มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1924

ชัวะ!

ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมนุษย์หินมดรวดเร็วมาก ๆ เหมือนผีพุ่งใต้ที่แวววาวจับตาดวงหนึ่ง เคลื่อนผ่านอนัตตาจนเกิดเป็นเส้นโค้งที่งดงาม

ความเร็วของเรือรบทองคำนั่นที่ไล่ตามมาก็ไม่ช้าเช่นกัน อย่างน้อยก็เป็นเรือรบระดับจ้าวมหาเทพลำหนึ่ง ความเร็วรวดเร็วกว่าปีกเทพไร้มลทินของหลัวซิวเสียอีก

“ศิษย์พี่หลัว นั่นคือหินนิรันดร์ในตำนานหรือเจ้าคะ?”จีเสี่ยวจื่อก็เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวเช่นกัน

ในอดีตแดนเทวนิรันกาลเคยเปิดออกหลายครั้งแล้ว และเคยมีผู้ค้นพบหินนิรันดร์เช่นกัน ทว่าเนื่องจากความเร็วของมนุษย์หินที่กลายมาจากก้อนหินก้อนนี้รวดเร็วมากเกินไป ดังนั้นถึงแม้จะถูกคนค้นพบ แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดสามารถจับมันได้

ครั้งนี้เห็นได้ชัดเจนเลยว่ามีคนได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าแล้ว นำเรือรบระดับจ้าวมหาเทพเข้ามา ถึงแม้การที่จะไล่จับมนุษย์หินมดให้ได้นั้นก็ยังไม่ใช่เรื่องง่าย ทว่าอย่างน้อยก็สามารถไล่ตามหลังความเร็วของเจ้าหนูนั่นได้แล้ว

ในระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น ความเร็วของมนุษย์หินมดก็ยิ่งอยู่ยิ่งเร็วขึ้น ถึงกับเร่งความเร็วเต็มที่อย่างกะทันหัน กลายเป็นลำแสงหนึ่งพุ่งตรงมาทางหลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อโดยตรง

หลัวซิวหรี่ตาลง สัมผัสได้ถึงกฎชีวิตที่ตนฝึกเกิดความรู้สึกร่วมกับหินนิรันดร์ เขาก้าวเท้าออกไปหนึ่งก้าว คุ้มกันจีเสี่ยวจื่อไว้ด้านหลังตน

หลังจากที่มนุษย์หินมดยิ่งอยู่ยิ่งใกล้เข้ามา หลัวซิวจึงยื่นมือออกไปอย่างไม่ลังเลใจ พลางโคจรกฎชีวิตพลางยื่นมือออกไปจับมันไว้

แต่ทว่าสิ่งที่ทำให้หลัวซิวรู้สึกแปลกใจคือมนุษย์หินมดไม่มีการต่อต้านใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นคือมันไม่แม้แต่จะหลบหลีก ปล่อยให้หลัวซิวจับมันตามสบาย

“โครมคราม……”

เรือรบทองคำมาเยือนโดยบดขยี้อนัตตา ชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่งที่ยืนอยู่บนเรือรบมองมาทางหลัวซิวอย่างเย็นเยือก

“เจ้าหนู ส่งหินนิรันดร์ออกมา!”

พอสิ้นเสียงชายหนุ่มชุดทอง ก็มีเงาดำสิบกว่าร่างบินลงมาจากเรือรบ ทำการรายล้อมจีเสี่ยวจื่อและหลัวซิวทั้งสองคนเอาไว้อย่างแน่นหนา

“เสี่ยวจื่อ ถอยหลังไป!”

หลัวซิวพูดกระแทกเสียงต่ำ แล้วนำหอกมังกรแดงมืดออกมาโดยตรง ในเมื่อสมบัติล้ำค่าอย่างหินนิรันดร์ตกอยู่ในกำมือของเขา แล้วจะส่งมันออกไปให้ผู้อื่นได้อย่างไรเล่า?

เงาร่างที่กำลังรายล้อมเขาและจีเสี่ยวจื่อเอาไว้ไม่ใช่นักยุทธ์แต่อย่างใด แต่เป็นหุ่นเชิดที่กลั่นขึ้นมาโดยค่ายกล ซึ่งทุกตัวล้วนมีออร่าที่สามารถเทียบทัดผู้แข็งแกร่งมกุฎเทพขั้นปฐมภูมิ

จีเสี่ยวจื่อก็เข้าใจดีมาก ๆ เช่นกันว่าตนเองเพิ่งบรรลุสู่มกุฎเทพ ณ วินาทีนี้นางช่วยเหลือหลัวซิวได้น้อยมาก ดังนั้นจึงเลือกที่จะถอยหลังกลับไปอย่างเชื่อฟังคำสั่ง ทว่ากลับไม่ได้ถอยออกไปไกลมากนัก หากถึงช่วงเวลาที่จำเป็น นางก็จะลงมือช่วยเหลือเช่นกัน ไม่มีทางทิ้งให้หลัวซิวอยู่ที่นี่คนเดียว

“ฆ่ามันซะ!”

พอสิ้นเสียงคำสั่งของชายหนุ่มชุดทอง หุ่นเชิดมกุฎเทพสิบกว่าร่างจึงลงมือภายในชั่วพริบตา มือใหญ่ทั้งหลายบดขยี้อนัตตา เหมือนดั่งภูเขาที่สูงใหญ่ย่างกรายมาถึงนภาเหนือศีรษะหลัวซิว

หลัวซิวอยากเก็บหินนิรันดร์เข้าไปในแหวนเก็บของ แต่กลับพบว่าเก็บเข้าไปในแหวนเก็บของไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอามนุษย์หินมดซ่อนไว้ในกระเป๋าตรงหน้าอก กวัดแกว่งหอกมังกรแดงเลือดจนแสงหอกฉีกกระชากฟ้าดิน

“ตู้มม!”

หุ่นเชิดมกุฎเทพสิบกว่าตัวร่วมมือกันโจมตี ถึงแม้กำลังรบของหลัวซิวจะแข็งแกร่งมาก ๆ ทว่าก็ยากที่จะต้านทานไหว ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปภายในพริบตา กระแทกเข้ากับหินอุกกาบาตหลายลูกจนหินอุกกาบาระเบิดแตก

“ไอ้คนไม่รู้จักความเป็นความตาย สมบัติของมู่ช่าวหวงอย่างข้ามึงก็กล้าแย่งอย่างนั้นหรือ?”ลักษณะท่าทางของชายหนุ่มชุดทองที่อยู่บนรบดูหมิ่นมาก ภายใต้การร่วมมือกันโจมตีจากหุ่นเชิดมกุฎเทพสิบกว่าตัวนี้ มาตรแม้นว่าเป็นผู้ที่ได้รับสมญานามว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเด็กอัจฉริยะอย่างพระโอรสจ้านเทียนก็ไม่กล้าต้านรับโดยตรง

เงาร่างของหลัวซิวเดินออกมาจากฝุ่นละอองหลังหินอุกกาบาตระเบิดแตก รอบกายมีเปลวไฟสีแดงมืดลุกโชน ส่วนบนใบหน้าของเขาก็สวมใส่หน้ากากซิวหลัวสีแดงเลือดอีกครั้ง

คนดังกล่าวเรียกแทนตัวเองว่ามู่ช่าวหวง และจากความเข้าใจของหลัวซิว มหาจักรพรรดิยุทธ์สรรพสิทธิ์ในอดีตก็แซ่มู่ ตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ก็เป็นตระกูลมหาจักรพรรดิยุทธ์ในมหาโลกาใบหนึ่งเช่นกัน ซึ่งมีตำแหน่งเทียบเท่าหอยอดอัมพรในมหาโลกาหออัมพร