บทที่ 782.3 รวมตัวกันครบถ้วน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตรงริมตลิ่งของแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในช่วงน้ำแห้งขอด พวกเขาได้เห็นหน้าผาแกะสลักใต้น้ำที่โผล่ออกมาพอดี เปี่ยมไปด้วยความเก่าแก่โบราณ วังมังกรตั้งอยู่ในจุดลึก

ในร้านเหล้าแห่งหนึ่งได้เจอกับคนหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเป็นเด็กหนุ่มเหนือคน กำลังยกพู่กันเขียนตัวอักษรลงบนกำแพง และยังมีลูกจ้างหนุ่มคนหนึ่งที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พึมพำแผ่วเบาว่า อยากถามว่ากระบี่เก่ายามยากจนนั้นอยู่ที่ใด ด้านนอกร้านมีชายร่างสูงใหญ่ที่หน้าอกมันเลื่อมคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองไกลๆ ไปยังเด็กสาวร่าเริงคนหนึ่งที่เขย่งปลายเท้าหมุนตัวเหวี่ยงกระโปรงเบาๆ คิ้วตาของนางเรียวบาง บุรุษรู้สึกว่าปีนี้ก็คือนางแล้ว ไม่เสียแรงที่ตนขายตำราที่มีมากมายถึงสี่แสนสี่หมื่นตัวอักษรไป ทั้งในตำราและนอกตำราล้วนมีสาวงามดุจหยก

เด็กชายผมขาวที่กำลังตบโต๊ะโหวกเหวกว่าจะดื่มสุราชั้นดีปิดปากฉับทันที

เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน เดินออกมานอกร้านเหล้า แหงนหน้ามองม่านฟ้า

ตรงสระบัวของนครหรงเม่าแห่งนั้น คนสองคนที่ไปเยือนนครเซิงเซ่อมาก่อนได้แหวกพันธนาการภูเขาสายน้ำออก แล้วมาปรากฎตัวในที่แห่งนี้โดยตรง

อู๋ซวงเจี้ยง ข้างกายคือเถ้าแก่หนุ่มของโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยภูเขาห้อยหัวคนนั้น

ในศาลา สิงกวานนั่งอยู่เพียงลำพัง

ตู้ซานอินลูกศิษย์ผู้สืบทอดและสาวใช้จี๋ชิงต่างก็ไม่อยู่ที่นี่

ดูเหมือนว่าเซียนกระบี่จะกำลังรอคอยผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จากตำหนักสุ้ยฉูผู้นี้อยู่

อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เสี่ยวป๋าย เจ้าไปเดินเล่นที่อื่นก่อนเถอะ”

ป๋ายลั่วคนเฝ้าปีตำหนักสุ้ยฉูพยักหน้ายิ้มรับ “ใต้เท้าสิงกวานไม่ได้มีฟ้าดินเล็กมากมายขนาดนั้นมาคอยช่วยปกปิดขอบเขตสิบสี่ให้เจ้าหรอกนะ”

อู๋ซวงเจี้ยงกล่าว “ก็แค่ต่อสู้กับสิงกวานเท่านั้น ไม่ใช่อิ่นกวาน ไม่จำเป็นต้องใช้ขอบเขตสิบสี่”

ป๋ายลั่วจากไปแล้ว

อู๋ซวงเจี้ยงก็เอาสองมือไพล่หลัง เดินเนิบช้าไปเบื้องหน้า กระบี่เซียนจำลองสี่เล่มพากันออกมาจากชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ย “บุปผาผลิบานในกรง”

วิชาอภินิหารกระบี่จำลองนกในกรง วิชาอภินิหารกระบี่จำลองจันทร์ในบ่อ บวกกับคาถาคำว่า ‘บุปผาผลิบาน’

ระหว่างฟ้าดินล้วนมีแต่อู๋ซวงเจี้ยง ล้วนมีแต่กระบี่จำลองกระบี่เซียน

ส่วนเหตุใดวันนี้ต้องมาตีกัน เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง ตอนที่คู่รักในใจของอู๋ซวงเจี้ยงอยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดูเหมือนว่าจะถูกสิงกวานผู้นี้ใช้กระบี่บินไล่ฆ่าอยู่เป็นประจำ

ครู่หนึ่งต่อมา

เรือราตรีถูกแสงกระบี่ฟันออกเป็นสองส่วน

เวลาเดียวกันนั้นในใจของเฉินผิงอันก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ช่วยมาที่ศาลบุ๋นสักรอบได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ใช่หลี่เซิ่งหรือไม่?”

หลังจากได้รับคำตอบยืนยันแล้ว เฉินผิงอันก็ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “รบกวนหลี่เซิ่งแล้ว”

……

ตอนนั้นหลังจากที่อาเหลียงไปจากลานกว้างศาลบุ๋นก็คล้ายว่าจะกลายร่างเป็นรุ้งยาวเดินทางไกล แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับแอบไปเยือนพื้นที่ต้องห้ามแห่งหนึ่งในสวนกงเต๋อ พูดดีก็แล้วพูดขู่ก็แล้ว จะดีจะชั่วก็ไม่ต้องกินน้ำแกงปิดประตูจากอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งบูชา แต่สุดท้ายก็ยังต้องเอาคุณความชอบครั้งหนึ่งไปแลกเปลี่ยนอยู่ดี ถึงได้พบกับจอมยุทธเคราดกผู้นั้น บอกว่าเป็นพื้นที่ต้องห้าม แต่กลับไม่มีตราผนึกค่ายกลใดๆ ถึงขั้นที่ว่าไม่มีใครมาควบคุมดูแล เป็นเพียงแค่พื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่งเท่านั้น ภูเขาเขียวน้ำใส หลิวชากำลังนั่งยองอยู่ริมน้ำ ในมือถือคันเบ็ดตกปลา

อาเหลียงเดินมาอยู่ข้างกายหลิวชา ไม่พูดอะไร หลิวชาก็ไม่เปิดปาก อาเหลียงทอดถอนใจอยู่พักหนึ่งก็ส่ายหน้า ขยับไปอยู่ด้านหลังหลิวชาแล้วถีบเข้าที่ก้นของมือกระบี่ผู้นี้ด้วยแรงที่ไม่เบา หลิวชาเกือบจะหน้าทิ่ม เพียงแต่ว่ายังคงใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งถือคันเบ็ด มืออีกข้างยันพื้น ไม่ถึงกับหน้าคะมำ กลับมานั่งยองเหมือนเดิมอีกครั้ง บนใบหน้าของชายฉกรรจ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์แม้แต่น้อย

อาเหลียงยืนท่าไก่ทองขาเดียว ยกขาข้างหนึ่งขึ้นมา ใช้มือขยี้ปลายเท้า โอดครวญไม่หยุดว่าเหตุใดใต้หล้าถึงมีคนที่ก้นแข็งปานเหล็กแบบนี้ได้

กระโดดดึ๋งๆ ขาเดียวมาอยู่ข้างกายหลิวชา นั่งแปะลงกับพื้น ขยับขานั่งขัดสมาธิ เด็ดหญ้าต้นหนึ่งมาปัดเศษดินออกแล้วคาบไว้ในปาก เคี้ยวต้นหญ้าช้าๆ พูดเสียงอู้อี้ว่า “พี่หลิว ทางฝั่งศาลบุ๋นว่าอย่างไร?”

หลิวชาเอ่ย “หลี่เซิ่งแค่บอกให้ข้าอยู่ที่นี่ ไม่ได้พูดเรื่องอื่น”

“สามารถออกกระบี่ให้ป๋ายเหย่ได้ ร้ายกาจ ร้ายกาจ”

“แม่ทัพผู้พ่ายแพ้มิกล้าเอ่ยถ้อยคำห้าวหาญ”

เกราะทองทวีปเคยมีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่ฉายม้วนภาพเดียวซ้ำไปซ้ำมา ก็คือภาพที่หลิวชาเงื้อกระบี่ฟันป๋ายเหย่

ถูกพวกสอดรู้สอดเห็นใช้เวทลับบนภูเขาคัดลอกเอาไว้ ดังนั้นทุกครั้งที่ม้วนภาพเปิดออก รอกระทั่งมือกระบี่เคราดกปรากฎตัว ก่อนที่จะปล่อยกระบี่นั้นออกไป คนที่มองดูอยู่ก็มักจะอดตะโกนเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตกตะลึงไม่ได้ หลิวชา!

นานวันเข้า ‘หลิวชา’ ที่เดิมทีเป็นแค่ชื่อจึงค่อยๆ กลายมาเป็นคำกล่าวที่มีความหมายถึงความทึ่งตะลึง คล้ายคำพูดติดปาก อักษรสองคำ คำพูดคำเดียว แต่กลับซุกซ่อนความหมายไว้มากมาย

ส่วนเวทกระบี่ของตัวหลิวชาเอง โดยเฉพาะบทกลอนทั้งหลายของเขา กลับกลายเป็นว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบชื่อที่เป็นดั่งฟ้าผ่าสะเทือนหูนี้ได้ติด ถึงขั้นที่ว่าทุกวันนี้ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สองคำว่าหลิวชานี้ยังมีแนวโน้มว่าแม้แต่เด็ก สตรีและคนชราล่างภูเขาต่างก็รับรู้กันหมดแล้ว

เวลานี้อาเหลียงยกสองมือกุมหัว ทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง พูดเสียงเบาว่า “หากรู้แต่แรกว่าจะมีเรื่องแบบนี้ ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ข้าฆ่าเจ้าให้ตายไปเลยยังดีกว่า”

นี่กลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่หลิวชาใช้กระบี่สังหารป๋ายเหย่ แต่เป็นที่ริมกุยซวี ถูกเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ขัดขวางเอาไว้

และเฉินฉุนอันผู้รอบรู้ก็ถูกชะตากับอาเหลียงอย่างมาก แน่นอนว่าเรื่องของการถูกชะตานี้ ก็อาจเป็นแค่อาเหลียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น

หลิวชาเอ่ยว่า “อย่าเอาเรื่องการแลกชีวิตมาพูดเสียน่าฟังขนาดนั้น”

จับคู่เข่นฆ่ากับอาเหลียง จุดจบย่อมหนีไม่พ้นต้องแลกชีวิตกัน

อาเหลียงยกขาไขว่ห้างแล้วแกว่งเบาๆ “ชั่วชีวิตนี้ข้ามีสหายรักอยู่สามคน ล้วนเป็นพี่น้องร่วมทุกข์ยากทั้งสิ้น คนหนึ่งคือซิ่วไฉเฒ่า ในท้องเต็มไปด้วยความรู้ความสามารถ จึงจำต้องยกย่องชื่นชม”

“คนหนึ่งคือเฉินผิงอัน คนหนึ่งยืนอยู่บนหัวกำแพง คนหนึ่งหมอบอยู่ใต้ภูเขา ได้แต่มองสบตากันไกลๆ ชะตากรรมน่าสงสารเหมือนกันเลย”

“นอกจากนั้นก็เป็นเจ้าแล้ว พวกเราทั้งสองต่างก็ขอบเขตถดถอยจากขอบเขตสิบสี่เหมือนกัน”

หลิวชาเอ่ย “พูดจบแล้ว?”

อาเหลียงกล่าว “เจ้ายุ่งอะไรกับข้าด้วย?”

หลิวชาจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ตกปลาของตัวเองต่อไป

อาเหลียงงีบหลับไปครู่หนึ่งแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืน บอกว่าคราวหน้าหากมีเวลาว่างจะมาดื่มเหล้าที่นี่

ชายฉกรรจ์กางสองมือออก เรือนกายหมุนติ้วๆ จากไป ยังคงใช้ท่าทะยานบันไดเมฆาของในยุทธภพ สองเท้ากระโดดดึ๋งๆ ไม่หยุด

หลิวชาเหลือบมองแวบหนึ่ง ใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าตอนที่เจ้าหมอนี่อยู่ในจวนของหย่าเซิ่งก็ทำตัวทุเรศลูกตาแบบนี้หรือ?

สำนักแห่งหนึ่งในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ขอบเขตหยกดิบบางคนที่ก่อนหน้านี้ถูกฉีถิงจี้ใช้หนึ่งกระบี่ฟันจนร่อแร่ปางตาย เพิ่งจะปิดด่านรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดี กว่าจะออกจากด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ผ่านมาแค่ไม่กี่วันก็ต้องมาเข้าร่วมการประชุมที่ศาลบรรพจารย์แล้ว

ทว่ากลับมีชายฉกรรจ์คนหนึ่งปิดหน้าปิดตาเผยให้เห็นเพียงดวงตาเจ้าเล่ห์กลิ้งกลอกคู่นั้น กลางวันแสกๆ ก็แหวกผ่าค่ายกลประตูภูเขากระแทกโครมลงมาบนลานกว้างนอกศาลบรรพจารย์ ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน จากนั้นใช้สองมือแนบติดหน้าผากปาดลูบเส้นผมไปด้านหลัง เรียกชื่อของบรรพจารย์ขอบเขตหยกดิบไปหลายรอบ จากนั้นก็ถามเสียงดังว่าคนผู้นี้อยู่ที่ไหน

เหตุการณ์เกิดขึ้นกะทันหัน มีผู้ถวายงานอายุน้อยมากความสามาถคนหนึ่งของศาลบรรพจารย์ไม่ทันได้สังเกตสีหน้าปั้นยากของทุกคนที่คล้ายอยากพูดแต่กลับจำต้องเก็บกลั้นคำพูดเอาไว้อย่างยากลำบาก เขายืดตัวขึ้น เดินก้าวออกมาจากธรณีประตูศาลบรรพจารย์ ตวาดใส่ชายฉกรรจ์ปิดหน้าคนนั้น “หนูโสโครกจากที่ไหน บังอาจบุกมาก่อเรื่องถึงที่นี่เชียวรึ?!”

ลูกตาของชายที่ปิดบังใบหน้ากลอกไปมา กำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเทพธิดาคนหนึ่งที่ทะยานลมลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างไปไกล

ชายฉกรรจ์ปิดหน้าที่ตัวไม่สูงเท่าไรกำหมัดชูแขนเหวี่ยงไปด้านหลังเบาๆ ขอบเขตหยกดิบที่อยู่ตรงหน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์ก็คล้ายโดนค้อนกระแทกเข้าหน้าหนักๆ หนึ่งที หมดสติไปทันใด ร่างที่ยืดตรงผงะหงายทิ้งตัวไปทางด้านหลัง เอวเอนทับธรณีประตู ร่างจึงโค้งเหมือนสะพาน

ในศาลบรรพจารย์ นับตั้งแต่เจ้าสำนักไปจนถึงผู้คุมกฎและไปจนถึงผู้ถวายงาน เค่อชิงทั้งหลาย แต่ละคนต่างกลั้นหายใจ คนส่วนใหญ่ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นยืน มีอยู่หลายคนที่ไร้คุณธรรมถึงขั้นหันหน้าไปพูดคุยกับสหายที่นั่งอยู่ติดกันทันทีทันใดเพื่อแสดงถึงความบริสุทธิ์ใจ

เจ้าหมอนั่นเคยมาที่นี่มาก่อน ไม่ใช่ครั้งแรกแล้ว

หลังจากนั้นบรรพจารย์ขอบเขตหยกดิบคนนั้นก็ดั่งบ้านรั่วแล้วเจอกับค่ำคืนที่ฝนตกกระหน่ำ จุดจบค่อนข้างน่าสงสาร สภาพอเนจอนาถจนแทบมิอาจทนมองได้

ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ราชวงศ์เสวียนมี่

อยู่ๆ ก็มีบุรุษคนหนึ่งมาโผล่อยู่ด้านหลัง เหวี่ยงแขนรัดคอ

เศรษฐีไอสำลักไม่หยุด พูดอะไรไม่ออก ตบแขนข้างที่รัดคอตัวเองแรงๆ

ใบหน้าอ้วนกลมซึ่งเป็นลักษณะของคนร่ำรวยของผู้เฒ่าเปลี่ยนจากเขียวมาเป็นม่วง แล้วค่อยเปลี่ยนจากม่วงมาเป็นขาว มีลางว่าจะตาเหลือกแล้ว ชายฉกรรจ์ถึงได้ยอมปล่อยมือ อวี้พ่านสุ่ยหอบหายใจเข้าเฮือกใหญ่ มารดามันเถอะ รู้เลยว่าใครมา ใต้หล้าไม่มีใครทำเรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ได้อีกแล้ว

คิดไม่ถึงว่าชายฉกรรจ์คนนั้นจะรัดคอผู้เฒ่าอีกครั้ง ก่นด่าเสียงดัง “เจ้าอ้วนอวี้ เจ้านี่มันเป็นยังไง เห็นพี่น้องที่รักกลับไม่แม้แต่จะยิ้มให้กัน จะทักทายกันสักคำก็ไม่มี หา?! ข้าก็ว่าแล้วเชียว ต้องเป็นเพราะมีคนที่บ้านเกิดแอบเอาเข็มทิ่มหุ่นฟาง สาปแช่งไม่ให้ข้าได้กลับบ้านอยู่ทุกวันแน่ๆ เจ้าตัวดี ที่แท้ก็เป็นเจ้าเองหรือ?!”

พูดคำว่าหรือจบ แขนก็ยกขึ้น ผู้เฒ่าจึงได้แต่เขย่งปลายเท้ายืดตัวขึ้นตาม สภาพเหมือนผีที่ผูกคอตาย ไม่ใช่ว่าผู้เฒ่าแสร้งทำท่าให้ดูน่าสงสารจริงๆ แต่เป็นเพราะเจ้าชาติสุนัขด้านหลังผู้นี้ลงมืออำมหิตจริงจัง

อวี้พ่านสุ่ยจึงได้แต่ถูกบีบให้จิตหยินออกจากร่าง มายืนข้างกายคนผู้นั้น กระทืบเท้าอย่างแรงหนึ่งที สองมือปรบกันร้องโอ้โห วิ่งเหยาะๆ สองสามก้าวเข้าไปนวดไหล่ทุบเอวให้ชายฉกรรจ์ “ที่แท้ก็เป็นน้องอาเหลียงนี่เอง ไม่ได้เจอกันแค่ไม่กี่ปี กล้ามเนื้อของร่างกายนี้ก็แน่นปั๋งแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อแล้ว จุ๊ๆๆ ไม่เสียแรงที่เคยชมทัศนียภาพยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่มาก่อน แต่เรื่องขอบเขตอะไรนั่นไม่อาจนับเป็นอะไรได้ สำหรับน้องอาเหลียงแล้ว ที่สำคัญที่สุดคือกลิ่นอายบุรุษเต็มตัวนี่ต่างหาก คราวก่อนที่พบเจอกันก็บรรลุถึงจุดสูงสุดไปแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะยังพัฒนารุดหน้าไปได้อีกขั้น นับถือ นับถือจริงๆ! อิจฉา อิจฉาจริงๆ!”

อาเหลียงถึงได้ยอมปล่อยมือ ผลักหัวของจิตหยินนั่นออก ให้อีกฝ่ายกลับเข้าร่างจริง

นั่งลงบนม้านั่งยาวในศาลา สองมือกางออกวางทาบไปบนราวรั้ว ยกขานั่งไขว่ห้าง ผ่อนลมหายใจยาวเหยียด ขยิบตาให้อวี้พ่านสุ่ย

อวี้พ่านสุ่ยรู้ใจ ในศาลาที่แขวนกรอบป้ายคำว่ามู่เย่หูก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งลอยออกมาทันใด แล้วพลิ้วกายมายังที่แห่งนี้ สุดท้ายรวมตัวกันเป็นสตรีโฉมสะคราญคนหนึ่ง นางยอบตัวคารวะ ยิ้มหวานเอ่ยกับชายฉกรรจ์ว่า “คารวะท่านอาจารย์”

อาเหลียงกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน จัดเส้นผมตรงจอนหูเป็นพัลวัน “ห่างเหินแล้ว ห่างเหินแล้ว เรียกพี่ชายน้อยอาเหลียงสิ”

อวี้พ่านสุ่ยเสียใจนักที่วันนี้กินดื่มเยอะเกินไปหน่อย

อาเหลียงโบกมือเอ่ย “เจ้าอ้วนอวี้ เจ้าขี้เองก็เช็ดเองสิ”

อวี้พ่านสุ่ยแกล้งโง่ อาเหลียงยิ้มกล่าว “เจ้าก็เรียกตัวเองว่าอาเหลียงไปแล้วกัน!”

ในราชวงศ์เสวียนมี่มีเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาล่างภูเขาที่ชื่อเสียงเลื่องลือคนหนึ่งถูกบัณฑิตมากมายของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางขนานนามอย่างไพเราะว่า จิตบุ๋นของหนึ่งแคว้น

ในขณะที่อวี้พ่านสุ่ยจากไปแล้วหวนกลับมา อาเหลียงก็รีบร้อนจากไป ทิ้งไว้เพียงประโยคเดียวว่า “อวี้พ่านสุ่ยเจ้าช่างใจกล้า ถึงขนาดกล้าซ้อมจิตบุ๋น!”

อวี้พ่านสุ่ยโอดครวญ

อาเหลียงไปจากที่แห่งนี้แล้ว

ก็ไปเจอกับเซียนเหรินผู้เฒ่าอายุมากคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นคนสนิทสนมคุ้นเคยกัน

เซียนเหรินผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น “พูดแค่ไม่กี่ประโยคก็ผิดกฎหมายแล้วหรือ? จะด่าก็แล้วแต่เจ้า จะตีก็เชิญตามสบาย หากกล้าโต้เถียงหรือเอาคืนก็ถือว่าข้าแพ้”

มาเจอกับตาเฒ่าหน้าไม่อายที่ไม่ยี่หระกับสิ่งใด

อาเหลียงก็ตวาดอย่างขุ่นเคืองหนึ่งที แล้วพูดอย่างรวดร้าวปานจะขาดใจ “ก็ได้ๆๆ รังแกที่ข้าขอบเขตต่ำก็เลยคิดจะถามหมัดกับข้าใช่ไหม? จะฆ่าจะหมิ่นเกียรติ หรือต่อให้ถูกเจ้าซ้อมจนตาย วันนี้ข้าก็จะไม่มีทางยอมเป็นที่รองรับอารมณ์เด็ดขาด”

เสียงดังลั่นจนได้ยินกันไปทั่วหลายยอดเขาของสำนัก จากนั้นอาเหลียงก็กระชากผมเจ้าหมอนั่น หนีบหัวของอีกฝ่ายไว้ใต้รักแร้ ต่อยลงไปบนหน้าผากของอีกฝ่ายหมัดแล้วหมัดเล่า

สุดท้ายเก็บหมัดมา วางท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน สีหน้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า มารดามันเถอะ ผลงานแห่งชัยชนะเพิ่มมาอีกเรื่องหนึ่งแล้ว

อาเหลียงยกเท้าเตะเซียนเหรินผู้เฒ่าที่นอนหมดสติอยู่กับพื้นเต็มแรง เตะจนอีกฝ่ายกระเด็นออกไปนอกยอดเขาสูง พุ่งไปเป็นเส้นตรง ทะยานรวดเร็วราวกระบี่บิน

อาเหลียงกระโดดพรวดออกไป เหยียบลงบนหัวของเซียนเหรินผู้เฒ่า แล้วก็ขี่อีกฝ่ายแทนกระบี่บินไปทั้งอย่างนั้น รู้สึกว่าวันนี้ตนสง่างามมากเป็นพิเศษ

เสียงหนึ่งดังขึ้นมาในใจกะทันหัน “ก่อเรื่องพอแล้วหรือยัง?”

อาเหลียงตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังเลย”

คนผู้นั้นเอ่ย “กลับบ้านไปรอบหนึ่งก่อนแล้วค่อยไปศาลบุ๋น จำไว้ว่าเปลี่ยนไปสวมชุดลัทธิขงจื๊อด้วย”

อาเหลียงเงียบงัน

เสียงในใจพูดขึ้นเป็นประโยคสุดท้าย “จั่วโย่ว จวินเชี่ยน เฉินผิงอันแห่งสายเหวินเซิ่งล้วนจะไปที่นั่นด้วย”

อาเหลียงหัวเราะร่าเสียงดัง กระทืบเท้าหนึ่งลงบน ‘กระบี่เซียน’ ที่สมชื่อใต้ฝ่าเท้าหนักๆ หนึ่งที ปล่อยให้อีกฝ่ายหล่นกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมขนาดใหญ่ ส่วนตัวเองกลายร่างเป็นรุ้งยาวทะยานขึ้นฟ้ากลับไปยังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง

——