บทที่ 777.1 วิธีรับรองแขกของภูเขาลั่วพั่ว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

นกในกรงเล่มหนึ่ง อยู่ในนครเถียวมู่ของเรือราตรีก็คล้ายว่าจะสร้างบ้านตั้งรกรากเป็นของตัวเอง นอกจากสองฝ่ายที่เป็นศัตรูกันจะมีจำนวนคนแตกต่างแล้ว ระหว่างฟ้าดินก็ไม่มีคนนอกส่วนเกินคนอื่นอีก

อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว อู๋ซวงเจี้ยงเจ้าตำหนักสุ้ยฉูคือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสี่คนใหม่ล่าสุดของหลายใต้หล้า

เฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ

หนิงเหยา ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนแรกของใต้หล้าแห่งที่ห้า

ชุยตงซาน ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหริน มีเรือนกายของเจียวหลงแคว้นสู่โบราณ

เจียงซ่างเจิน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตบินทะยาน

อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่บนถนนใหญ่ เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งคีบเส้นผมตรงจอนหู รอยยิ้มผ่อนคลายสบายอารมณ์ หางตาเหลือบมองประเมินเด็กหนุ่มชุดขาวด้วยสีหน้ามีเลศนัย

ชุยฉานผู้น่าสงสาร ซิ่วหู่ผู้น่าเวทนา

เฉินผิงอันพลันยื่นมือไปคว้าแขนของหนิงเหยา แสงเปล่งวูบหนึ่งครั้งเรือนกายก็สลายหายไป ไม่รู้ว่าไปที่ไหน ในฐานะเจ้าของนกในกรง กลับต้องเป็นฝ่ายออกไปจากฟ้าดินเล็กแห่งนี้ด้วยตัวเอง

อู๋ซวงเจี้ยงยืนอยู่ตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม นิ้วมือที่ลูบเส้นผมตรงจอนหูหยุดชะงักไปเล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำ แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณกระเพื่อมแม้สักเสี้ยว

ใบหลิวท่อนนั้นของเจียงซ่างเจินก็เป็นดั่งคำว่าจิตพุ่งไปทางไหน กระบี่บินพุ่งไปทางนั้น ตรงความว่างเปล่าระหว่างเฉินผิงอันกับอู๋ซวงเจี้ยง ใบหลิวฟันฉับลงไป กรีดเส้นโค้งแสงกระบี่สีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำให้หยดลงมาได้ไว้เส้นหนึ่ง สะบั้นมรรคกถาที่พุ่งมาถึงอย่างไม่มีลางบอกกล่าวของอู๋ซวงเจี้ยงไปโดยตรง หลังจากมรรคกถาถูกฟันขาดแล้วกลับมีกระดาษยันต์สีขาวหิมะแผ่นหนึ่งพลิ้วหล่นลงพื้นคล้ายกับกระดาษพับที่เด็กคนหนึ่งพับเป็นรูปงูตัวเล็กบางตัวหนึ่ง ตอนนี้จึงเหมือนมีงูขาวไร้หัวสองท่อนที่เลื้อยอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่ายันต์งูขาวตัวนั้นตามเฉินผิงอันออกไปจากนกในกรงด้วย ไม่ยอมให้เฉินผิงอันจากไปอย่างไร้ร่องรอยเด็ดขาด

ความคิดของอู๋ซวงเจี้ยงผุดขึ้นเล็กน้อย งูขาวบนพื้นที่มาจากการพับกระดาษยันต์สีขาวหิมะก็หายไปทันที

วัสดุของกระดาษยันต์เป็นแค่กระดาษจดหมายเกล็ดหิมะประเภทหนึ่งที่ตำหนักสุ้ยฉูสร้างขึ้นเอง นี่คือกระดาษจดหมายที่เหมาะจะนำมาถ่ายทอดความรักความคิดถึงกันระหว่างคู่รักบนภูเขาของใต้หล้ามืดสลัวมากที่สุด

นี่ก็คือวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ สามารถเสกของธรรมดาหรือของเสียผุพังให้กลายเป็นความลี้ลับมหัศจรรย์ได้

ท่ามกลางเส้นสายตาของดวงจิตอู๋ซวงเจี้ยง นอกฟ้าดินเล็กมีตะเกียงดวงหนึ่งที่สว่างไสวอย่างถึงที่สุด ทว่าเพียงไม่นานแสงไฟนั้นก็คล้ายถูกฝาครอบตะเกียงหลายชั้นปิดทับลงมา จึงเริ่มพร่าเลือน เพียงชั่วพริบตาก็กลายเป็นความมืดมิด ไม่เหลือเบาะแสอีกแม้แต่น้อย

อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ ต้องไม่ใช่กระบี่บินของหนิงเหยาผู้นั้นที่ฟันลงมาแน่นอน ยันต์บทนี้ไม่มีความสูงส่งเลิศเลอใดๆ ความมหัศจรรย์เพียงหนึ่งเดียวก็คือกระดาษยันต์สามารถฟันให้แหลกสลาย มีเพียงอย่างเดียวที่เป็นไปไม่ได้คือไม่อาจ ‘หายไป’ เว้นเสียจากว่ามีคนสามารถหลอมยันต์นั้นให้กลายมาเป็นวัตถุของตัวเอง ดังนั้นเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน เขาจึงวาดยันต์ขึ้นมาบนกระดาษจดหมายเกล็ดหิมะชั่วคราว เรียบง่ายมาก ก็แค่เขียนสองชื่อลงไป เฉินผิงอัน หนิงเหยา ดังนั้นนี่จึงกลายมาเป็นยันต์วาสนารักที่หายสาบสูญไปนานแล้ว

น่าจะเป็นวิชานอกรีตที่อิ่นกวานผู้นั้นใช้? กลับเป็นฝีมือที่ดี จัดการได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่ใช่วิธีการอย่างเช่นว่าจักรวาลในชายแขนเสื้ออะไร ด้วยตบะขอบเขตหยกดิบของเฉินผิงอัน บุ่มบ่ามทำเช่นนี้มีแต่จะหาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น

เจียงซ่างเจินเก็บกระบี่บินมา ใช้นิ้วปาดเช็ดใบหลิวเบาๆ ปาดเศษสีขาวหิมะพวกนั้นทิ้งไป ก่อนจะถอดทอนใจหนึ่งที พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกลัดกลุ้มเสียใจ “เทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ ช่างวางแผนได้ดีจริงๆ ลงมือคราวเดียวก็ทำให้ผู้เยาว์เปิดเผยความสามารถของตัวเองหมดแล้ว แบบนี้จะดีหรือ? ไม่สู้ทุกคนมานั่งลงพูดคุยกันดีกว่ากระมัง”

หลังจากขอบเขตถดถอย กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเจียงซ่างเจินก็เปลี่ยนจากใบหลิวเต็มใบมาเป็นใบหลิวท่อนหนึ่ง ตามหลักแล้วคนบนโลกต่างก็ต้องเข้าใจไปว่าพลังการต่อสู้ของ ‘เจ้าสำนักผู้เฒ่าเจียง’ ถดถอยลงแล้ว

กระดาษยันต์สีขาวหิมะที่ก่อนหน้านี้คล้ายหินลับมีดที่ขัดเกลาคมกระบี่ แม้จะบอกว่าถูกผ่าออกเป็นสองท่อนง่ายๆ คล้ายเต้าหู้ที่ถูกมีดผ่า ทว่าอู๋ซวงเจี้ยงก็ได้อาศัยสิ่งนี้มาทดสอบระดับความคมของกระบี่บินได้ในชั่วพริบตา

“ไม่เสียแรงที่เป็นเจียงซ่างเจิน ไม่เพียงพรสวรรค์เลิศล้ำ ประเด็นสำคัญคือยังลงมืออำมหิตมากพอ คือตัวอ่อนที่สอดคล้องกับการผสานมรรคามาตั้งแต่เกิด สามารถก่อเรื่องวุ่นวายไปทั่วสารทิศแล้วยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ เอ่ยเนิบช้าอย่างเข้าอกเข้าใจผู้อื่นดีเยี่ยม “อันที่จริงไม่ต้องจงใจถ่วงเวลาหรอก กว่าข้าจะได้มาเยือนใต้หล้าไพศาลไม่ใช่เรื่องง่าย ย่อมไม่รีบร้อนจะจากไป พวกเจ้าเชิญแสดงฝีมือได้ตามสบาย ข้าจะได้เรียนรู้ฝีมือของคนหลายคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของใต้หล้าไพศาลสักหน่อย”

หนิงเหยา เฉินผิงอัน เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นซิ่วหู่ครึ่งตัว เจียงซ่างเจินแห่งใบถงทวีป

สำหรับอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินที่อายุมากที่สุดก็ยังถือเป็นผู้เยาว์ ยังคงเป็นคนหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น

ขอบเขตที่ถดถอยของเจียงซ่างเจิน ถดถอยได้อันตรายยิ่งและลี้ลับยิ่ง พูดง่ายๆ ก็คือ ใช้ขอบเขตที่ถดถอยมาขัดเกลาใบหลิวใบนั้น

รูปร่างของกระบี่บินใบหลิวครึ่งท่อนนั้นเป็นของจริง แต่ระดับความคมกลับยังคงอยู่เหนือกว่าใบหลิวเต็มใบตอนที่เจียงซ่างเจินเป็นขอบเขตเซียนเหรินเสียอีก ค่าตอบแทนก็คือเรือนกายผู้ฝึกยุทธของเจียงซ่างเจินได้รับความเสียหายอย่างมากเมื่อเทียบกับในอดีต ร่างกายค่อนข้างอ่อนแอ ดังนั้นผมตรงจอนหูของเจียงซ่างเจินในทุกวันนี้จึงกลายเป็นสีดอกเลา รูปร่างคล้ายคนมีอายุแล้ว

ซึ่งก็หมายความว่าขอบเขตถดถอยของเจียงซ่างเจินเป็นความจริง จริงแท้แน่นอน ทว่าระดับขั้นของกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับแทบจะหยุดอยู่ที่ขอบเขตบินทะยาน เพียงแต่ว่าเจ้าเจียงซ่างเจินผู้นี้เป็นคนมากเล่ห์เกินไป ใช้การที่ขอบเขตถดถอยมาเป็นเวทอำพรางตาที่ดีเยี่ยมที่สุดมาโดยตลอด เพื่อจะได้ฉวยโอกาสนี้ตบตาคนบนโลก

เจียงซ่างเจินก็ไม่เกรงใจจริงๆ พลิกข้อมือหนึ่งทีก็เสกเหล้ากาหนึ่งออกมา พูดด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองพี่น้องที่เพียงพบเจอก็ถูกชะตากัน น่าจะมาดื่มด้วยกันก่อนสักกาดีไหม?”

รอกระทั่ง ‘พูดคุยจบสิ้น’ แล้ว ก็ไม่ใช่การแบ่งแพ้ชนะจากการประลองมรรคกถาอะไรอีก

แต่เป็นการแบ่งเป็นตายกับอู๋ซวงเจี้ยงโดยตรง!

ขอแค่เจ้าอู๋ซวงเจี้ยงกล้าประมาทอยู่ตลอด ทางอย่างนั้นก็ดีที่สุดแล้ว

แต่ไม่มีใครคิดจะดูแคลนอู๋ซวงเจี้ยง เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นนักพรตคนหนึ่งที่สามารถผลัดกับนักพรตผู้เฒ่าซุนไหวจง ‘สอนให้คนรู้จักการวางตัวเป็นคน’

ชุยตงซานยืนอยู่บนหลังคาของร้านแห่งหนึ่ง ในมือพลันมีไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งเพิ่มมา สองมือควงไม้เท้าหมุนเป็นวงกลม ริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นระลอก เกิดเป็นรัศมีแสงทรงกลดเป็นชั้นๆ ทับซ้อนกันประหนึ่งม้วนภาพลายเส้นสีทองภาพหนึ่ง ดวงตะวันสีขาวขนาดเล็กจิ๋วดวงหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ ชุยตงซานหัวเราะร่า “เจ้าตำหนักใหญ่อู๋ โชคดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ”

จากนั้นจึงยื่นมือออกไปคว้าดวงตะวันสีขาวเล็กจิ๋วที่สาดประกายไปทั่วสารทิศมาไว้ในมือ พอแกว่งข้อมือจึงเหมือนมีลูกกลมหมุนกลิ้งไปตามฝ่ามือไม่หยุดนิ่ง สาดประกายแสงเจิดจ้าไปทั่วสี่ด้าน

ห้านิ้วของเด็กหนุ่มชุดขาวขยับน้อยๆ รอบๆ ลูกกลมก็มีตัวอักษรยี่สิบแปดตัวลอยขึ้นมาประหนึ่งการเรียงตัวของดวงดาว ประหนึ่งภาพจตุสัตว์เทพเก้าดินแดน ยี่สิบแปดดวงดาวแห่งฟ้าดิน

อู๋ซวงเจี้ยงไม่มีปราณสังหารแม้แต่น้อย มองเมินวิชาอภินิหารที่จำแลงอยู่บนฝ่ามือซึ่งเด็กหนุ่มชุดขาวโอ้อวดให้ดูไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งยังยิ้มบางๆ พลางผงกศีรษะพูดคล้ายรำลึกความหลังกับชุยตงซาน “น่าเสียดายที่ไม่ได้พบซิ่วหู่ แต่ได้พบซิ่วหู่ครึ่งตัวก็ถือว่าเดินทางมาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวแล้ว เนื้อหนังมังสาของอาจารย์ชุยในเวลานี้ ระดับขั้นไม่ธรรมดา สิ่งที่ลู่เฉินพูดนั้นไม่ผิด ซิ่วไฉเฒ่ามีความสามารถยอดเยี่ยมในการรับลูกศิษย์จริงๆ ทำให้คนอื่นได้แต่มองด้วยความอิจฉาเท่านั้น”

ระหว่างที่พูดอู๋ซวงเจี้ยงได้ประกบสองนิ้ว กระตุกเบาๆ หนึ่งทีก็กระชากร่างของลูกจ้างหนุ่มในโรงเตี๊ยมที่ถูกเขาเป็นนกพิราบยึดครองรังนกกางเขนนี้ออกมาเหมือนกระดาษแผ่นหนึ่ง จากนั้นถูกเขาพับใส่ไว้ในชายแขนเสื้อง่ายๆ

อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูเผยกายต่อหน้าผู้คนด้วยร่างจริง

แขกประจำของอันดับสิบคนในใต้หล้ามืดสลัวผู้นี้มีรูปโฉมเป็นแค่บุรุษวัยกลางคนที่หน้าตาไม่โดดเด่น ทว่าภาพบรรยากาศมารวมตัวกัน มหามรรคาจำแลงก่อกำเนิด ปรากฏเป็นกายธรรมพร่าเลือนที่สูงเท่าตัวคน สวมชุดเทียนอีสีชาด โพกผ้าพันหัวสีม่วง สวมรองเท้าป๋ายอวิ๋น ยืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก ตรงหว่างคิ้วของกายธรรมมีตราประทับสีแดงพุทราเหมือนเนตรสวรรค์ที่เปิดออก สองแขนมีแถบผ้าหลากสีล้อมวนจึงพลิ้วไสว ด้านหลังกายธรรมก็มีรัศมีวงกลมที่รวมตัวกันเป็นของจริงจับต้องได้

เจียงซ่างเจินยืนอยู่สุดปลายถนน ลูบคลำปลายคาง รู้ว่าภาพบรรยากาศมหามรรคาของอู๋ซวงเจี้ยงนี้เป็นดั่งคำว่ากายธรรมสวรรค์แล้ว สอดคล้องกับมหามรรคา ฟ้าและคนรวมเป็นหนึ่ง ก็เพื่อขอบเขตสิบสี่

ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวและเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าการผสานมรรคาขอบเขตสิบสี่ของอู๋ซวงเจี้ยงอยู่ที่ใด

ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงยิ้มถามว่า “ขอถามเจ้าตำหนักอู๋ว่าผสานมรรคาอย่างไร? ได้โปรดเล่าให้ฟังหน่อย ไม่ต้องกังวลว่าผู้เยาว์จะตกใจขวัญกระเจิง”

พอประโยคนี้ถามออกไป แม้แต่เจียงซ่างเจินยังรู้สึกนับถือในความจริงใจของตัวเอง คำกล่าวที่ว่าใกล้ชาดเปื้อนแดงนั้นกล่าวได้ถูกต้องจริงๆ อยู่กับเจ้าขุนเขานานวันเข้าจึงถูกสภาพแวดล้อมกล่อมเกลา เป็นเหตุให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความจริงใจจนเรียกได้ว่าน้ำมาคลองสำเร็จ

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนสามัคคี”

เจียงซ่างเจินได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน พร่ำพูดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะทำอย่างไรดี ชุยตงซานสีหน้าเคร่งเครียด พยักหน้ารัวๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ขานรับกับโจวอันดับหนึ่งอยู่ไกลๆ

ขอบเขตสิบสี่ที่ผสานมรรคากับคนสามัคคี รับมือได้ยากอย่างยิ่ง ยากจนยากไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตสิบสี่ที่คนนอกรู้แค่ว่าผสานมรรคากับคนสามัคคี แต่กลับไม่รู้ว่าผสานมรรคากับสิ่งใด ถ้าอย่างนั้นก็เป็นบุคคลที่รับมือได้ยากที่สุดแล้ว

หากอู๋ซวงเจี้ยงผสานมรรคากับกับฟ้าอำนวยหรือดินอวยพรกลับดีกว่าผสานมรรคากับคนสามัคคีมากนัก

ป๋ายเหย่พกกระบี่เดินทางไปฝูเหยาทวีป คนผู้เดียวท้าทายปีศาจบนบัลลังก์หลายตน แต่กระนั้นก็ยังคงยึดครองโอกาสได้เปรียบไปก่อน สามารถมองข้ามการล้อมสังหารไปได้เลย เหตุผลหนึ่งในนั้นก็อยู่ที่ว่าผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดในโลกมนุษย์ผู้นี้ถึงขั้นผสานมรรคากับบทกลอนในใจ บทกลอนไม่หมดก็ไร้ศัตรูทัดทาน ลี้ลับมหัศจรรย์เกินไป บวกกับตัวป๋ายเหย่เองก็ได้ครอบครองไท่ป๋ายหนึ่งในสี่กระบี่เซียน ทำให้เขายิ่งไม่มีเหตุผลเข้าไปใหญ่

เจ้าอารามดอกบัวของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในอดีต ฝูลู่อวี๋เสวียนที่ทุกวันนี้นั่งพิทักษ์อยู่กลางธารดวงดาวพร่างพราว ชั่วชีวิตนี้ก็เอาแต่คิดถึงพะวงหา ทนความลำบากตรากตรำ หวังว่าสิ่งที่ใช้ผสานมรรคาก็คือฟ้าอำนวย คือตะวันจันทราและดวงดาวที่นับแต่บรรพกาลมาก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน คือการพิสูจน์มรรคาเป็นอมตะอย่างสมชื่อตามความหมายบางอย่าง

เฒ่าตาบอดผสานมรรคากับภูเขาแสนลี้ เหวินเซิ่งผสานมรรคากับสามทวีปของไพศาล ล้วนเป็นการผสานมรรคากับดินอวยพรอย่าง ‘สุดวิสัย’ ทั้งสิ้น

——