยเจ้าเด็กนี่สืบข่าวนั้นต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันพาหนิงเหยามาในศาลาแห่งหนึ่งของนครเถียวมู่ กรอบป้ายศาลาเป็นคำว่าเฉี่ยถิงถิง
บนทางเส้นเล็กท่ามกลางม่านราตรีของนครป๋ายเหยี่ยน นักพรตเฒ่าทอดถอนใจหนึ่งที อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงคีบยันต์แผ่นนั้นขึ้นมาดู แล้วก็รีบกลั้นลมหายใจทำสมาธิ ใช้ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมเต๋าม้วนยันต์เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อในเสี้ยววินาที จากนั้นจึงยื่นมือมาคว้าจับอีกที กอดของสิ่งหนึ่งไว้ในอ้อมอก เดินขึ้นไปนั่งบนหลังวัวดำที่นอนหมอบอยู่กับพื้น นักพรตเฒ่านั่งอยู่บนหลังวัวเรียบร้อย วัวดำก็ลุกขึ้นยืน เดินไปข้างหน้าเนิบช้า นักพรตเฒ่าใช้มือข้างหนึ่งถือประคองแตง มืออีกข้างเคาะลงไปเบาๆ สองสามที เงี่ยหูตั้งใจฟัง พลางพึมพำกับตัวเองว่า “หมอกแผ่ปกคลุมฟ้าดินหนาทึบ หมื่นสรรพสิ่งสอดผสานก่อกำเนิด เสียงที่ดังที่สุดคือการไม่มีเสียง ช่างงดงามนัก ความเที่ยงตรงบริสุทธิ์ย่อมต้อง…หวานมากแน่ๆ!”
ด้านล่างบันไดนอกศาลาลม มีสาวใช้ของหลี่สือหลางที่มาจากจวนเทพแยนจือยืนอยู่ ฉินจื่อตูยอบกายคารวะเฉินผิงอันและหนิงเหยา จากนั้นนางก็หยิบใบอู๋ถงออกมาหนึ่งใบ ยิ้มเอ่ยว่า “วันหน้าอาจารย์เฉินสามารถอาศัยของสิ่งนี้ไปมาระหว่างประตูเมืองและศาลาได้ เพียงแต่ว่าต้องใช้อย่างระมัดระวังสักหน่อย หากใช้ขีดอักษรจนหมดสิ้น เจ้านครก็จะเก็บศาลาแห่งนี้กลับคืนไปตามกฎ”
เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าตัวอักษรสามคำว่า ‘เฉี่ยถิงถิง’ (ศาลาโปรดหยุดก่อน) ด้านหลังกระดาษของตั๋วซื้อภูเขาแผ่นนั้น อักษรคำว่าเฉี่ย ขาดขีดแนวตั้งไปแล้วหนึ่งขีด และตัวอักษรคำว่าถิงทั้งตัวก็หายไปแล้ว เฉินผิงอันผงกศีรษะคลี่ยิ้มให้กับฉินจื่อตู จากนั้นจึงยื่นมือออกไปคว้า หยิบของจากมือนางผ่านอากาศ รับอู๋ถงใบนั้นมา หน้าและหลังสลักคำว่าฝู่หย่างเซิงและซื่อจื้อหนง จุดของตัวอักษรฝู่หายไป น่าจะใช้กฎเดียวกับตั๋วซื้อภูเขา ทุกครั้งที่ใช้ขีดตัวอักษรจะหายไปหนึ่งขีด ส่วนทำไมตัวอักษร ‘ถิง’ ถึงขาดหายไป ต้องเป็นเพราะครั้งนี้ตนแหกกฎไปเยือนนครอู๋ย่งอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ขอบคุณแม่นางฉิน”
ฉินจื่อตูคลี่ยิ้มหวาน “อาจารย์เฉินเรียกบ่าวว่าปี้อวี้ก็ได้”
เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร อยากจะพูดเหมือนกันว่าพวกเราไม่สนิทกันสักหน่อย เจ้าเรียกข้าว่าเซียนกระบี่เฉินก็ได้
หนิงเหยาเอาสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไปยังกรอบป้ายและกลอนคู่ของศาลา
เฉินผิงอันครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วก็ไม่รีบร้อนไปจากที่แห่งนี้ เขาหยิบตั๋วซื้อภูเขาออกมาอีกครั้ง ถามว่า “ของชิ้นนี้สามารถแลกเปลี่ยนคำตอบได้กี่ข้อ? ตัวอักษรสองตัวของตั๋วซื้อภูเขา ทุกครั้งที่ขีดอักษรลดไปหนึ่งขีด รบกวนแม่นางฉินช่วยอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่?”
เพราะมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งอยู่ด้วย เจ้านครย่อมไม่สะดวกจะลอบมองสถานที่แห่งนี้ ดังนั้นฉินจื่อตูจึงเงียบไปครู่หนึ่ง ความคิดขยับเล็กน้อยคล้ายได้รับคำอนุญาตจากหลี่สือหลางผู้เป็นเจ้านคร จึงพยักหน้าและส่ายหน้า ก่อนเอ่ยว่า “สามารถค้าขายกันได้ แต่กฎต้องเปลี่ยนสักหน่อย ตั๋วซื้อภูเขายังเหลืออีกสองตัวอักษร อาจารย์เฉินก็ถามได้แค่สองคำถาม ส่วนขีดอักษรของคำว่าเฉี่ยที่หายไป เจ้านครบอกว่าถือเสียว่าเป็นของขวัญพบหน้าที่มอบให้กับเจ้านครหนิง”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง สำหรับศาลาเฉี่ยถิงถิงของนครเถียวมู่แห่งนี้ แรกเริ่มเฉินผิงอันไม่ได้อยากจะครอบครองไว้เป็นเวลานาน เพราะเรือราตรีลำนี้ไม่ใช่สถานที่ที่ควรอยู่นาน
ทันใดนั้นฉินจื่อตูพลันเบี่ยงตัวตามจิตใต้สำนึก แล้วยังต้องยกมือขึ้นมาบังไว้หน้าดวงตา ไม่กล้ามองแสงกระบี่เส้นนั้น
ที่แท้ก็เป็นเซียนกระบี่หญิงที่ไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียวผู้นั้นที่อยู่ดีๆ ก็ชักกระบี่ออกจากฝักอย่างไม่มีลางบอกกล่าว ใช้หนึ่งกระบี่ฟันตราผนึกฟ้าดินของนครเถียวมู่ ไล่ตามความคิดของฉินจื่อตูตรงไปหาเจ้านครหลี่สือหลาง
ส่วนชายหนุ่มชุดเขียวสะพายกระบี่กลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอถามแม่นางฉิน เรือราตรีมีฟ้าดินน้อยใหญ่อะไรอยู่บ้าง?”
ฉินจื่อตูที่ถูกเล่นงานอย่างโหดร้ายโมโหอย่างหนัก เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “พวกเจ้าสองคนนัดหมายกันไว้ก่อนแล้วหรือ?!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
ไม่ได้ทำอย่างนั้นจริงๆ
ระหว่างที่เดินทางมา เขาแค่พูดถึงเรื่องที่พบเจอและได้ยินได้ฟังมาของนครเถียวมู่ให้หนิงเหยาฟังบางส่วนเท่านั้น
ฉินจื่อตูถลึงตาใส่คนผู้นั้น พูดเสียงหนักดุดัน “สี่นครบน นครหงเหมา นครเถียวมู่ นครจีเฉวี่ยน นครกุยจวี่!”
เฉินผิงอันตัดบทคำพูดของนาง “รบกวนแม่นางฉินบอกอีกชื่อเรียกอีกอย่างของสี่นครบนมาพร้อมกันเลยได้ไหม?”
ฉินจื่อตูไม่พูดแล้ว
เฉินผิงอันจึงขยับเท้าเดินขึ้นบันไดศาลาไป นั่งลงแล้วก็เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า หลังงองุ้มเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้านครมา สีหน้ากลับผ่อนคลายกว่ามาก ร่างทั้งร่างเห็นได้ชัดว่าคลายตัวออก ท่าทางเกียจคร้านอย่างยิ่ง
ฉินจื่อตูกล่าว “อีกชื่อหนึ่งของสี่นครคือ นครเจี๋ยกั่ว นครอู๋หยา นครเต๋อเต้า นครซานซ่าง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ใจลอยไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่ผ่านทางไป เห็นว่าตรงป้ายสอบถามริมลำคลองใหญ่มีบุรุษสวมกวานสูงอยู่กับหลงปิน และห่างไปไกลยังมีองค์รักษ์มือกระบี่ที่เกือบจะออกกระบี่คอยติดตามพวกเขาอยู่อีกคนหนึ่ง นั่นก็น่าจะเป็นนครจีเฉวี่ยนแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด หินใหญ่ใจกลางแม่น้ำ เหตุใดถึงได้ขังวานรในใจที่เป็นสีขาวหิมะตัวนั้นเอาไว้ ดังนั้นนครเต๋อเต้าที่ไก่และหมา (จีเฉวี่ยน) บินขึ้นฟ้านี้ ต่อให้เจ้านครไม่เชื้อเชิญ ก็ยังต้องไปเยือนดูสักครั้ง
“สี่นครกลาง นครป๋ายเหยี่ยน นครหลิงซี นครชุยก่ง นครไท่ผิง อีกชื่อคือนครอู๋ย่ง นครตี้อี นครเจียผู่ นครเจี่ยจื่อ”
เฉินผิงอันเคยไปเยือนนครชุยก่งมาแล้ว ตอนนั้นด้านนอกตำหนักใหญ่มีบุรุษเกียจคร้านคนหนึ่งนั่งอยู่บนขั้นบันได เพียงแค่หันหน้ามามองในตำหนักแวบหนึ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะขัดขวางตนแม้แต่น้อย
ทะยานลมผ่านสะพานแบบคานที่อยู่บนฟ้า มีสตรีสีหน้าขมขื่นกับเด็กหนุ่มเขากวางยืนเคียงไหล่อยู่ด้วยกัน เกินครึ่งก็น่าจะเป็นนครหลิงซีแล้ว ความหมายแฝงก็คือนอกเรือบุ๋นไร้อันดับหนึ่ง ทว่าบนเรือราตรีกลับดันมีเสียได้?
ฉินจื่อตูบอกชื่อของสี่นครสุดท้าย “สี่นครล่าง นครเปิ่นโม่ นครทุยเชียว นครจ๋าเซี่ยง นครหรงเม่า อีกชื่อหนึ่งคือนครฮวางถัง นครอีจื้อ นครเจิงตู้ นครเซิงเซ่อ”
เฉินผิงอันถาม “จะไปเยือนประตูของนครแห่งอื่นอย่างไร?”
“พูดถึงแค่ในนครเถียวมู่ของพวกเรา หาร้านหนังสือสักร้าน ใช้รายละเอียดข้อบังคับ (เถียวมู่) บางอย่างที่ผ่านการตรวจสอบแล้วมาแลกเป็นเอกสารผ่านด่านหนึ่งฉบับ จากนั้นไปบอกกับของร้านว่าจะไปนครแห่งใด ก็สามารถผ่านทางไปได้อย่างไร้อุปสรรคแล้ว”
——