ท่ามกลางแสงสนธยา อยู่ดีๆ อู๋ซวงเจี้ยงก็เอ่ยว่าต้องไปแล้ว
โยนกระบี่ยาวเย่โหยวให้เฉินผิงอัน ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็สามารถหลอมมันสำเร็จแล้ว
เฉินผิงอันรับเย่โหยวมา แข็งใจทำหน้าหนาขอเทียบอักษรแผ่นหนึ่งมาจากอู๋ซวงเจี้ยง
ในใต้หล้ามืดสลัว ผู้คนล้วนให้การยอมรับว่าตัวอักษรที่ผู้ฝึกตนของตำหนักสุ้ยฉูเขียนสามารถขับไล่ผีได้ แขวนตัวอักษรเหมือนแขวนยันต์ ถึงขั้นที่ว่ายังใช้ได้ผลดียิ่งกว่า แน่นอนว่าเฉินผิงอันไม่อยากอาศัยตัวอักษรของอู๋ซวงเจี้ยงมาทำเรื่องจำพวกขับไล่ผีปัดเป่าเสนียดจัญไรอะไร นั่นเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรฟ้ามากเกินไป เก็บเอาไว้เป็นที่ระลึกจากการเดินทางมาเยือนเรือราตรี วันหน้าแขวนไว้ในห้องหนังสือของภูเขาลั่วพั่วบ้านตน หากมีแขกมาเยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะเป็นใครก็คงต้องถามว่าเป็นของจริงหรือของปลอมไม่ใช่หรือ?
อู๋ซวงเจี้ยงตอบตกลง เฉินผิงอันจึงหยิบพู่กัน กระดาษและหมึกออกมาในห้องโถงใหญ่ หมี่ลี่น้อยเก็บกวาดโต๊ะเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปูกระดาษเซวียนจื่อ ค้อมตัวลงบนโต๊ะฝนหมึกให้
อู๋ซวงเจี้ยงมองพู่กันและก้อนหมึกที่เป็นวัตถุธรรมดาทั่วไปล่างภูเขาก็คล้ายว่าจะไม่มีอารมณ์เขียนตัวอักษร เฉินผิงอันจึงเอ่ยอย่างจนใจว่า “บนร่างของข้ามีแต่เจ้าพวกนี้แล้ว ผู้อาวุโสช่วยถูไถใช้ไปก่อนได้ไหม?”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ภูเขาลั่วพั่วขายหน้าเช่นนี้ได้ แต่ข้าผู้แซ่อู๋กลับขายหน้าไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถิด”
เฉินผิงอันรีบพูด “ถ้าอย่างนั้นให้ผู้เยาว์ไปขอสี่สมบัติในห้องหนังสือมาจากหลี่สือหลางก่อนดีไหม?”
อู๋ซวงเจี้ยงเหลือบตามองสีท้องฟ้าด้านนอก ส่ายหน้าเอ่ย “จะให้เสี่ยวป๋ายรอนานไม่ได้”
หมี่ลี่น้อยที่ยังคงฝนก้อนหมึกร้อนใจจนยกมือเกาแก้ม เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “อาจารย์อู๋ อาจารย์อู๋ เขียนตัวอักษรง่ายๆ แค่ไม่กี่ตัวได้หรือไม่? พวกเราอยู่นอกบ้าน เดินทางท่องยุทธภพ พิถีพิถันไม่สู้ถูไถให้ผ่านไปนะ”
อู๋ซวงเจี้ยงคิดแล้วก็พยักหน้า “มีเหตุผล”
อู๋ซวงเจี้ยงหยิบข้าวของในห้องหนังสือที่พกติดตัวออกมาจากชายแขนเสื้อของตัวเอง กางกระดาษจดหมายไฉ่อวิ๋นแผ่นหนึ่ง หยิบพู่กันที่ด้ามทำมาจากไผ่เขียวออกมาด้ามหนึ่ง บนพู่กันแกะสลักตัวอักษรตัวเล็กหนึ่งแถว ‘ในใจมีไผ่เขียวขจีหมื่นลี้’ แท่นฝนหมึกอันหนึ่ง ด้านข้างของแท่นฝนหมึกสลักคำว่าถ้ำเทพเซียน บนแท่นฝนหมึกโบราณมีชือหลงเล็กจิ๋วคู่หนึ่งนอนขดกาย อู๋ซวงเจี้ยงใช้ด้ามพู่กันเคาะหัวชือหลงเบาๆ ชือหลงสองตัวก็ลืมตาสีทองคู่นั้นขึ้นทันที ด้านในแท่นฝนหมึกโบราณพลันมีริ้วคลื่นสีทองชั้นหนึ่งกระเพื่อมขึ้น อู๋ซวงเจี้ยงจุ่มน้ำหมึกแล้วก็ใช้ปลายพู่กันที่เป็นสีเหลืองทองวาดเทียบอักษรลายมือแบบหวัดที่พอจะถือว่าเป็น ‘เทียบ ณ ขณะนั้น’ ขึ้นมา
“ณ ขณะนั้นมิอาจได้ดังใจหวัง ไม่เชื่อว่าบนโลกจะมีคนที่เสียใจจนผมขาว ยามดึกดวงตะวันลอยกลางนภา ทางที่ดีอย่านั่งมองจันทร์อย่างเดียวดาย นอกหน้าต่างดอกเหมยผลิบานชั่วข้ามคืน สงสัยว่าคนที่คิดถึงมายืนอยู่ตรงหน้า”
สุดท้ายบนเทียบอักษรทั้งสามแผ่นนี้ก็แยกกันประทับตราประทับส่วนตัวของอู่ซวงเจี้ยงสองแผ่น และตราลงนามหนึ่งแผ่น
บัณฑิตบนหลังม้า บัญชาทัพนับล้าน มนุษย์และตำราล้วนเสื่อมชราไปตามเวลา ใจเหมือนดอกบัวเขียวบนโลก
เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านข้าง สองมือถูกันเบาๆ เอ่ยอย่างสะท้อนใจไม่หยุด “ผู้อาวุโสมีตัวอักษรที่ดีขนาดนี้ ไม่เขียนกลอนคู่อีกสักบทก็ช่างน่าเสียดายจริงๆ เรื่องดีต้องมากันเป็นคู่ ต้องพิถีพิถันสักหน่อย”
อู๋ซวงเจี้ยงคลี่ยิ้ม บนโต๊ะปรากฎกระดาษเขียนกลอนคู่สองแผ่นที่ทำจากวัสดุว่านเหนียนหงของตำหนักสุ้ยฉู บนกลอนคู่ทุกแผ่นจะต้องมีภาพมังกรสีทองขดตัวอยู่เจ็ดจุด คล้ายกับกำลังรอคอยเตรียมพร้อมอยู่เสมอ รอแค่ให้จรดพู่กันเขียนตัวอักษรเท่านั้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังหยิบกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งออกมาจากในชายแขนเสื้อ หลังเปิดออกแล้วก็เห็นว่ามีตลับกระเบื้องเล็กๆ เจ็ดสีวางเรียงกันอยู่ คือโคลนเจ็ดสมบัติที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าของตำหนักสุ้ยฉู อวี๋โฉวราชาบนภูเขาเคยได้รับโชควาสนายิ่งใหญ่ครั้งหนึ่งมาจากซากปรักจวนเซียน จึงย้ายภูเขาโบราณลูกนั้นมาที่สำนัก หลังจากที่ภูเขาหยั่งรากลงดินแล้วภาพปรากฎการณ์ผิดปกติก็พลันเกิดขึ้น มักจะมีทัศนียภาพที่ผงชาดเหมือนเมฆหลากสีล่องลอยเกิดขึ้นเป็นประจำ หลังจากเซียนเหรินหลอมเม็ดทรายที่ถูกลมพัดปลิวปราย รวบรวมครบเจ็ดสีก็จะกลายเป็นโคลนเจ็ดสมบัติ มีคำกล่าวว่าโคลนหลากสีหนึ่งตำลึงเงินฝนธัญพืชหนึ่งจิน
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย เขียนกลอนคู่คงไม่มีข้อพิถีพิถันเรื่องตัวอักษรเจ็ดสีด้วยกระมัง? เพียงแต่ว่าเขาไม่กล้าถามมาก กลัวว่าหากถามไป เป็ดที่ต้มสุกแล้วอาจจะบินหนีไปได้
อู๋ซวงเจี้ยงเองก็ไม่อธิบายอะไร ใช้พู่กันแต้มชาดสมบัติเจ็ดสีเขียนอักษรลงบนกระดาษกลอนคู่สองแผ่น แผ่นละเจ็ดคำ ใช้พู่กันเก่ากองกันเป็นภูเขาก็ยังไม่เสียดาย ผู้ที่ฝึกเขียนพู่กันจีนต้องอ่านตำราให้มาก อ่านตำรามากตัวอักษรจึงจะมีท่วงทำนอง
อู่ซวงเจี้ยงเป่าลมใส่กลอนคู่เบาๆ เจียวหลงสีทองสิบสี่ตัวของกลอนคู่หนึ่งคู่เหมือนถูกแต้มนัยน์ตา จึงเลื้อยช้าๆ เป็นวงกลมหนึ่งรอบแล้วหยุดนิ่งไม่ขยับอีก
บทกวีของซูจื่อ คำกลอนของอู๋ซวงเจี้ยง
ถือโอกาสเอาเปรียบคนหนุ่มข้างกายที่ขอร้องเขาไปเล็กน้อย
เฉินผิงอันที่ต้องกลายมาเป็นหลานชายเปล่าๆ ครั้งหนึ่งไม่ขัดเคืองใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ไม่รู้เลยสักนิดว่ามีเรื่องราวเช่นนั้นอยู่ด้วย
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มกล่าว “ก็ถือเสียว่าเป็นการอวยพรล่วงหน้าให้สำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วก่อตั้งสำเร็จ สามารถเอาไปแขวนเป็นคำขวัญหน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ได้ ตัวอักษรบนคำขวัญจะเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา กลางวันตัวอักษรดำ กลางคืนตัวอักษรขาว ขาวดำแบ่งแยกชัดเจน ส่วนระดับขั้นน่ะหรือ ไม่ต่ำ หากแขวนไว้บนประตูของยอดเขาจี้เซ่อภูเขาลั่วพั่วก็มากพอจะให้พวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำอย่างซานจวินเว่ยป้อหรือพวกภูตผีทั้งหลายหยุดเท้าอยู่นอกประตู ไม่กล้าก้าวข้ามเส้นไปแม้แต่ครึ่งก้าว แต่เจ้าต้องรับปากข้าเรื่องหนึ่ง เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจ อีกทั้งความผิดนั้นยังยากจะแก้ไข เจ้าจำเป็นต้องปลดกลอนคู่นี้ลง”
เฉินผิงอันถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะเจ้าตำหนักสุ้ยฉูที่ยิ้มเอ่ยประโยคว่า ‘เคยมีหวังที่จะได้หลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตหนึ่งถึงสองตัว’ ผู้นี้
อู๋ซวงเจี้ยงโบกมือ เพียงแค่เก็บตราประทับพวกนั้นมา หันหน้าไปยิ้มเอ่ยกับแม่นางน้อยชุดดำ “หมี่ลี่น้อย ของใช้ในห้องหนังสือที่เหลือบนโต๊ะล้วนมอบให้เจ้าทั้งหมด ถือว่าเป็นของขวัญตอบแทนปลาตากแห้งและเมล็ดแตงของเจ้าแล้วกัน ส่วนวันหน้าเจ้าจะเอาไปมอบให้ใคร ข้าก็ไม่มีความเห็น”
โจวหมี่ลี่รีบโบกมืออย่างแรง “ไม่ได้นะ ไม่ได้นะ ปลาตากแห้งและเมล็ดแตงล้วนไม่เก็บเงิน”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ หันกายจากไป ก้าวยาวๆ ข้ามผ่านธรณีประตู หมี่ลี่น้อยวิ่งตะบึงออกไป ไล่ตามอาจารย์อู๋ผู้นั้น ควักปลาตากแห้งสองถุงออกมาจากในชายแขนเสื้อ เกาแก้มพูดด้วยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย “อาจารย์อู๋ อาจารย์อู๋ เหลือแค่นี้แล้ว ล้วนยกให้ท่านก็แล้วกัน อย่ารังเกียจว่าน้อยเลยนะ หากรังเกียจจริงๆ ก็ไม่เป็นไร วันหน้าไปเป็นแขกที่บ้านข้ารับรองว่ามีมากพอเลยล่ะ”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มรับปลาลำธารตากแห้งสองถุงนั้นมา เอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ ตบศีรษะของแม่นางน้อยเบาๆ แล้วจากไป เพียงแค่ก้าวเดียวของอู๋ซวงเจี้ยงก็ไปจากนครเถียวมู่ได้แล้ว
หมี่ลี่น้อยโบกมือ ยืนมองอยู่นอกประตูที่เดิมนานมาก นางถอนหายใจ รู้สึกอิจฉาในตบะของอาจารย์อู๋ผู้นี้เล็กน้อย ไม่ต้องทะยานลมเดินทางไกล สวบทีเดียวก็หายไปไม่เหลือร่องรอยแล้ว แบบนั้นจะไม่ใช่ขอบเขตเทพเซียนที่อย่างน้อยก็ต้องเป็นโอสถทองหรอกหรือ?! อ๋า คิดอะไรน่ะ เซียนดินจะพอได้อย่างไร ไม่แน่ว่าอาจเป็นขอบเขตหยกดิบในตำราก็ได้นะ เฮ้อ ขอบเขตสูงขนาดนี้ สูงเหมือนเว่ยซานจวินแล้ว อาจารย์อู๋อยู่ที่บ้านเกิดต้องจัดงานเลี้ยงท่องราตรีกี่ครั้งกันนะ? มิน่าเล่ายามมอบของขวัญให้คนอื่นจึงไม่แม้แต่จะกะพริบตาสักครั้ง ใจกว้าง มือเติบ ท่องอยู่ในยุทธภพก็ควรต้องเป็นเช่นนี้ แม่นางน้อยท่าทางซื่อๆ ที่เจอกันโดยบังเอิญที่ทะเลสาบคนใบ้ผู้นั้น นิสัยไม่เลวร้าย ก็แค่ว่าผมยาวความรู้สั้น เงินฝนธัญพืชเหรียญเดียวก็ขายภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ได้แล้ว
หมี่ลี่น้อยเดินอาดๆ กลับมานั่งข้างโต๊ะใหญ่ เฉินผิงอันเก็บเทียบตัวอักษรและกลอนคู่ใส่ลงไปไว้ในวัตถุฟางชุ่น ยิ้มเอ่ยกับหมี่ลี่น้อยว่า “แท่นฝนหมึกโบราณ พู่กันไผ่เขียว โคลนเจ็ดสมบัติ ของสามอย่างนี้ล้วนให้เผยเฉียนเก็บรักษาไว้ให้เจ้าก่อน”
หมี่ลี่น้อยอึ้งตะลึงไป แม่นางน้อยเหลือบมองข้าวของที่อยู่บนโต๊ะ “แต่ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้วนะว่าจะมอบให้ใครบ้าง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ต้องมอบให้ใคร เจ้าเก็บไว้ให้ดีก็พอแล้ว วันหน้ากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วก็อย่าทิ้งขว้างส่งเดชเสียล่ะ”
หมี่ลี่น้อยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แรกเริ่มข้าคิดว่าจะยกให้ฮูหยินเจ้าขุนเขาทั้งหมด หากฮูหยินเจ้าขุนเขาไม่รับไว้ ข้าก็ไม่มีความกล้าที่จะยืนหยัดให้ถึงที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้นพอข้ากลับไปถึงบ้านก็จะมอบโคลนเจ็ดสีให้พี่หญิงหน่วนซู่ นางชอบจดบันทึกทุกวันนี่นะ เอาแท่นฝนหมึกโบราณมอบให้จิ่งชิง จากนั้นค่อยมอบพู่กันไผ่เขียวให้เว่ยซานจวิน ภูเขาพีอวิ๋นมีป่าไผ่อยู่แถบหนึ่งไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่าพ่อครัวเฒ่ากับเผยเฉียนเป็นอะไรกัน ถึงได้บอกให้ข้าแอบไปนับอย่างละเอียดว่าที่นั่นมีต้นไผ่กี่ต้น ข้าก็เลยคิดว่าหากเว่ยซานจวินรับของขวัญไปแล้วอารมณ์ดี ไม่แน่ก็อาจจะมอบต้นไผ่ให้ข้าเปล่าๆ ต้นหนึ่งนะ”
หนิงเหยากลั้นยิ้ม ลูบศีรษะของหมี่ลี่น้อย
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น ถึงอย่างไรขอแค่อาจารย์พ่อถามก็จะผลักไปให้พ่อครัวเฒ่าทั้งหมด
ส่วนเฉินผิงอันกลับรู้สึกกระวนกระวายใจอย่างที่หาได้ยาก ไม่รู้ว่าตอนที่หมี่ลี่น้อยไปเดินเที่ยวป่าไผ่แล้วตั้งใจชี้นิ้วนับต้นไผ่ทั้งหลายอย่างจริงจัง เว่ยซานจวินจะคิดอย่างไร?
เด็กชายผมขาวคนหนึ่งยื่นหัวโผล่มาจากมุมของระเบียง ถามว่า “บรรพบุรุษอิ่นกวาน คนผู้นั้นล่ะ? ไปแล้วหรือยัง? พวกเจ้าคุยกันเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ไปจากนครเถียวมู่แล้ว คุยกันได้ไม่เลว ไม่ต้องให้เจ้าลงมือ”
เด็กชายผมขาวหัวเราะฮ่าๆ สองมือเท้าเอวฉับ ยักไหล่เดินก้าวยาวๆ มาที่โต๊ะ “บรรพบุรุษอิ่นกวานไร้ศัตรูเทียมทานจริงเสียด้วย ไม่ให้ข้ามีโอกาสได้แสดงจิตใจที่จงรักภักดีเลยด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นขอแค่ข้าได้ทุ่มสุดกำลังความสามารถอันน้อยนิดที่มี ก็จะต้องร่วมมือกับบรรพบุรุษอิ่นกวานโจมตีให้ศัตรูล่าถอยไปได้แน่! น่าเสียดาย น่าเสียดาย เจ็บใจนัก เจ็บใจนัก!”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเชิญเขากลับมานะ?”
เด็กชายผมขาวเข่าอ่อนยวบทันใด ต้องยื่นมือไปประคองหน้าโต๊ะเอาไว้ พูดเสียงสั่นว่า “ข้าว่าคงไม่มีความจำเป็นหรอกกระมัง ถึงอย่างไรเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับยากนะ”
ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ได้พบเจออู๋ซวงเจี้ยง พูดคุยกับเผยเฉียนอยู่ดีๆ ก็เหมือนตกเข้าไปในเมฆหมอก พอออกจากสิ่งอำพรางตามาได้ อู๋ซวงเจี้ยงก็ไม่อยู่แล้ว สิ่งที่ไม่อยู่ไปพร้อมกันยังมีขอบเขตของเทวบุตรมารนอกโลกอย่างมันด้วย ยามนี้จึงปรากฏตัวอยู่บนโลกด้วยสถานะที่คล้ายคลึงกับ ‘คนไร้ขอบเขต’
เฉินผิงอันหันมามองแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ไปคุยกันในห้อง”
เดินกลับเข้ามาในห้องของเฉินผิงอันด้วยกัน เฉินผิงอันก็หยิบเทียบตัวอักษรเทียบนั้นออกมา “น่าจะเป็นผู้อาวุโสที่หวังให้ข้านำมาส่งต่อให้เจ้า”
เด็กชายผมขาวพยักหน้า มันเพิ่งจะรับมา ตัวอักษรบนตราประทับสองชิ้นที่อยู่บนเทียบอักษรอย่างประโยคว่า ‘บัณฑิตบนหลังม้า บัญชาทัพนับล้าน’ และ ‘มนุษย์และตำราล้วนเสื่อมชราไปตามเวลา’ ตัวอักษรทั้งหมดสิบสามคำพลันหม่นแสงไปในทันที
สีหน้าของมันซับซ้อน ได้แต่เหม่อลอยไร้คำพูด
เฉินผิงอันก็ยิ่งหยิบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ออกมาดื่มระงับความตกใจ
วิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนหนึ่งช่างไร้เหตุผลจริงๆ
มันสะบัดหน้าแรงๆ เพียงไม่นานสีหน้าก็กลับคืนมาเป็นปกติ มองวัตถุมายาที่เฉินผิงอันได้มาในนครเถียวมู่ หยิบอ่างกระเบื้องเซียนน้ำใบนั้นขึ้นมา พลิกดูหนึ่งทีก็พ่นเสียงออกจากจมูก โยนไว้บนโต๊ะอย่างไม่ใส่ใจ หมี่ลี่น้อยรีบกระโจนมาข้างหน้า ใช้สองมือจับประคองเอาไว้ ย้ายมาไว้ข้างกายตัวเอง เป่าลมใส่อ่างกระเบื้องใบน้อยเบาๆ ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดถู
เด็กชายผมขาวใช้สองมือย้ายกระถางดอกไม้สามวานรงมจันทร์ที่หลอมจากเหล็กชิ้นนั้นมา ผงกศีรษะเบาๆ เอ่ยว่า “หากเป็นของจริงก็นับว่าพอถูไถ”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เด็กชายผมขาวเอ่ย “ทุกๆ ค่ำคืนที่มีแสงจันทร์เพียงเอาของชิ้นนี้ออกมาตากแสงจันทร์ ก็สามารถรวบรวมแก่นดวงจันทร์ไว้ได้ มันจะค่อยๆ ฟูมฟักออกมาเป็นแก่นวิญญาณลักษณะคล้ายคลึงกับ ‘ภูตพิทักษ์บุปผา’ ตนหนึ่ง หากผู้ฝึกตนโชคดีอีกสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะกลายเป็นซือฟานเว่ยของศาลเทพบุปผาตนหนึ่งที่ทำหน้าที่ดูแลดอกไม้บางประเภท หากปักดอกไม้ไว้ในนี้ กุ้ยฮวาจะดีเยี่ยมที่สุด ถานฮวารองลงมา โบตั๋นก็รองลงมาอีก พวกภูตทั้งหลายในใต้หล้าที่ต้องกราบไหว้ดวงจันทร์เพื่อหลอมเรือนกาย ไม่ว่าขอบเขตจะสูงแค่ไหนก็ต้องยินดีจ่ายราคาสูงอย่างแน่นอน มีของชิ้นนี้แล้วก็สามารถลดทอนปัญหาไปได้มากมาย เอาไปยังพื้นที่มงคลร้อยบุปผาอะไรนั่นก็ยิ่งสามารถตามหาเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลหรือเทพบุปาทั้งหลายแล้วขายราคาเทียมฟ้าได้ง่ายๆ เลย”
เด็กชายผมขาวเอ่ยอย่างคลางแคลง “พอพูดถึงพื้นที่มงคลร้อยบุปผานี้ ทำไมบรรพบุรุษอิ่นกวานถึงทำสีหน้าราวกับว่าไม่เคยได้ยิน ไม่มีความสนใจเลยล่ะ? ปีนั้นตอนที่อยู่ใต้ค้างองุ่นสถานที่ฝึกตนของสิงกวานในคุก พวกถ้วยเทพีบุปผาเหล่านั้น บรรพบุรุษอิ่นกวานมองสองตาเปล่งประกาย เดี๋ยวลูบเดี๋ยวคลำ ตอนนั้นข้ายังนึกว่าหากตัวเองเป็นเจ้าแห่งบุปผาของพื้นที่มงคลคงจะต้องกังวลว่าวันใดอาณาเขตบ้านของตัวเองจะฟ้าสูงสามฉื่อ (เปรียบเปรยว่าสถานที่เล็กคับแคบ) หรือไม่”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สถานที่แห่งใดที่มีเงินในใต้หล้านี้ ก็ล้วนต้องมีร้านผ้าห่อบุญ”
เด็กชายผมขาวร้องอ้อหนึ่งที หยิบที่ทับกระดาษไม้อูมู่ที่ด้านล่างมีคำว่า ‘ซูเย่’ เขียนอยู่ ถามว่า “คิดไม่ถึงว่าบรรพบุรุษอิ่นกวานก็เป็นนักดีดพิณท่านหนึ่งด้วย? มากความสามารถจริงๆ …”
เฉินผิงอันวางน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ในมือลง ถามว่า “เจ้าสามารถเขียนตำรากว่างหลิงหยุดหายใจฉบับสมบูรณ์ออกมาได้หรือไม่?”
มันพยักหน้า “นี่จะไปยากอะไร”
อู๋ซวงเจี้ยงเจ้าตำหนักอารามสุ้ยฉูคือคนมากความสามารถที่ขึ้นชื่อในใต้หล้ามืดสลัว บทกวี บทเพลง พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ไม่มีอะไรที่เขาไม่เชี่ยวชาญ
ในฐานะจิตมารของอู๋ซวงเจี้ยง นอกจากวิธีการโจมตีบางอย่างที่เป็นท่าไม้ตายซึ่งถูกอู๋ซวงเจี้ยงร่ายตราผนึกไว้อย่างแน่นหนาแล้ว เรื่องอื่นๆ ที่อู๋ซวงเจี้ยงทำเป็น อันที่จริงมันก็ทำเป็นเช่นเดียวกัน
เด็กชายผมขาวชี้ไปที่ความว่างเปล่า เขียนตำรารวบรวมและวิเคราะห์ทำนองเพลงฉบับสมบูรณ์ที่หายสาบสูญไปนานแล้วของใต้หล้าไพศาลออกมา เฉินผิงอันคัดลอกลงบนกระดาษ
มันอ้าปากหาว ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “บรรพบุรุษอิ่นกวานมีผลเก็บเกี่ยวน้อยนิดแค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เผยเฉียนสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่แทะเมล็ดแตงต่อ
โจวหมี่ลี่โบกมืออย่างแรง “ไม่มีแล้ว ไม่มีแล้วจริงๆ!”
——