ตอนที่ 1739 เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ตูม!

โบราณสถานคุนหลุน ใต้อารามมรรคเก่าแก่ที่พังทลายแห่งหนึ่ง มีเงาร่างทองอร่ามร่างหนึ่งพุ่งออกมา

ร่างกายเขาพลันขยายแปลงเป็นสูงหมื่นจั้ง เย้ยฟ้าท้าดิน ยามหายใจทางจมูกปาก ประหนึ่งวาโยอสนีปั่นป่วนอยู่ใต้เวิ้งฟ้า!

ร่างกายของเขาเป็นสีทองบริสุทธิ์ เลือดลมพลุ่งพล่านทะลวงเมฆ ปั่นป่วนคลื่นลมทั่วทิศ ยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น ราวกับเทพร่างทององค์หนึ่งเหลือบแลปวงสวรรค์

“ใครกัน”

ร่างสีทองส่งเสียงราวฟ้าผ่าจากเก้าชั้นฟ้า ยื่นมือไปหลายพันจั้ง เงาร่างที่เหมือนหนอนน้อยตัวหนึ่งถูกบีบอยู่กลางฝ่ามือ

“ข้าน้อยตานเฟิงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ คารวะสหายยุทธ์ซวี!”

นี่คือชายชุดสีหยกคนหนึ่ง รูปงามดั่งเทพยุทธ์ บุคลิกลักษณะไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้กลับหน้าซีดเผือด เต็มไปด้วยความหวาดกลัว สั่นสะท้านไปทั้งตัว

“ฮึ ทำไมต้องซ่อนตัวอยู่ที่นี่ด้วย”

เงาร่างสีทองกล่าวเย็นชา

“ศิษย์พี่คุนจิ่วหลินถูกฆ่า ข้าน้อยมาที่นี่เพื่อขอความช่วยเหลือจากสหายยุทธ์ซวี”

ตานเฟิงรีบร้อนกล่าว

เงาร่างสีทองมุ่นคิ้ว เหวี่ยงตานเฟิงทิ้งไปตามสะดวกค่อยกล่าว “บอกข้ามา ใครฆ่าเขา”

“หลินสวิน!”

“รู้แล้ว”

เงาร่างสีทองพยักหน้า ร่างที่สูงราวหมื่นจั้งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นลำแสงสายหนึ่งพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า

ตานเฟิงค่อยผ่อนลมหายใจออกมายาวๆ เหมือนรอดพ้นเคราะห์ร้าย

ซวีหลิงคุน!

ทายาทแกนหลักของเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวี อสูรมารอริยะแห่งยุคคนหนึ่งซึ่งจัดอยู่ในอันดับที่สิบสามของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา บำเพ็ญมรรคหลอมกายทั้งร่าง เกริกก้องสะเทือนโลกหล้า

เผชิญหน้ากับบุคคลที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้ตานเฟิงเป็นถึงผู้สืบทอดเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ก็ไม่กล้าไม่เคารพแม้เพียงเสี้ยว

“บรรพชนของสองเผ่าจักรพรรดิใหญ่อย่างตระกูลคุนและตระกูลซวีเป็นหนึ่งใน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’ ทายาททั้งสองเผ่ามีความสัมพันธ์อันดีดุจพี่น้องท้องเดียวกัน…”

ตานเฟิงพึมพำ “ตอนนี้ดูท่าว่าเป็นเรื่องจริงดังคาด ก็ไม่รู้ว่าอสูรมารอริยะที่น่ากลัวอย่างซวีหลิงคุนจะจัดการกับหลินสวินนั่นอย่างไรแล้ว”

‘แท่นสักการะ… เจ้านอกรีตนั่นจะไปไหม…’

บนแนวหนองบึงที่อันตรายรอบด้าน ภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งกำลังย่างก้าวเนิบช้า ทุกครั้งที่เขาเหยียบย่างลงมาจะมีฐานบัวหนึ่งดอกปรากฏ ประพรมแสงธรรมดำขลับ

เหนือศีรษะเขาก็ประทับลวดลายบัวดำแปลกประหลาดดอกหนึ่ง

‘ในการต่อสู้บนเขาพญามังกร พลังที่เจ้านอกรีตนี่สำแดงออกมาเห็นได้ชัดว่าเหนือกว่าแต่ก่อนมาก หากให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ต้องเปลี่ยนเป็นน่ากลัวกว่านี้แน่’

ภิกษุจีวรดำแววตานิ่งสงบ ใคร่ครวญครู่ใหญ่จึงตัดสินใจ ‘ไม่อาจรอได้อีกแล้ว…’

เปรี๊ยะ!

หลินสวินบดขยี้ป้ายคำสั่งที่เมิ่งอี้ให้มาจนละเอียด

ที่มาพร้อมกันคือคลื่นสะเทือนประหลาด กลางอากาศมีประตูบานหนึ่งปรากฏ

จากนั้นเมิ่งอี้ที่อยู่ในชุดบัณฑิต รูปงามสง่า รวมถึงจีเฉียนและเจียงเหิงผู้สืบทอดสำนักยุทธ์เสวียนจีก็ทยอยก้าวออกมา

“พี่หลิน ข้ารอเจ้าตั้งนาน”

เมิ่งอี้ยิ้มเอ่ยปาก ดูดีใจยิ่งนัก

หลินสวินก็ยิ้มกล่าว “ล่าช้าด้วยเรื่องบางอย่าง ขอท่านทั้งสามโปรดอภัย”

เมิ่งอี้กล่าวด้วยท่าทางเข้าใจ “ข้าได้ข่าวแล้ว บนเขาพญามังกรเกิดศึกนองเลือดสะเทือนใต้หล้า หลินสวินสู้กับเหล่าผู้กล้าด้วยตัวคนเดียว กำราบสังหารอริราชศัตรู เรื่องนี้เป็นที่ฮือฮาในแหล่งสถานคุนหลุนยามนี้เป็นอย่างยิ่ง”

น้ำเสียงเจือความเคารพนับถือ

หลินสวินยิ้มรับ ไม่พูดอะไรมากอีก

เขาสังเกตเห็นว่าไม่ว่าจะเป็นจีเฉียนหรือเจียงเหิง ท่าทีที่มีต่อตนล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด ความมุ่งร้ายน้อยลงไปหน่อย ความหวาดกลัวที่ดูพิกลเพิ่มขึ้นมานิด

แต่หลินสวินก็สังเกตเห็นว่าเวลาแค่สิบกว่าวัน เจียงเหิงก็เลื่อนขั้นก้าวสู่ระดับมกุฎมหาอริยะแล้ว!

แม้แต่กลิ่นอายของจีเฉียนก็เปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งกว่าแต่ก่อนเท่าตัว

ส่วนเมิ่งอี้ดูเหมือนว่ายังถ่อมตัวอ่อนโยนดังก่อน แต่หลินสวินกลับรู้สึกได้ว่าพลังปราณของอีกฝ่ายก็น่าจะพัฒนาขึ้นไม่น้อย อากัปกิริยา กลิ่นอาย ท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่แฝงซ่อนอย่างหนึ่ง

เห็นชัดว่าช่วงนี้พวกเมิ่งอี้ จีเฉียน เจียงเหิงก็ได้รับวาสนาศุภโชคมาไม่น้อยเป็นแน่!

“ในเมื่อพี่หลินมาก็คิดว่าคงเตรียมพร้อมแล้ว เวลาไม่คอยท่า พวกเรามุ่งหน้าไปยังแท่นสักการะเลยเป็นอย่างไร”

ทักทายกันครู่หนึ่งแล้วเมิ่งอี้ก็ตัดสินใจ

“ก็ดี”

หลินสวินและอาหูสบตากันวูบหนึ่งแล้วตกปากรับคำ

เมิ่งอี้นำทาง ทั้งกลุ่มออกเคลื่อนไหว

ระหว่างทางเมิ่งอี้สื่อจิตกล่าว ‘จากข่าวที่ข้าได้มา มีบุคคลร้ายกาจไม่น้อยเล็งแท่นสักการะไว้เช่นกัน ทั้งยังมีคนไม่น้อยเริ่มเคลื่อนไหวเมื่อหลายวันก่อน’

‘ตัวอย่างเช่นจวนอวี๋เหิง เจ้าหมอนี่ก็มาแหล่งสถานคุนหลุนด้วย หากไม่ใช่ว่าสามวันก่อนเขาปรากฏตัวที่แดนลับแห่งหนึ่งกะทันหัน สังหารผู้ฝึกปราณไปหลายสิบคน ใครก็คงคิดไม่ถึงว่าเขาจะมาที่นี่’

จวนอวี๋!

เป็นตระกูลเผ่าจักรพรรดิที่เก่าแก่อย่างยิ่งตระกูลหนึ่ง

และจวนอวี๋เหิงคนนี้ก็เป็นบุคคลแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจากตระกูลนี้ นิสัยเหี้ยมโหดอำมหิต ฝีมือแข็งกร้าว จัดอยู่ในอันดับสิบของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา!

อย่างที่ทุกคนทราบกันดี ขอเพียงเป็นผู้ที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในร้อยอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราได้ ก็ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดบุคคลระดับมหาอริยะแห่งยุคแล้ว

คนที่ก้าวขึ้นไปอยู่ในห้าสิบอันดับแรกได้ เรียกได้ว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในระดับมหาอริยะ!

ส่วนคนที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรก…

แต่ละคนล้วนเรียกได้ว่าเป็นผู้นำระดับมหาอริยะที่พบเห็นได้ยากในชั่วกาล เป็นเอกในหมู่คนรุ่นเดียวกัน ครองอำนาจเหนือคนในรุ่น เหมือนสุริยันหาญกล้าบนทางเดินโบราณฟ้าดารา

จวนอวี๋เหิงก็เป็นหนึ่งในคนพวกนี้!

เมิ่งอี้เพิ่งเอ่ยปากก็พูดถึงคนผู้นี้ เท่านี้ก็รู้แล้วว่าในใจเขาก็ค่อนข้างหวาดกลัวและระวังคนผู้นี้อยู่บ้าง

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้ หลินสวินกลับมีความรู้สึกว่าอย่างนี้สิถึงจะปกติ

ด้วยในช่วงก่อนหน้านี้ แม้ว่าเขาจะกำราบสังหารบุคคลที่จัดอยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดาราไปไม่น้อย แต่อันดับล้วนนับได้ว่าธรรมดา

กู่ฉางซินที่ร้ายกาจที่สุดก็ยังอยู่แค่ห้าสิบอันดับแรก

เดิมทีหลินสวินยังแปลกใจ ว่าทำไมบุคคลที่อยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดาราไม่เคยปรากฏตัว ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว

อย่างจวนอวี๋เหิงนี่เกรงว่าคงปรากฏตัวนานแล้ว แค่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นเท่านั้น

‘ยังมีอีกเรื่อง ข้าได้ยินว่าบุคคลที่จัดอยู่ในสิบอันดับแรกของกระดานมหาอริยะฟ้าดารา บ้างทะลวงระดับ ก้าวขึ้นไปอยู่ในขอบเขตของราชันอริยะแล้ว’

อาหูสื่อจิตกล่าวข้างหูหลินสวินอย่างรวดเร็ว ‘บางคนก็กำลังปิดด่านเตรียมทะลวงปราณ หากไม่จำเป็นก็ไม่มีใครออกเดินทางไกล’

พูดถึงตรงนี้อาหูก็กล่าวเตือนเป็นพิเศษ ‘นอกจากนี้ก็อย่าได้ดูเบาพวกที่ไม่เคยอยู่ในกระดานมหาอริยะฟ้าดาราด้วย’

‘ทางเดินโบราณฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลไร้สิ้นสุด อัจฉริยะทั่วหล้ามีนับไม่ถ้วน กระดานแผ่นเดียวไม่อาจครอบคลุมบุคคลแห่งยุคในใต้หล้าไว้ได้หมด’

‘อย่างผู้สืบทอดที่มาจากสามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืด ไม่มีสักคนที่มีชื่อบนกระดานมหาอริยะฟ้าดารา แต่เจ้าก็เห็นแล้วว่าพลังต่อสู้ของซาหลิวชิงนั่นลึกลับและแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง’

หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ

อาหูพลันอมยิ้มกล่าว ‘เหมือนอย่างเจ้าพี่หลิน ก่อนหน้านี้ใครกล้าเชื่อว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้ สังหารจนหัวของผู้แข็งแกร่งบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราเกลือกกลิ้งไปไม่น้อย และบนโลกนี้ก็ย่อมไม่ขาดบุคคลร้ายกาจอย่างพี่หลิน’

เวลานี้เมิ่งอี้เอ่ยปากอีกครั้ง ‘พี่หลิน นอกจากจวนอวี๋เหิงนี่แล้ว เจ้ายังต้องระวังซวีหลิงคุนไว้หน่อย คนผู้นี้เป็นทายาทเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวี หากเขารู้ว่าเจ้าฆ่าคุนจิ่วหลิน ต้องมาหาเจ้าเพื่อแก้แค้นทันทีแน่’

จากนั้นเขาก็เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุนและเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวีให้หลินสวินฟัง

เรื่องพวกนี้กลับไม่ทำให้หลินสวินผิดคาด สิ่งที่ทำให้เขาใคร่รู้คือคำว่า ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์’

ไม่นานอาหูก็ไขข้อสงสัยให้หลินสวิน ‘เจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ คือมหาจักรพรรดิเผ่าอสูรมารเจ็ดคนที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคดึกดำบรรพ์ ลูกหลานของพวกเขาถูกมองเป็น ‘ทายาทเจ็ดจักรพรรดิอสูรมาร’ ’

‘เช่นบรรพชนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลคุนก็คือ ‘จักรพรรดิอสูรมารเนี่ยคุน’ หนึ่งในเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ เคยใช้มือฉีกนภาคราม กลืนสิบสามแดนในคำเดียว ครอบครองพลังอันยิ่งใหญ่ อานุภาพไร้ขอบเขต’

‘ส่วนบรรพชนของเผ่าจักรพรรดิตระกูลซวีก็คือ ‘จักรพรรดิอสูรมารเสวียนอิง’ หนึ่งในเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ ร่างเดิมของเขาคือยอดอสูรมารดึกดำบรรพ์ พลังต่อสู้ดุดันร้ายกาจ ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิอสูรมารเนี่ยคุนเช่นกัน’

‘บนทางเดินโบราณฟ้าดารายามนี้ เผ่าของเจ็ดจักรพรรดิอสูรมารดึกดำบรรพ์ล้วนมีตัวตนใหญ่ยิ่งมหึมา อิทธิพลของบางเผ่าอาจมีอำนาจน้อยลงมาหน่อย แต่ความเก่าแก่แห่งรากฐานของพวกเขา ถึงขั้นไม่ด้อยไปกว่าสิบเผ่านักรบใหญ่หรือหกเรือนมรรคใหญ่เลย’

พวกเขาเดินทางไปพลางพูดคุยไปด้วย ทำให้หลินสวินรู้ข่าวบางอย่างบนทางเดินโบราณฟ้าดารายิ่งขึ้นไปอีก

ตอนนี้เขาถึงได้รู้ว่า ‘เผ่าจักรพรรดิ’ ที่เรียกกันนั้นยังมีรายละเอียดมากเช่นนี้!

หลังผ่านไปสามชั่วยาม

พวกหลินสวินทะยานมาถึงยอดภูเขาไฟลูกหนึ่งที่กำลังพ่นหินหนืดร้อนระอุ

ที่นี่มีแท่นบูชาห้าสีเก่าแก่อยู่แท่นหนึ่ง พร่างพร้อยด้วยกลิ่นอายแห่งกาลเวลา เหมือนคงอยู่มาแต่โบราณ มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสัมผัสได้ถึงความหนาหนักของการตกตะกอนผ่านกาลเวลา

“เมื่อผ่านแท่นบูชานี้ไปก็จะเข้าสู่เขตแดนผนึกที่แท่นสักการะตั้งอยู่ เพียงแต่เส้นทางนี้ถูกลิขิตให้อันตรายถึงขีดสุด ทุกท่านต้องระวังตัวและรอบคอบหน่อย”

เมิ่งอี้พูดพลางพาทุกคนเหยียบไปบนแท่นบูชาห้าสีนั้น

“โอม!”

เขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ขวดสมบัติหยกเขียวหนึ่งลอยออกมา ปากขวดพ่นไอขุ่นมัวเหมือนกระแสน้ำถาโถมเข้าไปในแท่นบูชา

ไม่ทันไรแท่นบูชาก็ส่องประกายส่งเสียงดังสนั่น เกิดคลื่นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

กระทั่งทุกอย่างกลับมาเป็นเหมือนเดิม บนแท่นบูชาห้าสีก็ไม่มีเงาร่างของพวกหลินสวินแล้ว

“เจ้านอกรีตนี่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้ว…”

ในจุดที่อยู่ห่างภูเขาไฟออกไป เงาร่างของภิกษุจีวรดำรูปหนึ่งก้าวมากลางอากาศ มือขวาเขาถือไม้เท้าแห้งท่อนหนึ่ง มือซ้ายประคองบาตรสีดำใบหนึ่ง

“ซาหลิวชิง จนป่านนี้แล้วทำไมเจ้ายังไม่ออกมาเจอกันอีก”

ภิกษุจีวรดำเหลือบสายตามองไปยังจุดที่ห่างออกไปทันใด

“ฮึ ข้าทูตเทพพยากรณ์แห่งสำนักโบราณจรัสเทพ ไม่ใช่ผู้ร่วมวิถีเดียวกันกับผู้หลุดพ้นแห่งแดนกษิติครรภ์อย่างพวกเจ้า”

เสียงต่ำลึกคลุมเครือดังขึ้น หมอกควันสีเทาหลายสายรวมตัวกันกลางอากาศ กลายเป็นเงาดำที่เลือนรางร่างหนึ่ง

เป็นซาหลิวชิงนั่นเอง

ภิกษุจีวรดำไม่ใส่ใจ กล่าวว่า “ขอถามสักประโยคได้หรือไม่ เจ้าหนุ่มนี่ถูกจัดอันดับและตั้งค่าหัวบน ‘กระดานเทพลงทัณฑ์’ ของพวกเจ้าใช่ไหม”

ซาหลิวชิงย้อนถาม “แดนกษิติครรภ์ของพวกเจ้าล่ะ ทำไมถึงมองเจ้าหมอนี่เป็นพวกนอกรีต”

ภิกษุจีวรดำกล่าวราบเรียบ “เขาขโมยมรดกแห่งแดนกษิติครรภ์ของข้าไป ทั้งเอาสมบัติต้องห้ามที่ไม่ควรหยิบไปด้วย คนนอกรีตเช่นนี้หากไม่ขุดรากถอนโคน สวรรค์คงทนไม่ได้”

ซาหลิวชิงร้องอ้อคราหนึ่งก่อนกล่าวง่ายๆ “เช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าให้ เจ้าหมอนี่เป็นแค่เป้าหมายเล็กๆ อันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ค่อนไปทางท้าย รางวัลค่าหัวก็ไม่สูง ได้ ‘ผลึกสมบัติมหามรรค’ แค่สามสิบก้อนเท่านั้น”

ภิกษุจีวรดำชะงักไป คล้ายคิดไม่ถึงว่าอันดับบนกระดานเทพลงทัณฑ์ของหลินสวินจะต่ำเช่นนี้ รางวัลค่าหัวก็ต่ำเตี้ยเช่นกัน

นี่อยู่เหนือการคาดเดาของเขาอย่างสิ้นเชิง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ด้วยพลังต่อสู้และรากฐานที่เจ้าหมอนี่สำแดงออกมา ก็ไม่มีทาง… ด้อยค่าเช่นนี้แน่!

…………………….