ดังนั้นหยุนเทียนหยูถึงได้อยากโค่นล้มหลัวซิว เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพรสวรรค์ของเขาเป็นอันดับหนึ่งของมหาโลกายอดอัมพรอย่างไร้ข้อกังขา

“แพ้ไม่เป็นหรือ?”หลัวซิวเบะปาก พร้อมทำหน้าเย้ยหยัน

จีเสวียนคงเคยบอกแล้วว่ามีบ่วงแค้นต่อหอยอดอัมพร ดังนั้นจึงบอกกับหลัวซิวว่าหากพบเจอลูกศิษย์ของหอยอดอัมพรในแดนเทวนิรันกาลไม่จำเป็นต้องออมมือ ยิ่งกว่านั้นคือฝ่ายตรงข้ามยังรนมาถึงที่เอง หลัวซิวจึงไม่มีทางเกรงใจอยู่แล้ว

“เจ้าคือจีเสี่ยวจื่อ? เจ้าเข้ามาในจีเสี่ยวจื่อได้อย่างไร?”ทันใดนั้นเอง ตวนมู่ชางก็สังเกตเห็นจีเสี่ยวจื่อที่อยู่ข้างกายหลัวซิว จึงอดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตะลึง

เมื่อพูดคำพูดดังกล่าวออกมา สีหน้าของพวกหยุนเทียนหยูก็ดูแปลกใจเช่นกัน

เมื่อนั้นเหล่าผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิเทพหลายท่านร่วมกันใช้ค่ายกลและวัตถุดิบล้ำค่าต่าง ๆ เพื่อทะลวงปราการดาราและส่งพวกเขาทั้งสิบคนเข้ามาจริง ๆ ซึ่งในจำนวนทั้งหมดไม่มีจีเสี่ยวจื่อ

แต่วินาทีนี้จีเสี่ยวจื่อกลับปรากฏตัวที่นี่ แล้วนี่มันเรื่องอะไรกันอีก?

หยุนเทียนหยูและตวนมู่ชางสบตากันครั้งหนึ่ง หากสามารถพาผู้อื่นเข้ามาโดยมองข้ามกฎระเบียบละก็ เช่นนั้นก็สามารถพายอดฝีมือเข้ามาได้มากกว่านี้เลยมิใช่หรือ?

“จัดการมันซะ!”

หยุนเทียนหยูเบื่อที่จะคำนึงถึงเรื่องหนังหน้าอะไรอีกแล้ว ตะคอกเสียงดังลั่นคำหนึ่ง ก่อนจะให้ตวนมู่ชางและคนอื่น ๆ ลงมือพร้อมกัน

“ปล่อยมันให้ข้าจัดการเอง พวกเจ้าไปจัดการจีเสี่ยวจื่อ”หยุนเทียนหยูตะคอกเสียงดังลั่นคำหนึ่ง มือใหญ่สีเขียวข้างหนึ่งพุ่งไปจับหลัวซิว

“เวิง!”

และในเวลานี้เอง จีเสี่ยวจื่อก็หยิบกระบี่ยุทธ์ออกมาหนึ่งเล่ม มีเปลวไฟลอยวนเป็นเกลียวอยู่บนกระบี่ แล้วผ่าสับไปทางมือใหญ่สีเขียวของหยุนเทียนหยูโดยตรง

“แดนมกุฎเทพ กฎเพลิงอัคคีขั้น 6!?”หยุนเทียนหยูชะงักเล็กน้อย เห็นได้ชัดเจนเลยว่าเขานึกไม่ถึงว่าผลการฝึกตนของจีเสี่ยวจื่อจะถึงมกุฎเทพแล้ว

นี่จึงทำให้สีหน้าของเขาที่คุยโวโอ้อวดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งในมหาโลกายอดอัมพรแดงเถือกมากยิ่งขึ้น หลัวซิวนั่นเอาชนะตัวเองบนกระดานราชาเทพไม่ว่า ผลการฝึกตนของจีเสี่ยวจื่อนี่ก็ยังสูงกว่าของตัวเองอีกอย่างนั้นหรือ?

“เสี่ยวจื่ออยู่แดนมกุฎเทพแล้ว ส่วนเจ้านั้นก็เป็นเพียงกึ่งมกุฎเทพกระจอก ๆ คนหนึ่ง แม้เจ้าจักสามารถโค่นล้มข้าได้แล้วอย่างไร? เจ้าก็ไม่ใช่อัจฉริยะอันดับหนึ่งในเด็กรุ่นใหม่อยู่ดี”หลัวซิวยิ้มเยาะเย้ยพลางพูด

“ผลการฝึกตนสูงไม่ได้หมายความว่าศักยภาพจักแข็งแกร่ง”หยุนเทียนหยูกัดฟันแน่น “สิ่งที่ข้าฝึกนั้นคือพลังจักรพรรดิชั้นฟ้า ถึงแม้ยัยหนูกระจอก ๆ นี่จักเป็นแดนมกุฎเทพ ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”

มีจิตสังหารที่มากมายมหาศาลถึงขีดสุดพรั่งพรูออกมาจากตัวหยุนเทียนหยู ราวกับว่าชื่อและสมญานามอัจฉริยะอันดับหนึ่งได้กลายเป็นความลุ่มหลงของเขาไปแล้ว

“อัจฉริยะอันดับหนึ่งที่ว่านั้นก็เป็นเพียงตัวตลกตัวหนึ่งในสายตาข้า สิ่งที่เจ้ายึดเหนี่ยวและตามแสวงหา เมื่ออยู่ในสายตาข้ามันก็เป็นเพียงขี้หมาก้อนหนึ่งเท่านั้นแหละ!”

หลัวซิวค่อย ๆ กางฝ่ามือออก เปลวไฟสีแดงมืดดวงหนึ่งผนึกรวมกันกลางฝ่ามือเขา ก่อนจะมีหอกมังกรแดงมืดที่น่าสะพรึงกลัวปรากฏ

“พวกเจ้าอยากตาย ข้าจักทำให้พวกเจ้าสมความปรารถนาเอง!”

ตั้งแต่ที่บุกฆ่าเข้ามาจากรอบนอกของแดนเทวนิรันกาล อสูรโบราณที่ตายอยู่ในกำมือของหลัวซิวมีมากจนนับไม่ถ้วน บวกกับตั้งแต่เขาฝึกวิถียุทธ์จวบจนปัจจุบัน ศัตรูตัวฉกาจก็ตายอยู่ในเงื้อมมือเขาก็มีมากไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จิตสังหารของเขาที่ปะทุออกมาก็เหมือนดังคลื่นยักษ์ที่ทำให้ผู้คนตกใจกลัวแล้ว!

ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น หลัวซิวหยิบหน้ากากซิวหลัวออกมา หน้ากากสีแดงเลือดบดบังใบหน้า เมื่อมีการปกปิดจากหน้ากากใบนี้ ไม่ว่าเขาจะสังหารผู้ใด ก็จะไม่มีผู้ใดทราบว่าเขาคือฆาตกร

หน้ากากสีแดงเลือดดูดุร้ายเล็กน้อย หลัวซิวกำหอกมังกรแดงมืดไว้ในมือ พลังออร่าที่แข็งแกร่งและมากมายมหาศาลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้พุ่งทะยานขึ้นฟ้า

“ฆ่าพวกมันให้หมด!”หลัวซิวตะคอกเสียงดังลั่น จากนั้นร่างกายเขาก็หายวับไปกับที่ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว

วินาทีต่อไป เงาร่างของหลัวซิวก็ไปปรากฏด้านหลังศิษย์สนิทคนหนึ่งของหอยอดอัมพร มีเสียงฟึ่บดังขึ้นมาจากหอกมังกรแดงมืด ความเร็วรวดเร็วปานสายฟ้า ทิ่มทะลวงจุดตันเถียนชี่ไห่ของคนดังกล่าวจากข้างหลังโดยตรง จากนั้นหลัวซิวก็ยกร่างเขาขึ้นมา