อู๋ซวงเจี้ยงเหลือบไปเห็นสีหน้าของเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “มีแค่นี้แล้ว”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ หลอกผีน่ะสิ ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ขี้เหนียวแบบนี้ มีไม่มาก
“บนร่างของข้ามีแค่ห้าแผ่นนี้จริงๆ แต่ในศาลบรรพจารย์ตำหนักสุ้ยฉูยังมีอีกสามแผ่น ไม่สู้เจ้ากลับไปเอาพร้อมข้าไหมล่ะ?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ คล้ายจะมองความคิดของเฉินผิงอันออกจึงเอ่ยสัพยอกว่า “ถึงอย่างไรเจ้ากับนักพรตซุนก็เป็นสหายต่างวัยกันอยู่แล้ว ไม่แน่ว่าเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงของพวกเราพบเจ้าแล้วก็อาจจะต้องรำลึกความหลังกับเจ้าด้วย ในอดีตเดินทางไกลไปเที่ยวอารามเสวียนตูด้วยกัน เขาพร่ำพูดถึงเจ้าไปตลอดทาง มีสหายสองคนนี้อยู่ อย่าว่าแต่ตำหนักสุ้ยฉูของข้าเลย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในใต้หล้ามืดสลัวเจ้าก็ไปเดินเล่นได้หมด”
เฉินผิงอันถาม “นักพรตซุนยังสบายดีกระมัง?”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับ “ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่”
อู่ซวงเจี้ยงคล้ายจะนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงสะบัดชายแขนเสื้อทั้งสอง พริบตานั้นก็มีสมบัติสองชิ้นเผยตัวบนโลก ฝักกระบี่เล่มหนึ่ง รวมไปถึงไม้เท้าเดินป่าที่สลักคำว่า ‘สิงชี่หมิง’ จากนั้นจึงโยนไปให้กับเจียงซ่างเจินและชุยตงซาน “ฝักกระบี่หลอมมาจากแท่นสังหารมังกร ฝักกระบี่ยังเป็นค่ายกลยันต์อีกแห่งหนึ่ง ข้าถอนตราผนึกสามสิบหกชั้นทั้งหมดออกไปแล้ว สามารถเอามาหล่อเลี้ยงบำรุงใบหลิวครึ่งท่อนนั้นได้พอดี ไม่อาจเลื่อนระดับขั้นให้กับกระบี่บินได้ ก็ถือเสียว่าเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้เจ้าสำนักเจียงเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานก็แล้วกัน”
“ไม้เท้าเดินป่าอันนี้ก็มอบให้เป็นของขวัญพบหน้าแก่อาจารย์ชุยแล้ว สรรพคุณมากมายของมัน อาจารย์ชุยสามารถศึกษาได้ด้วยตัวเอง”
ชุยตงซานรับไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมา เจียงซ่างเจินกำฝักกระบี่ คนทั้งสองมองหน้าแล้วยิ้มให้กัน หากตอนแรกสังหารอู๋ซวงเจี้ยงไปจริงๆ พวกเราสองพี่น้องก็คงรวยเละแล้วไม่ใช่หรือ นับแต่นี้ไปสามารถใช้เงินมือเติบได้อย่างไร้ขื่อไร้แปแล้ว?!
อู๋ซวงเจี้ยงหันมาเอ่ยกับหนิงเหยา “หลังกลับไปบ้านเกิด ข้าจะออกคำสั่งข้อหนึ่งให้ลูกศิษย์ในสำนักที่อยู่ใต้หล้าแห่งที่ห้า ให้พวกเขาอุทิศตนอย่างไม่กลัวตายเพื่อนครบินทะยานครั้งหนึ่ง”
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นรังเด็กหนุ่ม
พันธมิตรที่เป็นเช่นนี้ มองไปทั่วทั้งใต้หล้า ย่อมไม่มีอีกเป็นแน่
หนิงเหยาเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าวว่า “เทียนหรานที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่เคยเป็นแขกในจิตใจเจ้าครั้งหนึ่ง ได้ทยอยพบเจอคนสามคน คนแรกในนั้นก็คือคนที่ทำการค้ากับข้า หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นย่อมไม่ทางพาเทียนหรานจากไปได้ ต่อให้พาไปได้ก็จะเป็นการทิ้งร่องรอยไว้ชัดเจนเกินไป ดังนั้นตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เทียนหรานพบเจอเขา แล้วเขายังบอกว่าจะประลองวิชากับนาง แน่นอนว่าต้องตกใจแทบตาย นางขี้ขลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “คือศิษย์น้องของนักพรตซุน”
เรือนไม้ของห้าธาตุ เทวรูปของนักพรตเต๋าวัยกลางคน เอามาจากไม้ท้อบรรพบุรุษต้นหนึ่งของอารามเสวียนตูใหญ่ และรากภูเขาห้าขุนเขาของเฉินผิงอันก็หลอมมาจากอิฐเขียวของอารามเต๋า ปณิธานเต๋าที่ซุกซ่อนอยู่ภายในก็คือรากฐานของสายเซียนกระบี่อารามเสวียนตูใหญ่
นักเดินทางไกลที่มีโฉมหน้าเป็นชายวัยกลางคนผู้นี้คือศิษย์น้องของซุนไหวจงเจ้าอารามเสวียนตูใหญ่ แล้วก็เป็นอาจารย์ของซ่งเหมาหลูที่เป็น ‘หนึ่งเดียวนับแต่โบราณกาล’ ผู้นั้น
“ดูเหมือนว่านางจะยังเจอคนผู้หนึ่งที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความท้อแท้ไร้กำลังใจ สวมรองเท้าสาน ห้อยมีดผ่าฟืน เดินไปทั่วสารทิศอยู่ตลอดเวลาด้วย”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันเสกแส้ปัดฝุ่นอันหนึ่งออกมา ใช้แส้ปัดฝุ่นวาดเป็นวงกลม จากนั้นค่อยถือมันด้วยมือเดียว ยิ้มเอ่ย “เชิญพระคัมภีร์ดีแต่เปลืองรองเท้าสานเสียเปล่า ไม่รู้ว่าเจ้ากำลังตามหาอะไรอยู่”
เฉินผิงอันตกตะลึงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก็ไม่ใช่เพื่อหาสถานที่ที่พักพิงอย่างสงบหรอกหรือ แล้วนับประสาอะไรกับเดินไปที่ใดแล้วจะไม่เปลืองรองเท้าสานบ้างเล่า”
อู๋ซวงเจี้ยงส่งแส้ปัดฝุ่นให้เฉินผิงอัน ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนที่อยู่บ้านเกิด ข้ากับลู่เฉินเคยไปเยี่ยมเยือนภิกษุสมณศักดิ์สูงมาทั่วสารทิศด้วยกัน แต่ก็ยังถือว่าแค่พอจะเข้าใจหลักพระธรรมบ้างเล็กน้อยเท่านั้น หวังว่าวันหน้าเจ้าจะตั้งใจศึกษาพระธรรมให้ดี อย่าได้หนีจากฌาน (หรือฉาน หมายถึงนิกายเซน นิกายในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน)”
เฉินผิงอันรับแส้ปัดฝุ่นมาแล้วก็ถึงกับไหล่เอียงไปข้างหนึ่ง เกือบจะรับแส้ปัดฝุ่นที่ตอนอยู่ในมืออู๋ซวงเจี้ยงแล้วเบาหวิวชิ้นนี้มาไม่ได้
อู๋ซวงเจี้ยงพลันถามว่า “ลูกศิษย์ใหญ่สิบคนของพระพุทธเจ้า ต่างคนต่างเป็นเอตทัคคะในด้านหนึ่ง ขอถามว่าพระราหุลผู้ปฏิบัติธรรมลับ (เป็นการแปลตรงตัวจากภาษาจีนคำว่า 密行 มี่สิง มี่ 密 หมายถึงความลับ行 สิงคือการปฏิบัติ ในทางพระพุทธศาสนานิกายหินยาน คำนี้จะหมายถึงการบำเพ็ญตนโดยปฏิบัติตามกฎอย่างเข้มงวด ส่วนทางฝ่ายนิกายมหายานจะหมายถึงการปฏิบัติตนที่ต้องเก็บงำวิธีปฏิบัติตนเป็นความลับไม่แพร่งพราย จนกว่าจะบรรลุธรรมรู้จักตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริง หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกสิ่งเร้าภายนอกมารบกวนให้สั่นคลอน) เป็นอันดับหนึ่ง เป็นเอกในด้านใด?”
เฉินผิงอันไม่ได้จงใจเล่นทายปริศนาธรรมอะไรกับอีกฝ่าย ตอบไปตามตรงว่า “ปีนั้นครั้งแรกที่ได้เห็นคดีของศาสนาพุทธคดีนี้ในตำรา อันที่จริงก็ไม่รู้ว่าเหตุใดภิกษุรูปนั้นต้องตอบว่า ‘ไม่รู้’ ภายหลังพอได้ถามจากภิกษุที่อยู่ตรงหน้าผา ถึงได้รู้คำตอบ”
ในเมื่อเป็นการปฏิบัติอย่างลับๆ คนนอกฟังคำถามข้อนี้แล้วจะรู้คำตอบได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องไม่รู้
ในหนังสืออธิบายเหตุผลไว้อย่างกระจ่าง คล้ายจะว่าง่ายดายอย่างมาก เพียงแต่น่าเสียดายที่ชีวิตคนต่างก็มีปมของโรคต่างกัน ยากเกินกว่าจะรู้ได้ว่าตัวเองไม่รู้
อู๋ซวงเจี้ยงถามติดๆ กันอีกว่า “เจดีย์ไร้รอยต่อคืออะไร คนในเจดีย์คืออย่างไร? สะบั้นกิ่งก้านที่พัวพันอย่างไร ถือรองเท้าข้างเดียวกลับดินแดนสุขาวดีคืออย่างไร? ช่วงชิงดินแดนอย่างไรแล้วต้องช่วงชิงคนอย่างไร? เหตุใดเมื่อภิกษุเฒ่าตวาดหนึ่งที หากมีเพียงภิกษุที่ผงะตกใจ ก็คือลูกหลานตระกูลจวิ้นแล้ว? เหตุใดถึงต้องร้องเพลงม้าหนุ่ม? เหตุใดต้องเบาเสียง เบาเสียง แล้วเหตุใดต้องปิดปากไม่พูดจา? เหตุใดต้องบีบหมัดตั้งนิ้ว ร้องตวาดปลุกให้คืนสติ? อะไรคือจากลาเวลาเดียวกัน? อะไรคือโฉมหน้าเดิม? เหตุใดต้องตั้งไม้เท้าสยบกระบี่วุ่นวาย ปล่อยไม้เท้าก็ไร้ภาพป๋ายเจ๋อ? อะไรคือกระบี่คนเป็นมีดคนมีชีวิต จะเป็นได้อย่างไร? เหตุใดประโยคแรกที่สำคัญคือ ทางหลวงไม่ยอมรับแม้แต่เข็มเล่มเดียว ทางส่วนตัวกลับปล่อยรถม้าแล่นผ่าน? เหตุใดต้องสามลี้ลับสามสำคัญ? ทำอย่างไรถึงจะจัดการปากของภิกษุเฒ่าในใต้หล้าได้? อะไรคือกิจแห่งเบื้องบน?!”
เฉินผิงอันถอนหายใจ ยังคงตอบไปตามสัตย์จริง “ในตำราล้วนมีบันทึกไว้ หากข้าเพียงแค่ท่องจำแล้วยกเอามาตอบ คำถามพวกนี้ ข้าก็สามารถตอบเป็นคำตอบได้สามร้อยกว่าแบบ”
ระหว่างที่เดินทางไกลได้อ่านตำราอยู่ตลอด ลำพังเพียงแค่คำถามที่ว่า ‘อะไรคือเป้าหมายของพระโพธิธรรมที่เดินทางจากชมพูทวีป (ดินแดนสุขาวดี/หรืออินเดียในสมัยโบราณ) มายังแผ่นดินกลาง (หมายถึงประเทศจีน)’ เฉินผิงอันก็จดจำและรวบรวมเรียบเรียงคำตอบไว้เกือบร้อยกว่าข้อแล้ว
ยกตัวอย่างเช่นพจนะในเรื่องเล่าร้อยเรื่อง อาจมีคนที่รู้เก้าเรื่องสิบเรื่อง แต่กลับยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองรู้ หรืออาจมีคนที่รู้สองเรื่องสามเรื่องก็รู้สึกว่าตัวเองรู้ทั้งหมดแล้ว
สุดท้ายอู๋ซวงเจี้ยงยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นอะไรคือดินแดนลั่วพั่ว? อะไรคือขนบธรรมเนียมลั่วพั่ว? อยู่ในภูเขาบ้านตัวเอง เจ้าก็น่าจะรู้เรื่องนี้กระมัง?”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบว่า “เดินเท้าเปล่าก่อน ขณะเดียวกันก็คอยซ่อมแซมรองเท้าสานไปด้วย ตัวเองสวมเอง แล้วก็ยินดีจะมอบให้คนที่ผ่านทางมา คนอื่นไม่ยินดีรับไว้ พวกเราก็ไม่บังคับฝืนใจ เพราะถึงอย่างไรหากจะคิดกันอย่างจริงจัง แต่ละคนก็มีรองเท้าสวมอยู่นานแล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงส่ายหน้า คล้ายไม่พอใจอย่างมาก “ก่อน? ไม่มีความหมายใดๆ เลย เสียแรงเปล่าที่เมื่อครู่ข้ายังกังวลว่าเจ้าจะหนีฌาน”
หนิงเหยาเท้าแก้มด้วยมือข้างเดียวค้ำแขนวางอยู่บนราวระเบียง นางเพียงแค่มองเฉินผิงอันเงียบๆ
ไม่ได้รู้สึกว่าการถามตอบครั้งนี้ระหว่างเขากับอู๋ซวงเจี้ยง เฉินผิงอันตกเป็นรอง ทุกวันนี้อู๋ซวงเจี้ยงอายุตั้งเท่าไรแล้ว เฉินผิงอันจะไปสู้เขาได้อย่างไร
ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้ว บริเวณโดยรอบตำหนักสุ้ยฉูที่เป็น ‘รังเด็กหนุ่ม’ นี้มีขุนเขาสายน้ำงดงาม ทัศนียภาพยิ่งใหญ่โอฬาร ทำเอาคนมองต้องทอดถอนใจอย่างอดไม่อยู่ “เวลาราวกับลูกธนู ตะวันจันทราเหมือนเด็กหนุ่มที่เคลื่อนไหว”
เจียงซ่างเจินฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว พยักหน้าเอ่ย “แล้วนับประสาอะไรกับที่เด็กหนุ่มควบม้าขาวผ่านร่องแคบ ไม่ทันรู้ตัวก็ผมขาวแล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มถาม “ตอนนี้ข้าแค่สงสัยใคร่รู้เรื่องเดียว ทำไมเจ้าถึงได้ใกล้ชิดกับลัทธิพุทธอย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้?”
เฉินผิงอันเอ่ย “เมืองเล็กบ้านเกิดมีซุ้มกรอบป้ายอยู่สี่กรอบ ตอนเด็กเคยได้ยินคนพูดให้ฟังถึงเนื้อหาของกรอบป้าย แล้วก็รู้สึกแค่ว่ามีเพียงหลักการ ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ เท่านั้นที่ฟังเข้าใจ พอจะทำได้อย่างถูไถ ทำได้แล้วยังมีประโยชน์ด้วย”
อู๋ซวงเจี้ยงหัวเราะ โคจรวิชาอภินิหาร นาทีถัดมาก็มีเพียงเขากับเฉินผิงอันที่ออกมาจากหอกว้านเชวี่ย มายังนอกศาลบรรพจารย์บนยอดเขาของตำหนักสุ้ยฉู
นี่เป็นครั้งแรกที่อู๋ซวงเจี้ยงเผยสีหน้าจริงจังเคร่งขรึม หยิบเอายันต์แผ่นหนึ่งออกมา พูดด้วยท่าทางเอาจริงเอาจังว่า “หากแม้กระทั่งอยู่ในใต้หล้าไพศาล เจ้าก็ไม่อาจปกป้องเทียนหรานได้ ถูกกระบี่สังหารพร้อมกันสองคน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ใช้ยันต์แผ่นนี้กับนาง”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าตกลงแล้ว”
อู๋ซวงเจี้ยงกล่าวอย่างกังขา “เจ้าไม่ถามข้าหรือว่า เหตุใดไม่กังวลว่าเจ้าจะเอายันต์นี้ไปใช้กับคนอื่น?”
ก็คือยันต์ไท่เสวียนชิงเซิงที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้สร้างแผ่นนั้น
เฉินผิงอันกล่าว “เรื่องบางอย่างก็มีแต่ข้าเท่านั้นที่ทำได้จริงๆ คนอื่นทำไม่ได้ ผู้อาวุโสสามารถวางใจได้”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม บอกให้เฉินผิงอันเก็บยันต์แผ่นนี้เอาไว้ให้ดี “เจ้ายินดีแบกรับปัญหาใหญ่ขนาดนี้เอาไว้ ดูท่าความไม่พอใจที่เจ้ามีต่อเซียนเหรินป๋ายอวี้จิงคนนั้นก็คงไม่น้อยจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “ในป๋ายอวี้จิง อันที่จริงก็มีผู้อาวุโสที่ข้าเคารพอย่างมากอยู่”
อู๋ซวงเจี้ยงเอาสองมือไพล่หลัง มองไปยังเมฆม้วนลมพัดนอกภูเขา จากนั้นชี้ไปยังหินใหญ่ก้อนหนึ่งใจกลางแม่น้ำที่อยู่ใกล้กับหอกว้านเชวี่ย “หินพักมังกรตรงนั้น วันหน้าขอแค่เจ้ามาเป็นแขกที่ใต้หล้ามืดสลัว และยังมีความสามาถได้กลับคืนไปยังบ้านเกิด สามารถย้ายเอาไปได้”
เฉินผิงอันมองหินพักมังกรก้อนนั้น หางตาก็ถือโอกาสเหลือบมองไปยังหอกว้านเชวี่ยด้วย
อู๋ซวงเจี้ยงจุ๊ปากเอ่ย “ลู่เฉินพูดไว้ไม่ผิดจริงๆ เหมือนข้าจริงดังว่า โจรไปที่ไหนล้วนไม่ไปเสียเที่ยว”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยว่า “เสี่ยวป๋ายที่อยู่ในศาลาฉางผิงพูดคุยกับเจ้านครชุยก่งอย่างถูกคออารมณ์ดีกันยิ่ง จากนั้นก็นัดหมายว่าจะไปซ้อมคนที่ชื่อเกาซีให้น่วมด้วยกัน ดูเหมือนว่าจะยังไปเลี้ยงเหล้าคนที่ชื่อเหลียงโจวฮั่นด้วย ข้ารู้เรื่องประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลพวกเจ้าไม่มาก สองคนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ทางฝั่งของใต้หล้าไพศาลนี้ การเลือกคนให้กับศาลบู๊ ราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งสามารถคัดเลือกโดยพิจารณาไปตามเหตุการณ์ได้ เกาซีนอกจากจะประจบประแจงพวกจักรพรรดิแล้ว แน่นอนว่าก็เออออไปกับศาลบุ๋นด้วย ร่วมกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนกำหนดตัวเลือกของคนที่จะมีเทวรูปตั้งวางในศาลบู๊ สุดท้ายเลือกเฉพาะคนที่มีแต่คุณความชอบไม่มีจุดด่างพร้อย เหลียงโจวฮั่นรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม คิดว่าใต้หล้านี้ไม่มีอริยะปราชญ์คนใดที่สมบูรณ์เต็มร้อย รู้สึกว่าเป็นการสร้างเงื่อนไขเข้มงวดให้กับคนโบราณเกินไป ไม่เหมาะไม่ควรอย่างยิ่ง นี่ถือเป็นการวิจารณ์อย่างใจกว้างมีคุณธรรมแล้ว แต่น่าเสียดายที่ฮ่องเต้ในเวลานั้นไม่ได้รับฟัง”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้าเอ่ยว่า “วิจารณ์ข้อด้อยของผู้กล้า ใครเล่าจะไม่ถูกลากให้เดือดร้อนไปด้วย ถือเป็นการวิจารณ์อย่างใจกว้างมีคุณธรรมของบัณฑิตแล้วจริงๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย ในเมื่อผู้อาวุโสรู้ทุกอย่างอยู่แล้วยังจะถามทำบ้าอะไร?
อู๋ซวงเจี้ยงชำเลืองตามองกระบี่ยาวที่เฉินผิงอันสะพายอยู่ เอ่ยว่า “หากเจ้ากล้าวางใจ ข้าสามารถช่วยหลอมให้เจ้าได้ ก่อนที่ข้าจะออกไปจากใต้หล้าไพศาลจะคลายตราผนึกธรรมชาติพวกนั้นออกให้ ถึงเวลานั้นพลังการต่อสู้ของนางก็ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานทั่วไปคนหนึ่งจะเทียบเคียงได้ติดแล้ว บนเส้นทางการฝึกตนในอนาคต เมื่อเจ้าได้พบเจอกับเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็กไม่ใหญ่บางอย่าง เจ้ายังสามารถเอากระบี่ยาวเล่มนี้ให้นางยืมใช้ได้ชั่วคราว”
การเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนบนยอดเขา อันที่จริงเรื่องที่แข่งขันกันอย่างแท้จริงก็มีอยู่แค่สองเรื่อง ความเล็กใหญ่ในพลังพิฆาตสูงสุดของเวทคาถาหรือไม่ก็กระบี่บิน รวมไปถึงความสูงต่ำในทักษะการหนีเอาชีวิตรอด
นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมอู๋ซวงเจี้ยงถึงต้องหลอมกระบี่จำลองออกมาสี่เล่ม
อีกทั้งความสามารถก้นกรุของอู๋ซวงเจี้ยงยังมีอยู่อีกหลายอย่าง
เฉินผิงอันกุมหมัดเอ่ยขอบคุณ คำเรียกขานว่าผู้อาวุโสฟังแล้วจริงใจอย่างยิ่ง
อู๋ซวงเจี้ยงถาม “กระบี่ที่สะพาย มีชื่อว่า?”
เฉินผิงอันตอบ “เย่โหยว”
อู๋ซวงเจี้ยงพยักหน้า “ชื่อดี”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง อู๋ซวงเจี้ยงก็ยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นก็กลับแล้วนะ?”
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง
ฟ้าดินเล็กจึงสลายหายไปนับแต่นี้ ทุกคนกลับไปยังห้องในโรงเตี๊ยมด้วยกันอีกครั้ง
เฉินผิงอันผงกศีรษะให้กับคนทั้งสาม บอกเป็นนัยให้รู้ว่าเขาไม่เป็นอะไร
เจียงซ่างเจินถาม “สตรีของภูเขาตะวันเที่ยงคนนั้น อุตส่าห์จับตามองอย่างยากลำบากมาตั้งนาน สุดท้ายจะปล่อยให้นางหนีไปแบบนี้ไม่ได้กระมัง?”
ชุยตงซานยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับไป?”
เฉินผิงอันกล่าว “ลำบากแล้ว”
ผลคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งตีอก ลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจชกตัว ทำท่าทางเสียใจพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
จากนั้นคนทั้งสองก็หัวเราะฮ่าๆ ยกมือขึ้นตีกัน ทั้งสองฝ่ายรู้ใจกันดีเยี่ยมขนาดนี้ก็ต้องกู่ร้องแสดงความยินดีกันหน่อย
จากนั้นคนทั้งสองก็หยิบยันต์ภูเขาแผ่นหนึ่งออกมา เตรียมจะอาศัยสิ่งนี้หวนกลับไปยังภูเขาห่างไกลลูกหนึ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงภูเขาตะวันเที่ยง
เฉินผิงอันกระแอมหนึ่งทีเป็นการเอ่ยเตือน
ชุยตงซานเข้าใจได้ทันใด หันไปมองเทพเซียนผู้เฒ่าอู๋ด้วยสายตาน่าสงสาร
ฝีมือการวาดยันต์ของเจียงซ่างเจินเหมือนผีวาดอย่างยิ่ง สู้เจ้าขุนเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ
และชุยตงซานกับเฉินผิงอัน ตอนนี้ก็ไม่เหลือแรงกายแรงใจมากพอให้มาวาดยันต์สามภูเขานี้จริงๆ
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนอาจารย์ชุยวาดสามภูเขาในใจขึ้นมาให้หน่อย?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับรัวๆ เหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
แต่จากนั้นเด็กหนุ่มชุดขาวกลับยังไม่มีความเคลื่อนไหว อู๋ซวงเจี้ยงจึงเพียงแค่คลี่ยิ้มไม่พูดจา หยิบถ้วยชาออกมาเริ่มดื่มชาอย่างสบายอารมณ์อีกครั้ง พวกเจ้าสามคนไม่รีบร้อน ข้าที่เป็นคนนอกจะต้องร้อนใจไปไย
เฉินผิงอันก็ยิ่งนิ่งไม่ขยับดุจภูผา
พู่กันล่ะ ชาดแดงล่ะ? กระดาษยันต์ล่ะ?
ดูเหมือนว่าในห้องจะมีแต่พวกยาจก ไม่มีอะไรติดตัวเลยสักอย่าง
ชุยตงซานยื่นมือไปกดตรงหน้าอก กระแอมไม่หยุด
เจียงซ่างเจินใช้มือข้างหนึ่งกดผมตรงจอนหูที่เป็นสีขาวหิมะเอาไว้
ยังคงเป็นขิง (อักษรเดียวกับเจียง แซ่ของเจียงซ่างเจิน) ที่ยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ด
เฉินผิงอันหันหน้าไปถามหนิงเหยาว่าจะดื่มเหล้าหรือไม่ หนิงเหยาบอกว่าดีสิ เลือกมาสักกา ไม่เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาแล้วนะ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่น เฉินผิงอันบอกว่าไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา เพียงแต่ว่าประเภทของเหล้ามีค่อนข้างเยอะ เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ…
อู๋ซวงเจี้ยงพูดกลั้วหัวเราะ “เรือโจรลำหนึ่งแท้ๆ ช่างเป็นรังโจรที่ดีจริงๆ”
——