ฮ่องเต้พระองค์นี้พลันรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ถามว่า “หากอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นก็ไปประชุมด้วย ถ้าอย่างนั้นเฉาสือของพวกเราก็ไม่ถือว่าเป็นคนเข้าร่วมการประชุมที่อายุน้อยที่สุดแล้วใช่ไหม?”
เผยเปยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม อันที่จริงนางไม่รู้สึกว่านี่นับเป็นเรื่องอะไรได้
ผู้เฒ่าหันหน้าไปมองคนหนุ่มชุดขาวที่ราวกับ ‘ไร้มลทินด่างพร้อย’ ผู้นั้น ถามว่า “เฉาสือ ไม่สู้ข้าช่วยเจ้าแก้ไขอายุดีไหม ถึงอย่างไรอายุมากกว่าหนึ่งปีหรือน้อยกว่าหนึ่งปี อยู่ที่ต้าตวนแห่งนี้ก็ไม่ได้สำคัญอะไร”
เฉาสือที่ยืนอยู่ห่างไปไกลกุมหมัดยิ้มเอ่ยต่อผู้เฒ่าที่ยังมีนิสัยเหมือนเด็กอยู่ไกลๆ “ฝ่าบาท ช่างเถิด”
ผู้เฒ่ารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
ตรงท่าเรือที่สร้างขึ้นชั่วคราวทางทิศเหนือของศาลบุ๋น
‘เกล็ดหิมะ’ เรือข้ามฟากของใต้หล้าไพศาลที่ใหญ่ที่สุดไม่อาจจอดเทียบท่าได้ ได้แต่ลอยค้างอยู่กลางอากาศเผาผลาญปราณวิญญาณ กินเงินเทพเซียนไปอย่างต่อเนื่อง
ถึงอย่างไรเจ้าของเรือก็ไม่ถือสาในความสิ้นเปลืองน้อยนิดแค่นี้อยู่แล้ว
ระหว่างตัวเรือและท่าเรือมีสะพานชิงอวิ๋นยาวพันจั้งเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เป็นวิธีการที่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองอีกเช่นกัน
คนกลุ่มหนึ่งเดินลงมาช้าๆ สตรีออกเรือนแล้วแต่งกายสุภาพสง่างามกำลังบ่นคนหนุ่มที่อยู่ข้างกาย บอกว่าฉวยโอกาสครั้งนี้จะดีจะชั่วก็ต้องไปพบพี่สาวเทพธิดาคนนั้นสักครั้ง แม่นางคนนั้นคือสตรีบนภูเขานี่นะ อายุร้อยกว่าปีไม่ถือว่าแก่จริงๆ
หนึ่งครอบครัวสามคน
คู่สามีภรรยาหลิวจวี้เป่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีปและบุตรชาย หลิวโยวโจว
คนอื่นฝึกตนอย่างยากลำบาก ทุกวันนี้เรื่องที่หลิวโยวโจวยุ่งวุ่นวายอยู่มีเพียงเรื่องเดียว ถูกบิดามารดาบีบให้ไปดูตัว
หลังจากไปดูตัวแล้วไม่สำเร็จหลายครั้งหลายครา เหตุผลของหลิวโยวโจวก็เพิ่มมากขึ้นทุกคราเช่นเดียวกัน
แม่นางคนนั้นขอบเขตสูงเกินไป ขอบเขตหยกดิบอายุน้อยๆ อาศัยอะไรถึงจะเห็นเศษสวะด้านการฝึกตนอย่างข้าอยู่ในสายตา ก็ไม่ใช่เพราะว่าเห็นแก่เงินเก็บส่วนตัวน้อยนิดของข้าหรอกหรือ
นางหน้าตาดีเกินไปแล้ว ราวกับเทพหญิงที่เดินออกมาจากภาพวาดอย่างไรอย่างนั้น ข้าไม่คู่ควรกับนาง ได้แต่มองดูอยู่ไกลๆ
นางรังเกียจที่ฝีมือวาดภาพของข้าไม่เข้าขั้น ไม่ใช่คนประเภทเดียวกัน คุยกันไม่รู้เรื่อง ผู้ฝึกตนมีเวลายาวนาน ทุกวันหากนอนร่วมหมอนแต่ฝันต่างจะต้องเกิดเรื่องเป็นแน่
ดังนั้นบิดาจึงร้อนใจ มารดายิ่งร้อนใจมากกว่า
หลิวจวี้เป่าคิดว่าบุตรชายโทนของตนอย่างหลิวโยวโจวนี้ ควรจะช่วยตระกูลแตกกิ่งก้านสาขาบ้าง
เพียงแต่ว่ามารดาของหลิวโยวโจวกลับมีความคิดไม่ค่อยเหมือนคนทั่วไป นางรู้สึกว่าให้กำเนิดบุตรชายที่หล่อเหลามีอนาคตเช่นนี้ออกมา ไม่เอามาโอ้อวดเสียบ้าง ยามที่นางพูดคุยกับเหล่าสหายซึ่งเป็นผู้ฝึกตนหญิงรูปโฉมงดงามเหล่านั้น ก็ช่างไม่เข้าท่าเอาเสียเลย
และฮูหยินสกุลหลิวผู้นี้ ยามอยู่บนภูเขาของไพศาลก็ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่บุญทุ่ม ไม่ว่าจะมีชุดกระโปรงชุดคลุมอาคมที่ล้ำค่าหายาก หรือเครื่องประดับงดงาม ผงชาดเครื่องประทินโฉมราคาแพง โต๊ะประทินโฉม กระดาษจดหมาย ดินสอเขียนคิ้ว หรือภาพสาวงามใดๆ …ขอแค่นางจ่ายเงินซื้อมา ราคาอย่างน้อยก็ต้องสูงขึ้นไปอีกหนึ่งเท่าตัว ดังนั้นกองกำลังบนภูเขาทั้งหมดที่ทำการค้าของสตรี ทุกครั้งเมื่อมีสินค้ารูปแบบใหม่ๆ มาจะต้องเป็นฝ่ายส่งมาที่สกุลหลิวธวัลทวีปด้วยตัวเอง หากไม่ถูกตาก็จะคืนกลับไป แต่หากถูกตาถูกใจ นางก็จะซื้อไว้ในราคาสูง
มอบให้เปล่าๆ? ดูถูกใครกันน่ะ
หนึ่งในความสนใจที่ใหญ่ที่สุดของสตรีออกเรือนแล้วกับสหายทั้งหลายของนาง ก็คือวิพากษ์วิจารณ์ผู้ฝึกตนใหญ่บนภูเขาหรือไม่ก็คู่รักของคนหนุ่มมากความสามารถ
สตรีผู้นั้นมีแต่กลิ่นอายยั่วยวน แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สตรีที่อยู่ในกรอบศีลธรรม
หน้าตาเหมือนหญิงบ้านนอก ยิ่งอัปลักษณ์ก็ยิ่งชอบทัดบุปผา สีสันฉูดฉาดลานตา ในกระเป๋าไม่มีเงินถึงได้ประโคมเงินลงบนร่าง
อย่ามองว่านางหน้าตางามพิสุทธิ์ผุดผ่อง ดูจากโหงวเฮ้งแล้วกระดูกโหนกแก้มสูงสังหารสามีไม่ต้องใช้มีด อำมหิตนักล่ะ
แมงป่องขี่ตัวต่อ (เป็นสัตว์มีพิษทั้งคู่ จึงเปรียบเปรยว่าร้ายทั้งคู่) ชายหญิงคู่นี้ช่างสมกันยิ่งนัก
อย่าเห็นว่าตอนนี้พวกเขาสองคนคลอเคลียแนบชิด ตัวติดกันเหมือนทากาว อันที่จริงเข้ากันไม่ได้เลย
หลิวจวี้เป่าไม่สนใจคำนินทาในทางส่วนตัวพวกนี้ของภรรยาตนเอง ถึงอย่างไรสตรีสิบกว่าคนอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำแล้วหาเหตุผลมารวมตัวพูดคุยกัน เนื้อหาที่พูดคุยก็ไม่มีทางแพร่ออกไปภายนอกอยู่แล้ว
สตรีดึงมือของบุตรชายมา พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ลูกเอ๋ย คนมีเงินหาภรรยา รู้หรือไม่ว่าต้องดูที่เรื่องอะไร?”
หลิวโยวโจวใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเล็กน้อย จึงตอบอย่างขอไปทีว่า “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร”
สตรีพูดพึมพำกับตัวเอง “สตรีที่หน้าตางดงามเกินไป หากไม่ใช่สาวงามเป็นต้นเหตุของเภทภัย ก็คือสาวงามที่อายุสั้น เจ้าอย่ามองหาสตรีแบบนี้เด็ดขาดเชียว”
“อันดับแรกคือนางต้องชอบเจ้าจริงๆ รองลงมาคือมีใจกตัญญู สามารถเห็นพ่อแม่สามีเป็นเหมือนพ่อแม่แท้ๆ ของตัวเอง สุดท้าย ในดวงตาของนางต้องมีเงิน แต่ไม่ถึงขั้นตาตกไปอยู่ในกองเงิน ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นสตรีที่ล้างผลาญ แน่นอนว่าต่อให้ลูกสะใภ้จะใช้เงินมือเติบแค่ไหน ตระกูลของเราก็ไม่มีทางถูกล้างผลาญได้หมด แต่ปัญหาคือมันน่ารำคาญใจไงล่ะ สตรีลิ้นยาวบนภูเขามีมากมายขนาดนั้น พวกนางชอบซุบซิบนินทาลับหลังเป็นที่สุด คำพูดไม่น่าฟังอะไรบ้างที่พวกนางพูดไม่ได้? ข้าพูดถึงคนอื่นได้ คนอื่นพูดถึงข้ากลับไม่ได้เด็ดขาด”
“หาคนผิด หนึ่งหายนะกดทับร้อยความมั่งมี กิจการของตระกูลส่วนใหญ่ล้วนเก็บรักษาไว้ไม่อยู่ แต่ขอแค่หาคนถูก ก็คือหนึ่งความโชคดีสยบร้อยพิบัติภัย”
หลิวโยวโจวไม่ฟังได้ แต่นายท่านเทพเจ้าสกุลหลิวแห่งธวัลทวีปได้แต่อดทนฟังสตรีออกเรือนแล้วพร่ำบ่น เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดด้วยซ้ำ ประเด็นสำคัญคือจะฟังเข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวาก็ไม่ได้
เพราะจะต้องมีการทดสอบเขาอย่างต่อเนื่อง เมื่อครู่นี้ประโยคที่สามพูดว่าอะไร? หากไม่ระวัง สตรีออกเรือนแล้วก็จะน้ำตาคลอเจียนจะหยด ตำหนิว่าเขาหลายใจ ออกจากบ้านมาก็ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ในใจไม่มีสตรีแก่หน้าเหลืองอย่างนางอีก ดอกไม้ในบ้านไม่หอมเท่าดอกไม้นอกบ้าน
สุดท้ายสตรีออกเรือนแล้วเก็บอารมณ์สีหน้าทั้งหมดมา พูดเสียงเบาว่า “โยวโจวอ่า แต่งภรรยาจะต้องแต่งสตรีที่จิตใจดีงามนะ นั่นต่างหากถึงจะเป็นความสุขอย่างแท้จริง คือการกวักเงินกวักทองเข้าบ้านที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก”
หลิวโยวโจวพยักหน้า “แม้ว่าท่านแม่จะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่กลับพูดจาเป็นความจริงที่มีประโยชน์อย่างมาก”
สตรีออกเรือนแล้วตบหลังมือของบุตรชาย “โยวโจวของพวกเราพูดเก่งขนาดนี้ ทำไมถึงหาภรรยาไม่ได้เสียทีนะ ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย”
หลิวจวี้เป่าพยักหน้าเห็นด้วย
สตรีนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็พูดกำชับว่า “ไปทำอะไรที่ใบถงทวีป ไม่ต้องไปหรอก สถานที่ที่มีแต่มลพิษสกปรก ไม่มีความหมายใดๆ เลย”
หลิวโยวโจวเอ่ยอย่างจนใจ “ท่านแม่ ท่านอย่าเอาแต่บ่นแบบนี้ได้หรือไม่”
สตรีหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาซับหัวตา หลิวโยวโจวจึงได้แต่เอ่ยปลอบโยน พูดจาหวานหูน่าฟังถึงทำให้ท่านแม่ไม่ต้องลำบากบีบน้ำตาต่อ
อยู่ดีๆ หลิวโยวโจวก็นึกถึงแม่นางคนหนึ่งที่ได้พบเจอโดยบังเอิญที่ศาลเหลยกงขึ้นมา
เรือข้ามฟากลำหนึ่งลอดทะลุทะเลเมฆมุ่งหน้าไปยังท่าเรือทางทิศตะวันออกของศาลบุ๋น ระยะทางขุนเขาสายน้ำยังอยู่ห่างไกลอีกหลายพันลี้
เมื่อเทียบกับเรือของสกุลหลิวธวัลทวีปแล้ว เรือข้ามฟากลำนี้ดูยากจนข้นแค้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด
แต่เรือข้ามฟากที่เดินทางออกจากฝูเหยาทวีปลำนี้ สถานที่ที่เดินทางผ่าน ระหว่างทางไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่ทะยานลมหรือเรือข้ามฟากของตระกูลอื่น อย่าว่าแต่เอ่ยทักทาย เพียงแค่มองเห็นไกลๆ ก็เป็นฝ่ายอ้อมไปยังทางอื่น กลัวเพียงว่าจะหลบไม่พ้นแล้ว
เหตุผลนั้นเรียบง่ายยิ่ง
นครจักรพรรดิขาว
วันนี้บนเรือข้ามฟากลำนี้นอกจากเจิ้งจวีจงเจ้านครจักรพรรดิขาวแล้ว
ยังมีหลิ่วชื่อเฉิงที่กลับเข้ามาอยู่ในหอแก้วใสอีกครั้ง สวมชุดคลุมเต๋าสีชมพู รวมไปถึงศิษย์พี่หญิงที่นิสัยฉุนเฉียวใจร้อนที่สุดของหลิ่วชื่อเฉิง หานเชี่ยนเซ่อ
ศิษย์พี่หญิงท่านนี้ นอกจากเจ้านครแล้วก็เป็นคนที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมที่สุด นางเคยสาบานว่าจะต้องเรียนเวทคาถาบนมหามรรคาสิบสองชนิดให้สำเร็จ ผลคือทุกวันนี้เพิ่งจะเรียนได้ไปสิบชนิดเท่านั้น ปัญหาก็คืออีกสองชนิดหลังเป็นวิชาที่เรียนได้ยากยิ่ง
เจิ้งจวีจงออกจากฝูเหยาทวีปเดินทางกลับมายังแผ่นดินกลางอีกครั้งครานี้ พาลูกศิษย์ผู้สืบทอดมาแค่สองคนเท่านั้น
ลูกศิษย์ใหญ่มีนามว่าฟู่จิ้น ผู้ฝึกกระบี่ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ชิวฉาน (จักจั่นในฤดูใบไม้ร่วง) ตรงเอวห้อยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ลูกหนึ่ง
ฟู่จิ้นและอาจารย์ล้วนสวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ
ลูกศิษย์คนเล็ก กู้ช่าน สวมชุดสีเขียว คิ้วตาอ่อนโยน
หานเชี่ยนเซ่ออาจารย์อาหญิงของเขา เวลานี้ยืนอยู่ข้างกายกู้ช่าน กำลังพูดถึงเรื่องบุคคลมหัศจรรย์บนยอดเขาของไพศาลให้กู้ช่านฟังเบาๆ ใครที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับนครจักรพรรดิขาว ใครที่มีความแค้นกับนครจักรพรรดิขาว
นิสัยดีเพียงน้อยนิดของหานเชี่ยนเซ่อนั้น ดูเหมือนว่าจะมอบให้ศิษย์หลานกู้ช่านไปหมดแล้ว
ก่อนหน้านี้ตอนที่กู้ช่านอยู่ฝูเหยาทวีปแล้วเจอร่องรอยของถ้ำสวรรค์เล็กบรรพกาลที่ปริแตกแห่งนั้น ก็เป็นนางที่ปกป้องมรรคาให้เขาอย่างลับๆ เพียงแต่ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย
บนเรือข้ามฟากยังมีไฉ่ป๋อฝูที่กล้าๆ กลัวๆ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงอยู่ด้วยอีกคน อาศัยใบบุญของมารน้อยกู้ ผ่านความยากลำบากนานัปการ พอมาถึงนครจักรพรรดิขาวก็เป็นดั่งหมาและไก่ที่ได้บินขึ้นสวรรค์ไปด้วย แม้ว่าจะไม่อาจกลายเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดในศาลบรรพจารย์ของนครจักรพรรดิขาวได้โดยตรง แต่ได้เป็นลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ ความซาบซึ้งน้ำมูกน้ำตาไหลของไฉ่ป๋อฝูก็เป็นความรู้สึกจากใจจริง เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนอิสระล่างภูเขาในใต้หล้านี้ ใครบ้างที่ไม่มองนครจักรพรรดิขาวซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางเมฆหลากสีเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจ ก็เหมือนศาลบุ๋นในสายตาของบัณฑิต
หลิ่วชื่อเฉิงพาไฉ่ป๋อฝูมาที่ห้องของกู้ช่าน เพราะว่าไม่ได้เคาะประตูจึงถูกมรรคกถาวิชาหนึ่งจากหานเชี่ยนเซ่อที่อยู่ตรงระเบียงชมทิวทัศน์
หลิ่วชื่อเฉิงยังดีหน่อย ทว่าไฉ่ป๋อฝูกลับล้มไปกองอยู่กับพื้นในชั่วพริบตา นอนจมอยู่ท่ามกลางกองเลือด หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นนั่งได้แล้ว ไม่ต้องให้หลิ่วชื่อเฉิงปลอบใจแม้แต่ครึ่งคำก็ลุกขึ้นเดินกลับเข้าห้องไปพักรักษาอาการบาดเจ็บเพียงลำพัง
ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา การเดินขึ้นสวรรค์ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่เจอกับความยากลำบากเลยจะได้อย่างไร แค่ทำตัวให้ชินเดี๋ยวก็ดีเอง
หลังจากเคาะประตูอย่างว่าง่ายแล้ว หลิ่วชื่อเฉิงที่สะบัดชายแขนเสื้อสองข้างก็เดินเข้าไปในห้อง มาที่ระเบียงชมทิวทัศน์ ฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว หันหน้ามายิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่หญิง ครั้งนี้ไม่แน่ว่าอาจได้เจอเจ้าฉินจ่าวของหลิวเสียทวีปผู้นั้นก็ได้นะ”
หานเชี่ยนเซ่อหัวเราะหยัน “เซียนเหรินผายลมสุนัข เจออาเหลียงก็ไม่กล้าแม้แต่จะผายลม จะเป็นสุนัขได้อย่างไร”
หลิ่วชื่อเฉิงยิ้มถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น “ศิษย์พี่หญิง ไม่สู้ให้ข้าพากู้ช่านไปเจอกับฉินจ่าวผู้นั้นด้วยกันดีไหม?”
หากเกิดเรื่องขึ้นจริงก็มีศิษย์พี่คอยรับผิดชอบให้ จะยังต้องกลัวอะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่ฉินจ่าวผู้นั้นคือเซียนเหรินกระดาษเยื่อไผ่ มีแต่ขอบเขตเสียเปล่า ไม่มีความสามารถที่แท้จริงอะไร ไม่อย่างนั้นสนามรบทางทิศใต้ของหลิวเสียทวีป ฉินจ่าวหรือจะไร้ผลงานใดๆ จนเหมือนแค่ไปเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำเท่านั้น เมื่อเทียบกับชงเชี่ยนเซียนเหรินศิษย์น้องหญิงของเขาที่เชี่ยวชาญด้านการเข่นฆ่าบนสนามรบแล้วด้อยกว่าไม่ใช่แค่นิดๆ หน่อยๆ เท่านั้น เป็นเหตุให้ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าสำนักแต่กลับไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมการประชุม
สีหน้าของหานเชี่ยนเซ่อดุร้ายขึ้นมาในชั่วพริบตา
หลิ่วชื่อเฉิงรีบยกสองมือขึ้น “ก็ได้ๆ ศิษย์น้องรับรองว่าจะไม่ลากเอากู้ช่านไปก่อเรื่องด้วยกัน”
พวกคนที่มีลำดับศักดิ์สูงของนครจักรพรรดิขาวอย่างหานเชี่ยนเซ่อ หลิ่วชื่อเฉิงนี้ เดิมทีก็เป็นคนที่เจิ้งจวีจงรับลูกศิษย์แทนอาจารย์อยู่แล้ว ส่วน ‘อาจารย์ผู้มีพระคุณ’ ท่านนั้น กลับไม่เคยปรากฎกายที่นครจักรพรรดิขาวมาก่อน ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกตนอย่างหลิ่วชื่อเฉิงแล้ว เจิ้งจวีจงก็คืออาจารย์ครึ่งตัว ศิษย์พี่ครึ่งตัว เป็นศิษย์พี่ในนาม แต่กลับปฏิบัติตัวเหมือนอาจารย์
นครจักรพรรดิขาวของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเหมือนกับตำหนักสุ้ยฉูของใต้หล้ามืดสลัวอย่างมาก
อู๋ซวงเจี้ยงออกคำสั่ง ทุกคนล้วนยินดีกระโจนสู่ความตาย
แต่นครจักรพรรดิขาว ผลลัพธ์เหมือนกัน ทว่าสาเหตุที่ไม่กล้ากลับมีความต่างอยู่บ้างเล็กน้อย นั่นคือทุกคนไม่กล้าไม่กระโจนเข้าหาความตาย
วิธีการควบคุมจิตใจคนของเจิ้งจวีจงนั้นเลิศล้ำถึงขีดสุด
ในฐานะยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งแห่งวิถีมารอย่างสมชื่อ การกระทำที่เจิ้งจวีจงทำไปในสนามรบของฝูเหยาทวีป ถูกขนานนามว่า ‘หนึ่งคนปิดฉากขุนเขาสายน้ำหนึ่งทวีป’
ดังนั้นทุกวันนี้บนยอดเขาจึงมีคำกล่าวหนึ่ง ยินดีถามกระบี่ต่อหลิวชา แต่อย่าไปถามมรรคากับเจิ้งจวีจง
กู้ช่านมีประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อหลายปีก่อน เขาหวนกลับไปเยือน ‘ทะเลสาบซูเจี่ยน’ อีกครั้ง ถูกบีบให้ต้องเปลี่ยนแปลงตัวตนครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นหลิวเหล่าเฉิงแห่งเกาะกงหลิ่ว เป็นหลิวจื้อเม่าแห่งเกาะชิงเสีย เป็นเถียนหูจวินศิษย์พี่หญิงในอดีต เป็นเถ้าแก่ร้านหนังสือคนหนึ่งของนครเหนือเมฆ เป็นเด็กหนุ่มเจิงเย่…
หลิ่วชื่อเฉิงฟุบตัวนอนบนราวรั้ว อ้าปากหาวหวอด หันหน้ามามอง เอาใบหน้าแนบติดรั้ว ยิ้มมองกู้ช่าน
กู้ช่าน ‘คนบ้าคลั่ง’ แห่งนครจักรพรรดิขาว
ทว่าในสายตาของหลิ่วชื่อเฉิง ศิษย์น้องเล็กคนนี้กลับมีลักษณะเหมือนลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุน้อยที่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด เรือนกายสูงเพรียว ใบหน้าปานหยกงาม ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา ดั่งราชาผู้ที่นั่งหันหน้าเข้าหาทิศใต้
แม้ว่าจะมีฉายาว่า ‘คนบ้าคลั่ง’ แต่ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นคนหนุ่มกับตาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสีหน้าหรือคำพูดการกระทำ ล้วนไม่มีกลิ่นอายของความโผงผางบ้าคลั่งอยู่แม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่กู้ช่านออกมาจาก ‘ทะเลสาบซูเจี่ยน’ เจิ้งจวีจงก็มอบตราประทับยันต์ชิ้นหนึ่งให้แก่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนี้ ตรงริมขอบแกะสลักว่า ยามข้าเดินทางผ่านห้าขุนเขา เจ้ายินดีเป็นเจ้าบ้าน เจ้ายังครองตำรามากมาย
ตัวอักษรด้านล่างคือคำว่า ใจข้าขบถต่อวิถีแห่งธรรมะ
หลิ่วชื่อเฉิงร้องเอ๊ะหนึ่งที “เทพเซียนจากที่ใด ใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับกล้าเป็นฝ่ายขยับเข้าใกล้เรือข้ามฟากของพวกเรา?”
กู้ช่านทอดสายตามองไปยังทิศไกล คือเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งที่โชคชะตาน้ำเข้มข้น บนเรือมีเสาหยกคานแกะสลัก งามวิจิตรมากฝีมือ
หานเชี่ยนเซ่อเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน สายตาจึงดีกว่ากู้ช่าน นางพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คือสตรีอ้วนแห่งหลุมน้ำลู่ผู้นั้น ได้เลื่อนตำแหน่งสูงก็เลยแสดงความโอ้อวดให้เห็น”
จากปีศาจใหญ่ที่แยกตัวอยู่อย่างสันโดษ อยู่ๆ ชิงจงฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ก็ปรากฎตัวขึ้นมาบนโลกแล้วผงาดขึ้นมาอย่างว่องไว ทุกวันนี้เป็นผู้ดูแลโชคชะตาน้ำของแผ่นดินเก้าทวีปของไพศาลในนาม
อีกทั้งยังเป็นสถานะที่หลี่เซิ่งแต่งตั้งขึ้นมาด้วย
จากศาลบุ๋นไปจนถึงบนภูเขาจึงไม่มีความเห็นต่างใดๆ แล้ว
จะว่าไปแล้วก็แปลก นอกจากสายบุ๋นลัทธิขงจื๊อใหญ่ๆ ไม่กี่สาย รวมไปถึงบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก หลี่เซิ่งแทบไม่เคยพูดถึงความถูกความผิด หรือใช้กฎระเบียบอะไรกับพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาของใต้หล้าไพศาลเลย
ไม่สนใจเลยจริงๆ
ดังนั้นทุกวันนี้ชิงจงฮูหยินท่านนี้จึงรู้สึกเหมือนฝันไป มีความรู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก เหตุใดอยู่ดีๆ ตนถึงได้กลายมาเป็นเจ้าแห่งโชคชะตาน้ำของผืนดินที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากหลี่เซิ่งได้นะ?
และสำหรับเจิ้งจวีจง ในใจนางก็รู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ราวกับว่าหากไม่มีเจ้านครจักรพรรดิขาวผู้นี้ นางก็ไม่มีทางได้พบเจอกับสตรีที่ภายนอกมองดูแล้วอ่อนแอบอบบางผู้นั้น แล้วก็จะพลาดสงครามใหญ่ครั้งนั้นไป ไม่แน่ว่าอาจจะยืนอยู่ผิดฝั่ง จากนั้นวันใดถ้าไม่ระวังก็คงจะต้องถูกเจ้าตะพาบเฒ่าอย่างฮว่อหลงเจินเหรินตบจนร่อแร่ปางตาย…ทุกครั้งที่คิดถึงความแตกต่างราวฟ้ากับเหวในเรื่องนี้ นางก็จะรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเจิ้งจวีจงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งส่วน
——