ตอนที่ 3403

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3403 : จักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน

 

ได้ยินคําถามด้วยความสงสัยของซือปั๋วนู่ ต้วนหลิงเทียนก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับมารดาเขาให้อีกฝ่ายฟังคร่าวๆ

 

ด้านซือปั๋วนู่พอได้ทราบเรื่องแล้ว ก็แลดูมีโมโหขึ้นมาทันที “นิกายวิถีอีกาช่างสารเลวชั่วชาตินัก! หากนิกายอื่นๆในสือฉีเทียนเราเป็นเช่นเดียวกับพวกมัน สือฉี่เทียนไม่กลายเป็นรังโจรไปแล้วรึไร?”

 

“กับนิกายชั่วร้ายพรรค์นี้ ไม่สมควรมีอยู่ในโลก!”

 

“นายน้อยหลังข้าได้ยินท่านเล่าแล้ว มิสู้ให้ข้าลบนิกายวิถีอีกานี้ให้หายไปในบัดดลเลยเถอะ!”

 

ซือปั๋วนู่กล่าวออกด้วยน้ําเสียงดุร้าย

 

“จะฆ่าไกใยต้องใช้มีดฆ่าโคด้วยเล่า…ท่านแม่ข้าจัดการพวกมันได้”

 

ต้วนหลิงเทียนคลี่ยิ้มบางๆพลางกล่าว

 

หลังจากรออีกหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ต้วนหลิงเทียนก็เห็นมารดาเขาหลัวกับส่วนเอ๋อเห็นร่างตีคู่กันมา ทว่าสีหน้าของลี่หลัวไม่ค่อยจะสู้ดีนัก

 

เห็นได้ชัดว่าถึงแม้จะทําลายนิกายวิถีอีกาไปแล้ว แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกยินดีมีสุขอะไรเลย

 

และด้านหลังทั้งคู่ ก็ปรากฏร่างสตรีกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งตามมา มีทั้งอ่อนวัย กลางคน และผู้ชรา ส่วนใหญ่แล้วสองตายังแดงรื้น คล้ายพึ่งได้รับความอยุติธรรมหรือความเจ็บปวดมา ชวนให้น่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง

 

“เทียนเอ๋อ”

 

ลี่หลัวที่เหินร่างมากับส่วนเอ๋อ พอมาถึงเบื้องหน้าตัวนหลิงเทียน ก็เอ่ยออกด้วยน้ําเสียงเศร้าๆ “ข้าอยากจะพาพวกนางกลับไปส่งที่นิกายฉวินซิ่วก่อน แล้วค่อยไปกับพวกเจ้า”

 

“เทียนเอ๋อ…ลูกพอจะมีวิธีให้ความคุ้มครองทุกคนหรือไม่?”

 

“ตอนนี้ยอดฝีมือที่เป็นขุมพลังหลักของนิกายยฉวินซิ่วตกตายไปแทบหมดสิ้นแล้ว อาศัยคนที่เหลืออคิดประคับประคองนิกายให้ดํารงอยู่เกรงว่าคงไม่ไหว แม่เองก็ไม่อาจทําได้”

 

ลี่หลัวกล่าว

 

“อาวุโสลี่หลัว!”

 

ไม่ทันที่ต้วนหลิงเทียนจะทันได้กล่าวตอบคํามารดา เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่ววที่รอดชีวิตและ เหินลอยตามมาด้านหลัง ก็พร้อมใจกันคุกเข่าลงกลางหาว กล่าวคําออกมาด้วยน้ําเสียงวิงวอน “พวกเราขอเชิญท่านกับแม่นางฮ่วนเอ๋อมาควบคุมสถานการณ์ของนิกายฉวินซิ่วด้วยเถอะ”

 

ลี่หลัวนั้น อาจไม่มีพลังมากพอจะค้ําจุนทุกคน

 

อย่างไรก็ตามศิษย์และอาวุโสของนิกายฉวินซิ่วเหล่านี้ ได้เห็นถึงพลังอันน่าสะพรึงกลัวของฮ่วนเอ๋อแล้ว หากได้ยอดฝีมือระดับนี้มาเป็นเสาหลักล่ะก็ นิกายฉวินซิ่วของพวกนางก็จะยกระดับไปครั้งยิ่งใหญ่!

 

“ข้ากล่าวบอกต่อพวกเจ้าไปแล้ว ว่าเรื่องนี้ข้าไม่อาจทําได้และไม่อยากเอ่ยถึงอีก…วันหน้าข้าไม่อาจรั้งอยู่นิกายฉวินซิ่วได้ ยิ่งฮ่วนเอ๋อยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย”

 

ลี่หลัวขมวดคิ้วเอ่ยออกเสียงหนัก “แต่ขอให้พวกเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างก่อนที่จะจากไป พวกเจ้าจะไม่โดนผู้ใดรังแกง่ายๆอีก”

 

ได้ยินน้ําเสียงเด็ดขาดไม่เหลือพื้นที่ให้เจรจาต่อรองของลี่หลัว เหล่าศิษย์นิกายฉวินซิ่วทั้งหลายก็ได้แต่เม้มปากเงียบ ไม่กล้าพูดอะไรอีก

พวกนางรู้ดี

 

ว่าพวกนางไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของลี่หลัวได้

 

ถึงแม้ว่าในหมู่พวกนางจะมีอาวุโสที่พลังฝีมือสูงกว่าสี่หลัว แต่สตรีที่อยู่ข้างกายลี่หลัวก็ทรงพลังเหนือจินตนาการนัก ไหเลยจะใช้กําลังบีบคั้นไม่ให้คนไม่ไปได้อีก

 

ประมุขนิกายวิถีอีกา ตัวตนขอบเขตจอมราชันอมตะ เมื่ออยู่ต่อหน้านาง…กระทั่งท่าเดียวก็ไม่อาจต้านทานรับไหว! ถูกฆ่าทิ้งทันที!

 

“ข้าทราบดี ท่านแม่”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าวกับลี่หลัวด้วยรอยยิ้ม

 

หลังจากนั้นเขาก็นําหลัวรวมถึงศิษย์และผู้อาวุโสของนิกายฉวินซิ่วที่ยังเหลือรอดกลับไปยังสถานที่ตั้งนิกายฉวินซิ่ว และต้วนหลิงเทียนก็พาลี่หลัวเหินห่างจากมาภายใต้สายตาอาลัยอาวรณ์ของเหล่าคนนิกายฉวินซิ่วทันที

 

“เทียนเอ๋อ แล้วพวกนาง…”

 

ลี่หลัวเผยท่าที่ลังเลอยู่บ้าง ด้วยไม่รู้จะพูดดีหรือไม่ สุดท้ายต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้บอกนาง เลยว่าจะทําอย่างไรเพื่อไม่ให้นิกายฉวินซิ่วโดนใครมาปล้นชิงตอนไฟไหม้บ้าน เพียงบอกว่าเดี๋ยวจะจัดการเรื่องนี้ให้เอง

 

“ท่านแม่ ท่านไม่ต้องกังวลไป เดี๋ยวพวกเราติดตามอาวุโสชื่อนิ้วนไปเยือนพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนกันก่อนถึงตอนนั้นข้าค่อยจัดการเรื่องให้ความคุ้มครองนิกายฉวินซิ่ว”

 

ต้วนหลิงเทียนที่เห็นมารดาจะพูดดีไม่พูดดี ก็ส่งเสียงผ่านพลังไปบอกว่าเขาคิดจะทําอย่างไร “ท่านแม่…ข้าคิดจะไปพบจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียน และขอให้มันดูแลนิกายฉวินซิ่ว”

 

“ข้ารู้ดีว่าตอนนี้ท่านห่วงสถานการณ์ของนิกายฉวินซิ่ว แต่เรื่องนี้ท่านไม่ต้องห่วงเลย ข้าจะไม่ปล่อยให้ทุกคนตกอยู่ในอันตรายอีกต่อไป”

 

ต้วนหลิงเทียนตอบ

 

อย่าว่าแต่มารดาเขาไม่ยอมเลย เขาเองก็ไม่มีทางปลอยให้มารดาเขากับส่วนเอื้อมารั้งอยู่ในนิกายฉวินซิ่วหรอก เพราะอยู่ไปก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร ทั้งยังต้องวุ่นวายกับเรื่องเล็กๆน้อยๆอีก

 

แต่เป็นธรรมดาว่าในเมื่อนิกายฉวินซิ่วคอยดูแลแม่เขามานานหลายปี เขาเองก็รู้สึกขอบคุณนิกายฉวินซิ่วไม่น้อย เช่นนั้นก่อนจะจากไป เขาก็ต้องหาทางให้นิกายพลิกฟื้นกลับมา และเติบโตได้อย่างปลอดภัย

 

ที่ไฉนเขาไม่ปฏิเสธคําชวนไปเป็นแขกที่พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ของชื่อนิ้วนแต่แรกก็เป็นเพราะสาเหตุนี้

 

หาไม่แล้ว เขาคงบอกปัดซือปั๋วนู่ไปแล้ว

 

ต้องทราบด้วยว่าตอนที่เขาตอบตกลงจะไปเป็นแขก กระทั่งผู้เฒ่าหัวยังแปลกใจด้วยซ้ํา

 

จะอย่างไรที่นี่ก็คือสือฉีเทียน ไม่ใช่เมี่ยเทียน…ต่อให้ข้าออกประกาศไปว่านิกายฉวินซิ่วอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเขา ก็ไม่สู้ให้จักรพรรดิสวรรค์ของสือฉีเทียนออกปากสักคํา

 

ต้วนหลิงเทียนรู้ดีว่าน้ําไกลไม่อาจดับไฟใกล้ จึงตัดสินใจแบบนี้แต่แรก

 

“พี่ใหญ่ ข้าขอตัวก่อน”

 

หลังซือปั๋วนู่นําพาพวกต้วนหลิงเทียนใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก จนบรรลุ ถึงสถานที่ใกล้พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สื่อฉีเทียนที่สุดแล้ว ชือปั่วผิงก็กล่าวคําลาซือปั๋วนู่ ก่อนนร่างชราจะเหินลับฟ้าหายไปจากสายตาทุกคนเร็วไว

 

และในขณะที่มันเห็นร่างจากมา สองตาของมันกลับฉายชัดถึงสีสันแห่งความโลภนัก!

 

ทว่าไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น

 

พระราชวังจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนนั้น ตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตพื้นที่ราบทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง และไม่ได้ตั้งบนผืนดินโดยตรง แต่เป็นเกาะลอยฟ้ามหึมาที่ลอยล่องอยู่เหนือหมู่เมฆ มองไกลๆ ไม่ ต่างอะไรจากอสูรกายตัวเขื่องโผบิน

 

“ใต้เท้านู่!”

 

พอมาถึงเบื้องหน้าประตูใหญ่ของพระราชววังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน หน่วยลาดตระเวณรวมถึงผู้เฝ้าประตูก็เร่งกล่าวคําทักทายชื่อป่วนว่า “ใต้เท้านู่” ด้วยน้ําเสียงท่าที่ดูเคารพนับถือมันเป็นที่สุด

 

ซือปั๋วนู่ ในฐานะที่เป็นถึงจักรพรรดิอมตะสมญานามที่แข็งแกร่งเป็นอันดับสองรอง จากจักรพรรดิสวรรค์สื่อฉีเทียน ศักดิ์ฐานะในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนของมัน ก็ไม่ต่างอะไรจากฐานะของเมิ่งหลัวในพระราชวังจักรพรรดิสววรรค์แห่งจี้เมียเทียนเลย

 

เมื่อจักรพรรดิสวรรค์ไม่อยู่ ซือปั๋วนู่ก็มีอํานาจในการตัดสินใจเรื่องราวสําคัญๆแทนจักรพรรดิสวรรค์ได้

 

“ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เรา อาศัยอยู่ในหุบเขาเบื้องหน้า”

 

เกาะลอยฟ้าอันเป็นสถานที่ตั้งพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียนนั้น ใหญ่โตประหนึ่งทวีปเลยก็ว่าได้ และตอนนี้ชื่อป่วนูก็พาพวกต้วนหลิงเทียนมายังหุบเขาแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยต้นท้อ

 

ในปัจจุบันไม่ว่วาจะเป็นส่วนเอ๋อ ต้วนหรูเฟิง หรือสี่หลัว ก็ได้เข้าไปพักอยู่ในโลกใบเล็กภายในร่างต้วนหลิงเทียนหมดแล้ว

 

มีก็แต่ต้วนหลิงเทียนกับผู้เฒ่าหัวเท่านั้น ที่ติดตามชื่อป่วนุ่มายังสถานที่พักบ่มเพาะของจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน

 

“ฮ่าๆๆๆ…ผู้เฒ่าหั่ว นานแล้วมิได้พบกัน!”

 

หลังจากเข้ามายังหุบเขาได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างสูงใหญ่หนึ่งยืนอยู่ในลานบ้านที่มี เพียงแห่งเดียวภายในหุบเขาอีกฝ่ายยังกล่าวทักทายผู้เฒ่าหัวที่ลอยร่างอยู่ข้างกายต้วนหลิงเทียนอย่างมากอัธยาศัย

 

อีกฝ่ายเป็นชายชราที่มีความสูง หนึ่งหมเก้า เส้นผมขนคิ้วล้วนเป็นสีดอกเลา แต่แววตากระจ่างใส ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แก้มอมชมพูแลดูสุขภาพดี ปานมหาเศรษฐีใจบุญบนโลกเก่าเมื่อชาติก่อนของต้วนหลิงเทียน

 

‘นี่น่ะเหรอจักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน จักรพรรดิอมตะมหาบ่อเกิด ถ่าถู’

 

ระหว่างเดินทางมาที่นี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้ฟังข้อมูลของจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนจากผู้เฒ่าหัวเรียบร้อย

 

“ใต้เท้าถ่าถู”

 

เมื่อเผชิญหน้ากับตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์ ผู้เฒ่าหัวก็ประสานมือโค้งคารวะอย่างมาก มารยาทจากนั้นก็เริ่มผายมือแนะนําต้วนหลิงเทียนให้อีกฝ่ายรู้จัก ก่อนจะกล่าวแนะนําอีกฝ่ายให้ต้วนหลิงเทียนรู้จัก

 

“ยินดีที่ได้พบจักรพรรดิสวรรค์ถ่าถู”

 

ต้วนหลิงเทียนก็ป้องมือประสานเป็นการคารวะด้วยรอยยิ้ม

 

“ฮ่าๆๆ…หลานชายเจ้าไม่ต้องสุภาพนักหรอก เจ้าเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของจักรกพรรดิ สวรรค์ฟงชิงหยางหากจะนับตามลําดับอาวุโสแล้ว เจ้าก็เป็นดั่งศิษย์หลานของข้า ต่อไปก็เรียกข้าว่าอาจารย์ลุงก็ได้”

 

ถ่าอู่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี

 

ถึงแม้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าถ่าถูกําลัง ‘ติดทองบนหน้าตัว’ อย่างไรก็ตามในเมื่อผู้อื่นมาแบบนี้ ตัวนหลิงเทียนก็ไม่ขัดข้อง “อาจารย์ลุง”

 

*ติดทองบนหน้าตัว = ยกย่องตัวเอง,พูดเอาดีเข้าตัว

 

“ศิษย์หลานต้วน ในเมื่อนี่เป็นการพบกันครั้งแรก เช่นนั้นข้าก็สมควรมอบของขวัญแรกพบให้เจ้า…แต่พอนึกได้ว่าเจ้าเป็นถึงศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง เจ้าเองก็สมควรมีทุกสิ่งที่ต้องการอยู่แล้ว กระทั่งเผลอๆอาจจะร่ํารวยกว่าข้าเสียอีก เช่นนั้นข้าก็ไม่คิดทําให้ตัวเองขายหน้า…”

 

ถ่าถูกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น ให้ข้ารับปากกับเจ้าเรื่องหนึ่งเถอะ…”

 

“วันหน้า ขอเพียงเจ้ามีสิ่งใดให้ข้าช่วยเหลือ หากไม่เกินกําลังสามารถของข้า เช่นนั้นขาไม่มีวันปฏิเสธแน่นอน”

 

พอพูด ถ่าถู ก็ให้คํามั่นดังกล่าวออกมาทันที

 

ด้านซือปั๋วนู่ก็ตกใจกับคําสัญญาของถ่าถูไม่น้อย ด้วยไม่คิดเลยว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของตัวเองจะใจกว้างถึงขนาดรับปากอะไรแบบนี้ออกมาได้

 

หากคําพูดดังกล่าว ออกมาจากปากคนธรรมดาคงไม่ถือว่ามีราคาอะไร

 

ทว่าผู้ที่เอ่ยยคําสัญญาดังกล่าวออกมาก็คือ ถ่าถู จักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียน ตัวตนที่อยู่เหนือสุดและควบคุมทุกสิ่งในแดนสวรรค์สือฉีเทียนแห่งนี้!

 

ได้ยินวาจาดังกล่าวของถ่าถู สองตาต้วนหลิงเทียนก็เป็นประกายทันที เช่นนั้นเขาก็ไม่รอช้าเร่งดีชิงตามไฟกล่าวออกไปเร็วไว “ดีเลยอาจารย์ลุงถ่าถู เพราะข้าบังเอิญมีเรื่องคิดขอความช่วยเหลือจากท่านพอดี”

 

“หือ?”

 

ถ่าถูอึ้ง มันไม่คิดเลยว่ามันพึ่งให้คําสัญญาว่าจะช่วยต้วนหลิงเทียนไปได้ไม่ทันไร ต้วนหลิง เทียนก็เอ่ยปากคิดขอความช่วยเหลือนั้นทันที ทําให้มันอดคลี่ยิ้มเงื่อนๆพลางถามออกมาไม่ได้ “ศิษย์หลานต้วน ความแข็งแกร่งของข้าถ่าถูย่อมไม่อาจเทียบกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางได้ แต่อย่างไรก็ตามคําสัญญาของข้าก็นับว่ามีค่าไม่น้อย เจ้าคิดจะใช้มันอย่างขอไปที่งั้นหรือ?”

 

“อาจารย์ลุงถ่าถู ขอท่านอย่าได้เข้าใจผิดไป…”

 

ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาพลางกล่าวด้วยน้ําเสียงจริงจัง “ข้าไม่คิดว่าคําสัญญาของท่านไม่มีค่า กล่าวตามตรงสําหรับข้าแล้วคําสัญญาของท่านมีน้ําหนักมาก และมีบางเรื่องที่ข้าจําเป็นต้องพึ่งความช่วยเหลือจากท่านจริงๆ เพราะคนอื่นคงไม่มีใครจัดการเรื่องนี้ได้ดีเท่าท่านอีกแล้ว”

 

กล่าวถึงท้ายประโยค น้ําเสียงของต้วนหลิงเทียนก็เพิ่วความจริงจังไม่น้อย

 

“โอ้?”

 

ถ่าถมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาสงสัย “ศิษย์หลานต้วน ดูเหมือนเป็นข้าเข้าใจเจ้าผิดไปจริงๆว่ามาเถอะ ที่แท้เจ้ามีเรื่องสําคัญอันใดที่คิดให้ข้าช่วยเหลือ

 

“อาจารย์ลุงถ่าถู เรื่องนี้เป็นเรื่องสําคัญอย่างยิ่งยวดสําหรับมารดาข้า…ฯลฯ”

 

หลังจากนั้นภายใต้สายตามองถามด้วยสวงสัยของถ่าถ จักรพรรดิสวรรค์สือฉีเทียน ต้วนหลิงเทียนก็กล่าวเล่าเรื่องราวของนิกายฉวินซิ่วออกไปทันที “ถึงแม้ว่านิกายฉวินซิ่วจะเป็นเพียงขุมกําลังระดับ 7…แต่ก็เป็นนิกายที่ช่วยชีวิตมารดาของข้าเอาไว้ และยังคอยดูแลปกป้องมารดาของข้ามาตลอดอีกที่สําคัญท่านแม่ของข้าเองก็ผูกพันกับที่นั่นยิ่ง”

 

“ตอนนี้เหล่าศิษย์และอาวุโสที่หลงเหลืออยู่ในนิกายฉวินซิ่ว ไม่มีกําลังมากพอจะคุ้มครองตัวเองแล้ว…กระทั่งไม่อาจถือว่าเป็นขุมกําลังระดับ 7 ได้ด้วยซ้ํา”

“ดังนั้นข้าก็เลยอยากขอความช่วยเหลือจากอาจารย์ลุงถ่าถู เพียงท่านเอ่ยปากสักคําสองคํา และไม่จําเป็นต้องให้นิกายฉวินซิ่วได้รับผลประโยชน์อะไร อย่างยกระดับไปเป็นนิกายระดับ 6 อะไรทํานองนั้น เพียงแค่ให้สามารถรักษารากฐานของนิกายเอาไว้ได้อย่างปลอดภัยก็พอ”

 

ต้วนหลิงเทียนกล่าว

 

ถึงแม้เขาจะเดินทางไปกล่าวประกาศและเตือนขุมกําลังที่อยู่รอบๆนิกายฉวินซิ่ว กระทั่งไปคุย กับจ้าวผู้ปกครองดินแดนแห่งนั้นได้โดยตรงอาศัยพลังและฐานะบีบให้พวกมันเชื่อฟัง หวังให้พวกมันคอยปกปักดูแลนิกายฉวินซิ่ว

 

อย่างไรก็ตาม อาศัยคําพูดของเขา ไม่อาจทําให้พวกมันเชื่อฟังไปได้ตลอดกาล

 

เพราะสําหรับสือฉีเทียนแห่งนี้ เขาเป็นแค่คนนอก…

 

แต่ทว่าหากเป็นคําพูดของจักรพรรดิสวรรค์แห่งสือฉีเทียนอย่างถ่าถู เรื่องราวมัน จะแปรเปลี่ยนกลับกลายไปอย่างสิ้นเชิง และขอเพียงถ่าถูยังดํารงตําแหน่งจักรพรรดิสวรรค์ของสือ ฉีเทียน นิกายฉวินซิ่วก็เสมือนมียันต์คุ้มภัยให้อยู่รอดปลอดภัยไร้กังวล

 

“เรื่องเท่านี้?”

 

เดิมที่ถ่าถูคิดว่าเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนขอให้ช่วยจะต้องไม่ธรรมดาเป็นแน่ แต่พอได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจนจบ มันก็ยืนอึ้งไป แลดูพูดไม่ออกอยู่บ้าง “ศิษย์หลานต้วน เจ้าเหลวไหลใหญ่แล้ว…กับเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้ เจ้าต้องใช้คําสัญญาที่ข้าให้ไว้เชียวหรือ!?”