หลินสวินถอนหายใจเฮือกยาว สายตาลึกล้ำ ทอดมองไปยังเขาคุนหลุน

ไม่ว่าใครก็ตามที่เคยมีประสบการณ์ถูกวางกับดักเกือบสิ้นชีพมาครั้งหนึ่ง ล้วนไม่สามารถยกโทษให้คนที่ชั่วช้าอย่างเมิ่งอี้ได้

แม้ว่าก่อนหน้านี้เมิ่งอี้จะคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตา เสนอการชดใช้ร้อยเท่าพันเท่าออกมา หลินสวินก็ไม่อาจปรานีเพราะเหตุนี้เด็ดขาด

“ยังสู้อยู่หรือ”

อาหูล่องลอยมาจากไกลๆ นางสวมกระโปรงเหลือง ผิวพรรณขาวราวหิมะ ความงามที่มีทั้งกลิ่นอายเซียนและความน่าลุ่มหลงนั้นช่างไร้ที่ติ

หลินสวินพูดสบายๆ “ข้าเพิ่งทะลวงด่านไปไม่นาน การต่อสู้ก่อนหน้านี้ก็เป็นเหมือนหินลับดาบ แค่ช่วยให้ข้าขัดเกลาพลังเล็กน้อยก็เท่านั้น”

อาหูอดหัวเราะไม่ได้ เนตรงามแวววาว อากัปกิริยาชวนลุ่มหลง “คนอย่างเจ้านี่หลงตัวเองทีเดียว“

หลินสวินลูบจมูกป้อยๆ ก่อนพูดอย่างช่วยไม่ได้ “ประเด็นสำคัญคือต่อสู้จนถึงตอนนี้ คนที่สู้เป็นล้วนไม่มีสักคน ข้ายังจะพูดอะไรได้”

อาหูส่ายหน้าพร้อมระบายยิ้ม กลอกตามองหลินสวินปราดหนึ่งค่อยกล่าว “พวกร้ายกาจตัวจริงยังไม่ทันลงมือเลย อย่างเช่นจวนอวี๋เหิง ซวีหลิงคุน ล้วนไม่ใช่พวกง่ายๆ แน่”

หลินสวินร้องอืมคราหนึ่งแล้วตัดสินใจขึ้นไปบนเขา

แม้ว่าเมิ่งอี้จะตายไปแล้ว แต่เหวินฉิงเสวี่ย ผู้หญิงคนนี้ยังมีชีวิตอยู่!

เขาคุนหลุนงามวิจิตรทรงพลัง หินภูเขาและต้นไม้ใบหญ้าบนนั้นเต็มไปด้วยพลังชีวิต ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง ฝนมงคลโปรยปราย

การเดินบนนั้นทำให้คนรู้สึกเล็กจ้อยและสะท้านสะเทือน

พลังผนึกที่คลุมเครือและลึกลับปกคลุมเขาลูกนี้ทั้งเบื้องบนเบื้องล่าง ต่อให้เป็นพวกที่ปราณสูงขนาดไหนก็ได้แต่เดินเท้า ไม่สามารถเหาะเหินได้

นี่มีผลแบบเดียวกับพลังผนึกบนยอดเขาพญามังกร

‘แท่นสักการะเป็นหนึ่งในแดนสามผนึกของแหล่งสถานคุนหลุน เป็นที่รู้จักเรื่องความลึกลับมาตั้งแต่โบราณ’

ระหว่างทางอาหูสื่อจิตอย่างรวดเร็ว ‘ต่อให้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมาไม่มีผู้ฝึกปราณคนใดได้รับนัยเร้นลับแห่งการ ‘บรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์’ แต่จนถึงทุกวันนี้คนใหญ่คนโตบนทางเดินโบราณฟ้าดาราโบราณยังคงเชื่อมั่นยิ่งยวด ว่าบนแท่นสักการะมีศุภโชคสูงสุดเช่นนี้อยู่’

หลินสวินมองดูทิวทัศน์ระหว่างทางพลางกล่าวว่า ‘ศุภโชคระดับบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์ห่างไกลจากพวกเราเกินไป แม้จะสามารถพิสูจน์การมีอยู่ของมันได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าพวกเราในตอนนี้จะสามารถหยั่งถึงได้ ข้าไม่ค่อยสนใจอะไรในสิ่งนี้เท่าใดนัก’

อาหูเห็นด้วยอย่างยิ่ง ‘หลักการข้อนี้ทุกคนล้วนเข้าใจดี ดังนั้นการต่อสู้แห่งแท่นสักการะครั้งนี้ สิ่งที่ดึงดูดคนอย่างแท้จริงกลับเป็นศุภโชคที่เกี่ยวข้องกับการสักการะอริยมรรค’

หลินสวินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าวว่า ‘สักการะอริยมรรคสามารถเปลี่ยนจากอริยะเป็นอริยบุคคลได้ หากมีศุภโชคเช่นนี้จริงก็เพียงพอจะทำให้ใครก็ตามในระดับมกุฎอริยะใจสั่นได้โดยแท้’

อาหูพูดว่า ‘เจ้าไม่ใจสั่นหรือ’

หลินสวินกล่าวว่า ‘ก็แค่อยากรู้อยากเห็นเท่านั้น’

สักการะอริยะมรรคมีอยู่สองวิธี

หนึ่งคือการเข้าสู่สังคม ชี้แนะสอนสั่งสรรพสัตว์ เผยแพร่ปณิธานของตนเอง เป็นที่ศรัทธาเลื่อมใสจากสรรพชีวิต ก็จะได้รับ ‘แรงปรารถนาสรรพชีวิต’ ที่ไม่สิ้นสุด สักการะเป็นอริยบุคคล

อีกหนึ่งคือการปลีกวิเวกออกจากสังคม ใช้มรรคแห่งตนพิสูจน์กับหมื่นมรรคทั้งปวง บุกเบิกมรรคาใหม่ หรือไม่ก็สร้างวิชาที่ไม่เคยรังสรรค์มาก่อนในอดีต ก็จะได้รับ ‘แรงปรารถนามหามรรค’ สักการะเป็นอริยบุคคลจากสิ่งนี้ได้

ตอนนี้ภายในขวดมหามรรคไร้ขอบเขตของหลินสวิน มี ‘พลังแห่งสรรพชีวิต’ ที่ได้มาจากระฆังมหามรรคไร้กฎ

ขณะเดียวกันมรรคาที่หลินสวินเสาะแสวงหา รวมถึง ‘คัมภีร์เตาหลอมมหามรรค’ ที่รังสรรค์ขึ้น ล้วนเรียกได้ว่าเป็นมรรคและวิชาที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต

ด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เขาสามารถใช้ ‘แรงปรารถนามหามรรค’ สักการะเป็นอริยบุคคลได้

ดังนั้นหลินสวินจึงไม่ตื่นเต้นเท่าใดกับวาสนา ‘สักการะอริยมรรค’ เขาแค่อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับ ‘แท่นสักการะ’ ก็เท่านั้น

และเป้าหมายสูงสุดของหลินสวินในการไปที่แท่นสักการะครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับการฆ่าศัตรูเท่านั้น!

เวลาชั่วก้านธูปผ่านไป

กลางไหล่เขา เมื่อมาถึงที่นี่หลินสวินและอาหูมองเห็นป้ายศิลาโบราณที่มีด่างพร้อย อบอวลกลิ่นอายแห่งกาลเวลาที่ไม่เสื่อมสลาย

บนป้ายศิลาเขียนอักษรมรรคดึกดำบรรพ์เอาไว้ว่า ‘เส้นทางสักการะ’!

“พี่หลิน บททดสอบสักการะจะเริ่มจากที่นี่ บนเส้นทางข้างหน้า ทุกขั้นล้วนมีพลังมหามรรคลึกลับกระจายอยู่ มีเพียงคนที่สามารถต่อสู้กับมันได้เท่านั้นจึงจะสามารถก้าวขึ้นไปถึงแท่นสักการะบนยอดเขาได้”

อาหูเผยสีหน้ากระตือรือร้นอยากลอง

ตั้งแต่อดีต ไม่รู้ว่าบุคคลแห่งยุคที่โดดเด่นปราดเปรื่องจำนวนเท่าใดเคยก้าวขึ้นเส้นทางสักการะ ปีนป่ายขึ้นไป และทิ้งเรื่องราวดั่งตำนานมากมายไว้เบื้องหลัง

แต่ผู้ฝึกปราณส่วนที่มากกว่ากลับต้องหยุดชะงักบนเส้นทางแห่งสักการะนี้ ไร้วาสนาจะขึ้นไปบนยอดเขา

นี่คือการทดสอบอย่างหนึ่ง มีเพียงผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงที่โดดเด่นออกมาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสเปลี่ยนจาก ‘อริยะ’ เป็น ‘อริยบุคคล’!

หลินสวินเหลือบสายตามองไปก็เห็นเส้นทางคดเคี้ยว ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง คล้ายหมอกอำพรางแถบหนึ่ง ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน

ถึงขั้นที่แม้แต่เงาคนก็มองไม่เห็น

เห็นได้ชัดว่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่ขึ้นเขาคุนหลุนก่อนหน้านี้ เกรงว่าล้วนกำลังปีนป่ายบนเส้นทางสักการะกันแล้ว

“ตามข่าวลือ รอบๆ แท่นสักการะบนยอดเขา ไม่ว่าผู้สักการะอริยมรรคคนใดก็ตามล้วนมีคุณสมบัติทิ้งศิลามรรคสักการะของตนไว้ได้ และข้าหวังว่าหนึ่งในนั้นจะมีของข้าด้วย!”

ดวงตาของอาหูเป็นประกาย เจือแววปรารถนา

“ศิลามรรคสักการะหรือ”

หลินสวินประหลาดใจ

“ใช่ ศิลามรรคสักการะเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงพลังของอริยะบุคคลอย่างหนึ่ง หากสามารถฝากชื่อไว้บนแท่นสักการะได้ ก็จะสามารถรับพลังแห่งโชควาสนาในเวิ้งฟ้าได้ วิเศษอัศจรรย์อย่างยิ่ง”

อาหูกล่าวต่อ “อีกทั้งเท่าที่ข้ารู้ พลังสูงสุดระดับนั้นมีเฉพาะบนแท่นสักการะนี้เท่านั้น โลกภายนอกไม่สามารถมองเห็นได้ ขอเพียงได้รับพลังพิเศษระดับนี้ช่วยส่งเสริม ภายหน้าเมื่อแจ้งมรรคบรรลุจักรพรรดิก็จะมีประโยชน์อย่างน่าเหลือเชื่อ”

หลินสวินสะท้านสะเทือนทันที

พลังโชควาสนาเวิ้งฟ้าที่สามารถครอบครองได้เฉพาะในแท่นสักการะของแหล่งสถานคุนหลุน ถึงกับมีผลมหัศจรรย์เช่นนี้เชียวหรือ

นี่มันเหลือเชื่อมากจริงๆ!

“เช่นนั้นก็อย่ารอช้า เริ่มเคลื่อนไหวกันเถอะ”

หลินสวินมองออกว่าอาหูชักจะอดรนทนไม่ไหวแล้ว

อาหูสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหว สาวเท้านำหน้า ก้าวผ่าน ‘ป้ายศิลาสักการะ’ ที่ผ่านเวลามาเนิ่นนานป้ายนั้น ขึ้นไปบนขั้นบันไดหินที่ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง

พรึ่บ!

ในชั่วพริบตาร่างของนางก็หายไปในอากาศ และไม่สามารถมองเห็นได้อีก

หลินสวินอดอึ้งไปไม่ได้ ตระหนักได้ว่าเส้นทางสักการะสายนี้ลึกลับกว่าที่เขาคิดจินตนาการเอาไว้หลายโข

“น่าสนใจ…”

หลินสวินไม่ลังเล เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

ตอนที่ร่างของเขาเพิ่งข้ามป้ายศิลาสักการะ เท้ายังไม่ทันแตะถึงพื้น

ทันใดนั้นร่างสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นข้างหลังเขาอย่างเงียบๆ มือชูเหล็กหมาดแหลมคมขึ้นและแทงใส่หลังของหลินสวิน

ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เกิดระลอกคลื่นใดๆ แปลกประหลาดอย่างที่สุด!

แต่เหมือนหลินสวินมีตาอยู่ข้างหลัง ในช่วงเวลาอันตรายหาใดเปรียบนี้ ร่างกายบิดตัวฉับพลัน

พร้อมกันนั้นดาบหักก็พุ่งโฉบออกไป

เคร้ง!

เสียงปะทะสะเทือนหูดังขึ้น ประกายไฟแผ่พุ่ง

เงาร่างสายนั้นสะเทือนถอยห่างออกไปหลายก้าว

คนผู้นี้รูปร่างผอมบาง ดวงตาเป็นสีน้ำตาลแปลกประหลาด ทั่วร่างเต็มไปด้วยหมอกควันสีเทา เป็นซาหลิวชิง ‘ทูตเทพพยากรณ์’ จากสำนักโบราณจรัสเทพนั่นเอง!

“เอ๋!”

เขาแปลกใจเล็กน้อย ราวกับว่าคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะตอบสนองรวดเร็วเช่นนี้

ฮูม!

เกือบจะในเวลาเดียวกัน ดอกบัวสีดำแปลกประหลาดควบรวมที่เหนือหัวหลินสวิน มีลำแสงสีดำเป็นสายๆ ไหลออกมาจากกลางเกสร

ลำแสงเหล่านี้เหมือนปลายเข็มที่เล็กบางประหนึ่งขนวัว เจือประกายที่ชวนให้ผู้คนพรั่นพรึง

หากเป็นคนอื่น ภายใต้สถานการณ์ซุ่มโจมตีจากด้านหลัง แม้ว่าจะสามารถตอบสนองและหลบเลี่ยงทัน เกรงว่าก็คงคิดไม่ถึงว่ากลางห้วงอากาศเหนือหัวจะมีกระบวนสังหารที่น่าสะพรึงกว่าปรากฏขึ้น

แต่หลินสวินดูเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้ว เงาร่างไม่ไหวติง ทำเพียงยื่นมือออกไป ชี้ไปบนฟ้า

ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา… ใกล้ดุจสุดหล้า!

ทันทีที่ชี้ออกไป ลำแสงสีดำเป็นสายๆ นั่นทั้งที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่กลับทำให้ผู้คนรู้สึกเสมือนว่าอยู่ห่างไกลจากหลินสวินประดุจสุดหล้า

ตูม!

ดอกบัวสีดำระเบิดแตก ลำแสงสีดำระฟ้าก็แตกกระจาย

และพร้อมกันนั้นในบริเวณใกล้เคียงก็มีเสียงแปลกใจดังขึ้น “มารนอกรีตนี่คาดเดาไว้อยู่ก่อนแล้วหรือ”

พร้อมกับเสียงนั้น เงาร่างของคูตู้ ภิกษุชุดดำจากแดนกษิติครรภ์ก็ปรากฏขึ้นบริเวณไม่ไกล

“ได้แต่บอกว่า เหยื่อตัวนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมากขึ้นเรื่อยๆ…”

ซาหลิวชิงถอนหายใจเบาๆ แต่สีหน้ากลับไม่มีแววซึมเศร้า

นัยน์ตาดำของหลินสวินลุ่มลึกดุจเหว มองดูพวกร้ายกาจสองคนนี้ที่มาจากขุมอำนาจสามยักษ์ใหญ่ในโลกมืด ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ท่านทั้งสอง ข้าคนแซ่หลินรอพวกเจ้ามานานแล้ว”

ตูม!

ขณะพูดเขาพลันระเบิดพลัง

เงาร่างฉับไวดั่งอสนี ใช้อานุภาพยิ่งยง ดุกร้าวเผด็จการ ปล่อยหมัดกระหน่ำโจมตีไปทางซาหลิวชิง

ซาหลิวชิงระบายยิ้ม เงาร่างกลายเป็นหมอกควันและหายตัวไปจากจุดเดิม

แต่หลินสวินไม่แม้แต่จะมอง หนึ่งหมัดที่ปล่อยออกไปนั้นชูขึ้นทันใด กระแทกเข้ากับห้วงอากาศรอบตัวเขา อานุภาพหนักอึ้งราวกับเทพเซียนยกเขาเข่นฆ่า

ปึง!

ห้วงอากาศแตกระเบิด และในเวลาเดียวกันเงาร่างของซาหลิวชิงก็โซเซถอยไปข้างหลัง ถูกพลังหมัดอันน่าสะพรึงซัดกระเด็น

เขากระอักเลือดดังพรวดคราหนึ่ง ใบหน้าขาวซีด สีหน้าไม่อยากเชื่อ “เจ้าถึงกับมองเห็นร่องรอยของข้าหรือ”

ควรรู้ว่าทูตเทพพยากรณ์อย่างเขา สิ่งที่แต่ละคนถนัดมากที่สุดก็คือวิชาพรางตัว และเพราะอาศัยพรสวรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับนี้ ทำให้พวกเขาดูเหมือนเทพผี ฆ่าคนอย่างไร้สรรพเสียง แปลกประหลาดและน่าสะพรึงที่สุด

แต่ตอนนี้หลินสวินถึงกับคล้ายจะมองเห็นการหลบซ่อนของเขาทั้งหมด!

นี่เท่ากับทำลายความเชื่อมั่นสูงสุดของเขาให้เป็นผุยผง เปิดโปงออกมาอย่างสมบูรณ์

พรึ่บ!

หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด โจมตีครั้งเดียวอยู่หมัด ดาบหักกวาดวาดออกไป ราวกับธารดาราแผ่ขยายออกไปในห้วงอากาศ

ซาหลิวชิงส่งเสียงร้องประหลาดออกมาคราหนึ่ง เงาร่างกลายเป็นหมอกควันหายไปกะทันหัน ถอยหลีกออกไปไกล

เขาถูกหมัดเมื่อครู่นี้ของหลินสวินทำเอาตกใจจริงๆ

“สยบ!”

ไม่ไกลนักคูตู้ลงมือทันเวลา ระฆังสีดำใบใหญ่โฉบออกมา อักษรสันสกฤตบนนั้นแน่นขนัด ปรากฏลักษณ์ประหลาดของเมืองพุทธอันพิสุทธิ์ ปิดครอบไปทางหลินสวิน

หลินสวินสะบัดหมัด ปลดปล่อยพลังน่าสะพรึงราวกับกลืนกินท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น

เคร้ง!

ระฆังใหญ่สีดำส่งเสียงกึกก้องสะท้อนเวิ้งฟ้า สั่นโคลงใกล้ร่วงหล่น

ร่างของคูตู้ที่อยู่ห่างไปไกลยังสั่นเทา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลังของเจ้านอกรีตคนนี้ช่างแข็งแกร่งจนถึงขั้นชวนให้คนสยองยิ่งนัก!

“ไป!”

ซาหลิวชิงตะโกนเสียงดัง

เวลานี้เมื่อร่องรอยเปิดเผย ก็เท่ากับการสูญเสียไพ่ตายที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว และความน่ากลัวของหลินสวินก็ทำให้ซาหลิวชิงตระหนักถึงอันตรายเช่นกัน

ดังนั้นเขาจึงเลือกจะล่าถอย พุ่งพรวดลงจากเขาโดยไม่ลังเลสักนิด

ฮู้ม…

ในเวลาเดียวกันร่างของคูตู้กลายเป็นแสงธรรมสีดำและพุ่งออกไปราวกับกระแสน้ำหลาก

หลินสวินหยุดฝีเท้า ไม่ได้เปลืองแรงไปสกัดกั้น ด้วยไม่จำเป็นสักนิด เพราะเขารู้ดียิ่งว่าหากสองคนนี้ไม่ฆ่าตนให้ตาย ก็ไม่มีวันเลิกราง่ายๆ เด็ดขาด

“ข้าคนแซ่หลินจะอยู่ข้างบนนี้ รอให้ทั้งสองท่านมาเยือนอีกครั้ง”

หลินสวินชี้ไปที่ด้านบนสุดของเขาคุนหลุน และหันตัวออกเดินทางบนเส้นทางสักการะ