มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1904

“เส้นทางแห่งสายเลือด นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”

เยาเย่ตกตะลึงมากจนหน้าถอดสี เขาเข้าใจดีมากว่าวิถียุทธ์ในการฝึกสายเลือดเช่นนี้เป็นของวิชาบรรพเทพโลหิตโดยเฉพาะ แต่ไม่นึกเลยว่าคนดังกล่าวก็มีปราณเลือดพลังเทพที่มากมายมหาศาลเช่นนี้ด้วยอย่างนั้นหรือ หรือว่าเขาก็เคยฝึกเคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมาร?

“ตู้มม!”

ภายในเวลาชั่วลมหายใจเดียว เยาเย่ถูกหมัดหนึ่งของหลัวซิวโจมตีจนบินลอยออกไปพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสื้อผ้าและเนื้อหนังบริเวณหน้าอกแตกราวหมด เผยให้เห็นกระดูกสีเหลืองทองที่อยู่ด้านใน

สีหน้าของเยาเย่ขาวซีดเล็กน้อย เขามองหลัวซิวอย่างเหลือเชื่อ “เจ้าจะมีทางเคยฝึกเคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารมาก่อนได้อย่างไร? เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่?”

จักรพรรดิมารบุกเบิกแตกต่างจากมหาจักรพรรดิยุทธ์อื่น ๆ หลังจากที่เขาดับสลายสูญสิ้นแล้ว สถานที่ที่เขานั่งฌานละสังขารกลายเป็นเขตต้องห้าม ซึ่งมีเพียงผู้ที่บุกรุกเข้าไปยังเขตต้องห้ามได้ ถึงจะมีโอกาสได้รับการถ่ายทอดสืบสานสูงสุดของมหาจักรพรรดิยุทธ์เผ่ามารท่านนี้

เยาเย่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนอื่น ๆ ที่ได้รับการถ่ายทอดสืบสานและมีชีวิตรอดออกมาจากแดนต้องห้ามบรรพมาร โดยเฉพาะเจ้าหมอนี่ที่อยู่ตรงหน้ายังเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์คนหนึ่งอีกด้วย

“ไสหัวไป!”

หลัวซิวไม่ได้ตอบกลับ เขม็งทองเยาเย่ด้วยสีหน้าอารมณ์ที่เย็นเยือก จิตสังหารทะลักออกมาดั่งกระแสน้ำ

เยาเย่กัดฟันแน่นอย่างไม่ยอมเล็กน้อย แท้จริงแล้วเขามั่นใจในศักยภาพความสามารถของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยมเลย ทว่าหลังจากฝ่ายตรงข้ามปลดปล่อยปราณเลือดพลังเทพที่ทรงพลังกว่าตนเองหนึ่งขั้นออกมา ความมั่นใจของเขาที่มีต่อตนเองก็สั่นคลอนอย่างอดไม่ได้

สำหรับหลัวซิวนั้น แท้จริงแล้วเขาก็ไม่อยากลงไม้ลงมืออย่างยิ่งใหญ่จริง ๆ อย่างน้อยทั้งสองก็ไม่ได้ใช้ของขลังอาวุธสงคราม และไม่เคยปลดปล่อยเคล็ดวิชาพลังอมตะใด ๆ ออกมาเช่นกัน

ผู้ที่อยู่ในแดนเดียวกันมีทั้งผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็นอัจฉริยะราชา อัจฉริยะมกุฎ อัจฉริยะเจ้ายุทธจักรและจักรพรรดิ อัจฉริยะในแดนเดียวกันที่สามารถเรียกว่าเป็นอัจฉริยะจักรพรรดินั้น สูงสุดสามารถข้ามแดนสังหารศัตรูที่อยู่เหนือตนหนึ่งแดนใหญ่ได้

ซึ่งเช่นนี้ก็หมายความว่า อัจฉริยะชั้นยอดในกึ่งมกุฎเทพมีกำลังรบที่สามารถต่อกรกับมกุฎเทพช่วงปลาย ถึงแม้หลัวซิวจะถือดีมากเพียงใด เขาก็ไม่คิดว่าตัวเองที่อยู่ในแดนเทพฟ้าจะมีศักยภาพที่สามารถเทียบทัดมกุฎเทพช่วงปลาย

สีหน้าของเยาเย่ปรวนแปรอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะสงบสติปัญญา เลือกที่จะไม่ฉีกหน้าเข่นฆ่าอย่างเอาเป็นเอาตาย เนื่องจากเขาก็เข้าใจดีมาก ๆ เช่นกันว่าผู้ที่มีคุณสมบัติเข้ามาในแดนเทวนิรันกาลได้นั้น ไม่มีผู้ใดที่เป็นคนกระจอก

ปล่อยให้เยาเย่จากไป หลัวซิวไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด แต่เป็นการให้อสูรดูดจิตเลือกทิศทางที่ตรงกันข้ามกับเยาเย่ แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

“คนดังกล่าวได้รับเคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารมาจากที่ใดกันแน่?”

หลังจากหลัวซิวจากไป เงาร่างของเยาเย่ที่จากไปแล้วก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง เขม็งมองทิศทางที่หลัวซิวจากไป

ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เยาเย่พลิกมือหยิบม้วนหยกออกมาหนึ่งชิ้น ส่งข้อความออกไปสามสี่ข้อความ เดิมทีเขาไม่มีความคิดที่จะติดต่อกับเหล่าผู้คนในโลกาบรรพมาร แต่ทว่าเคล็ดกลั่นโลหิตมารข้องเกี่ยวถึงเรื่องที่สำคัญมาก ๆ เขาจึงไม่ทำเช่นนี้ไม่ได้

……

ยิ่งเข้าใกล้พื้นที่ศูนย์กลางของแดนเทวนิรันกาลมากเท่าไหร่ ถึงแม้อัตราที่สมบัติปรากฏนั้นจะยิ่งมาก แต่ในขณะเดียวกันภยันตรายก็มีมากยิ่งขึ้นเช่นกัน

ในอดีตทุกครั้งที่แดนเทวนิรันกาลเปิดออก มหาโกาลยอดอัมพรก็จะส่งเด็กรุ่นใหม่ที่อยู่ต่ำกว่ามกุฎเทพที่ดีเลิศที่สุดเข้ามาที่นี่สิบคน แต่ครั้งที่น่าเวทนาที่สุด ผู้ที่มีชีวิตรอดกลับไปได้มีเพียงสองคนเท่านั้น

มีอสูรโบราณที่นับไม่ถ้วนยึดครองและนอนจำศีลอยู่ในส่วนลึกของแดนเทวนิรันกาล ซึ่งอสูรโบราณเหล่านั้นไม่ใช่อสูรกายที่แพร่พันธุ์และใช้ชีวิตอยู่ในห้วงดาราอย่างในปัจจุบัน แต่เป็นอสูรพันธุ์ยุคดึกดำบรรพ์

ยิ่งมีข่าวลือบอกว่ากลุ่มดาวฤกษ์กล้ายเมฆบนท้องฟ้าที่เป็นที่ตั้งของแดนเทวนิรันกาลนี้ เป็นห้วงดาราของยุคดึกดำบรรพ์แต่เดิมอยู่แล้ว ซึ่งถูกเก็บรักษาไว้อย่างสมบูรณ์

หลัวซิวก็รู้สึกเห็นด้วยกับคำเล่าลือเล็กน้อยเช่นกัน เนื่องจากออร่าฟ้าดินในแดนเทวนิรันกาลมันแตกต่างจากดาราจักรวาลของโลกภายนอกเล็กน้อยจริง ๆ มันดูเก่าแก่และโบราณมากกว่า

ตลอดกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านมาอย่างไม่รู้จบ ทุกครั้งที่แดนเทวนิรันกาลเปิดออก ก็จะมีอัจฉริยะจำนวนมากดับสลายสูญสิ้น เหมือนเช่นการชะล้างหินกรวดในคลื่นยักษ์ มาตรแม้นว่าเป็นผู้แข็งแกร่งแดนมกุฎเทพที่มหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านนั้นในมหาโลกาจ้านเทียนส่งเข้ามา ก็ใช่ว่าจะสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้เสมอไป