ตอนที่ 1762 ย่ำแดนดินคุนหลุนผา

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

เหตุใดแดนกษิติครรภ์ถึงมองหลินสวินเป็นคนนอกรีตที่ต้องฆ่าทิ้ง

หนึ่งเป็นเพราะไม้โพธิ์ที่ผนึกพลังต้องห้ามไว้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือหลินสวินครอบครองคัมภีร์มหาครรภ์จุติ!

อย่างก่อนหน้านี้ที่หลินสวินมองทะลุวิชาเคลื่อนย้ายของคูตู้ได้ สิ่งที่ใช้ก็คือภินิหารหนึ่งที่อยู่ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติ

ณ ที่นั้นเงียบกริบ พวกจวนอวี๋เหิง ถังซู เนี่ยเจี้ยนเฉินต่างหวาดหวั่นใจ

พวกเขาก็ต่างดูฐานะของซาหลิวชิงกับคูตู้ออก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะถึงกับถูกพวกเขาหมายหัว

นี่เป็นถึงผู้สืบทอดสองในสามยักษ์ใหญ่ของโลกมืด!

ทันทีที่ถูกหมายหัว เภทภัยในภายหน้าก็จะไร้ที่สิ้นสุด

พอรับรู้ได้ถึงจุดนี้ ทั่วเฉิงไห่ที่เดิมหดหู่จนแทบกระอักเลือดก็ยินดีปรีดา ดีใจที่ผู้อื่นเป็นทุกข์ขึ้นมาครู่หนึ่งอย่างอดไม่ได้

เขารู้ดีว่าหลังจากเข้าสู่แหล่งสถานคุนหลุน ก็มีผู้สืบทอดของหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ตายลงด้วยน้ำมือหลินสวินไม่รู้เท่าไร

เยี่ยนฉุนจวิน ลู่อ๋าง กู่ฉางซิน เถาเจี้ยนสิง คุนจิ่วหลิน ซวีหลิงคุน เหวินฉิงเสวี่ย… คนเหล่านี้ต่างเป็นบุคคลชั้นยอดที่เลื่องชื่อทั้งนั้น

นอกจากคนเหล่านี้ จวบจนตอนนี้มีผู้แข็งแกร่งตายด้วยน้ำมือหลินสวินอย่างน้อยหลายร้อยคน!

เรื่องพวกนี้หากกระจายออกไป จะมีขุมอำนาจใหญ่บนทางเดินโบราณฟ้าดารากลุ่มไหนยอมปล่อยเจ้าหมอนี่ได้กัน

ตอนนี้แม้แต่โลกมืดยังหมายหัวหลินสวิน นี่ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงอย่างไม่ต้องสงสัย!

เป็นอย่างที่คูตู้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่ชั่วชีวิตนี้หลินสวินจะไม่ไปเหยียบทางเดินโบราณฟ้าดารา หาไม่ต้องถูกขุมอำนาจใหญ่ไม่รู้เท่าไรโจมตีแน่

“ยิ้มชอบใจขนาดนี้ ไม่ปวดแก้มหรือ”

จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยปาก ทอดสายตามองไป

ทั่วเฉิงไห่ใบหน้าแข็งทื่อ เดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ผุดลุกขึ้นทันควัน “หลินสวิน คิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่กล้าประมือกับเจ้า”

“จะแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันดูไหมล่ะ”

กลับเห็นว่าถังซูสีหน้าตั้งตาคอย

ทั่วเฉิงไห่หน้าเจื่อน โกรธจนแทบกระอักเลือด

“เอ๊ะ!”

ในตอนนี้เอง จู่ๆ จวนอวี๋เหิงก็ส่งเสียง

มองไปตามสายตาเขาก็พบว่าเหนือท้องฟ้าสูง ศิลามรรคสักการะป้ายหนึ่งลอยอยู่สูงขึ้นไปเจ็ดพันจั้ง ทัดเทียมกับศิลามรรคสักการะของจวนอวี๋เหิง ถึงขั้นสูงกว่าเล็กน้อยอยู่กลายๆ!

ในที่นั้นระส่ำระสายไปครู่หนึ่งด้วย สายตาทอดมองไปยังเงาร่างงามล้ำที่อยู่บนแท่นมรรคห้าสีนั้นโดยมิได้นัดหมาย

เพราะว่านี่เป็นศิลามรรคสักการะของอาหู!

และเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่มีผลสำเร็จสูงกว่าจวนอวี๋เหิงจนถึงตอนนี้!

“ถ้าเจ้าไม่กล้าลงมือกับแม่นางถังซู พวกเรามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันสักรอบดีไหม”

อาหูเสื้อผ้าพลิ้วไหว ยิ้มเดินลงมาจากแท่นมรรคห้าสี

นางท่วงท่านุ่มนวลอ่อนหวาน สง่างามยิ่งนัก แววตางดงามเปี่ยมชีวิตชีวาจับจ้องไปที่ทั่วเฉิงไห่

“หึ! ข้าไม่เหมือนหลินสวิน ไม่เคยรังแกผู้หญิง”

ทั่วเฉิงไห่ยิ้มหยัน นั่งลงอีกครั้งด้วยสีหน้าอึมครึม

“เป็นอย่างไรบ้าง”

สายตาอาหูมองที่หลินสวิน ออกจะเป็นห่วง

แม้พวกซาหลิวชิงถูกฆ่าไปหมด แต่การปรากฏตัวของพวกเขากลับรบกวนใจหลินสวินที่กำลังสัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะ

“ไม่เป็นไร”

หลินสวินเอ่ย สองมือไพล่หลัง มองไปที่จักรวาลเวิ้งฟ้าเหนือหัว

เพียงแต่ในสายตาของเขา จักรวาลแห่งนี้เปลี่ยนไปไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว

และไม่มีใครรู้ว่าในการหยั่งรู้ชั้นลึกก่อนหน้านี้ หลินสวินไม่เพียงมองทะลุแดนบ่อเกิดที่ ‘เตามารดาหลอมสมบัติ’ ถือกำเนิดขึ้น

แต่ยังได้รับการหยั่งรู้อันน่าเหลือเชื่ออีกด้วย!

“จริงด้วย ทำไมเจ้าถึงเลือกใช้ ‘แรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต’ สักการะล่ะ”

หลินสวินไม่เข้าใจอยู่บ้างจึงเอ่ยถามอาหู การได้รับแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิตและกลายเป็นอริยบุคคล ทำให้พลังของตนแปรสภาพ มีอานุภาพแห่งอริยบุคคล สามารถบรรลุเป็นมกุฎราชันอริยะในภายหลังได้จริง

แต่เทียบกันแล้วกลับสู้การสักการะด้วย ‘แรงปรารถนาแห่งมหามรรค’ ไม่ได้!

อุทิศตนเป็นอริยบุคคลด้วยแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิต ในเวลาเดียวกันก็ต้องมองประโยชน์สุขของสรรพชีวิตเป็นที่ตั้ง เช่นการใช้มรรคของตนสั่งสอนสรรพชีวิต เผยแพร่มรรคในใต้หล้า

ดูเหมือนง่าย แต่ความจริงแล้วยากนัก!

อีกทั้งทันทีที่ไม่ทำเช่นนี้ ก็จะถูกแรงปรารถนาแห่งสรรพชีวิตเหนี่ยวรั้ง ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการฝึกปราณของตนในอนาคต

แต่การใช้แรงปรารถนามหามรรคสักการะจะไม่ได้รับผลกระทบเช่นนี้

อาหูยิ้มเอ่ย “เช่นนี้แหละดีแล้ว มหามรรคที่ข้าเสาะแสวงยังไม่ถึงขั้นสามารถอุทิศตนเป็นอริยบุคคลได้ รอภายหน้ามีโอกาสข้าก็อยากเปิดสำนักตั้งพรรค สองสั่งสรรพชีวิต ประสาทวิชามรรค เผยแผ่แก่นอัศจรรย์แก่พวกเขา”

หลินสวินไม่พูดอะไรอีก

นี่ก็คือการเสาะแสวงมหามรรค สิ่งที่ทุกคนไขว่คว้าย่อมแตกต่างกันไป

ฮูม!

ไม่นานนักฮว่าซิงหลีก็หยั่งถึงจุดเปลี่ยนสักการะสายหนึ่ง จึงขึ้นไปบนแท่นมรรคห้าสี

เขาไม่เหมือนกับจวนอวี๋เหิง เนี่ยเจี้ยนเฉินและถังซูที่อยู่ข้างหน้า พลังสักการะที่ชักนำมาถึงกับเป็นแสงมรรคโอฬาร!

ปรากฏการณ์ประหลาดน่ากลัวอย่าง ‘สามพันแดนมาร หมื่นวิญญาณสลายเคราะห์’ ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของเขา!

“สักการะด้วยแรงปรารถนามหามรรค!”

หลินสวินนัยน์ตาหดรัด

แทบจะในขณะเดียวกัน เสียงร้องตื่นตะลึงระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น ทุกคนที่อยู่ในลานอย่างจวนอวี๋เหิง ถังซูยังเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาอย่างอดไม่ได้

เพราะจนถึงตอนนี้ นี่คือคนเดียวที่อุทิศตนเป็นอริยบุคคลด้วย ‘แรงปรารถนามหามรรค’ เห็นชัดว่าโดดเด่นต่างจากผู้อื่น

“คิดไม่ถึงว่าฮว่าซิงหลีคนนี้จะถึงกับบุกเบิกวิชามรรคมารใหม่วิชาหนึ่ง ได้รับการยอมรับจากพลังสักการะเสียได้…”

สายตาที่จวนอวี๋เหิงมองฮว่าซิงหลีเปลี่ยนไปแล้ว

คนอื่นก็ไม่อาจสงบจิตใจลงได้

โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นศิลามรรคสักการะของฮว่าซิงหลีพุ่งขึ้นไปบนฟ้าสูงด้วยความเร็วน่าตกใจ เอาชนะผลสำเร็จของทุกคนก่อนหน้านี้ในคราวเดียว ทะยานสูงขึ้นไปถึงแปดพันจั้ง ทุกคนทั้งที่นั้นก็ร้องตื่นตะลึงขึ้นมาระลอกหนึ่ง

ผลสำเร็จเช่นนี้ไม่เพียงแต่น่าตกตะลึง ยังกดข่มผลงานของคนรุ่นก่อนที่เคยเฉิดฉายที่นี่ในอดีตบางส่วนด้วย!

“ในเรือนมรรคเหล่ามาร ภายหน้าจะมีบุคคลผู้เยี่ยมยอดเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่งแล้ว…”

อาหูยังตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

ฮว่าซิงหลี บุคคลแห่งยุคที่อันดับบนกระดานมหาอริยะฟ้าดาราต่ำกว่าซวีหลิงคุนกับจวนอวี๋เหิงไปมาก แต่กลับสร้างผลงานน่าตื่นตายามอุทิศตนเป็นอริยบุคคลเช่นนี้ได้ นี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ใครก็คิดไม่ถึง

“พี่หลิน ก็เหลือเจ้าคนเดียวแล้ว”

ฮว่าซิงหลีเดินลงมาจากแท่นมรรคห้าสี เขาผมสีเงินดุจหิมะทั้งศีรษะ ใบหน้ายังซีดขาวอมโรคดังเดิม

แต่ทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้ากลับมีความน่าเกรงขามดั่งตั้งตระหง่านเหนือเวิ้งฟ้า

หลายคนต่างทอดสายตามองหลินสวิน

ตอนนี้บนแท่นมรรคห้าสีนี้ก็เหลือหลินสวินเพียงคนเดียวที่ยังไม่สัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะจริงๆ

พวกเขาต่างสีหน้าแตกต่างกันไปอย่างอดไม่ได้

หลินสวินก่อนหน้านี้อหังการและแข็งแกร่งปานไหน แต่กลับยังไม่อาจสักการะอริยมรรคได้เสียอย่างนั้น คงไม่ใช่ว่า… เป็นเพราะถูกพวกซาหลิวชิงรบกวน ทำให้เขาเสียโอกาสได้ศุภโชคนี้ไปจริงๆ แล้วกระมัง

ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินยิ้มแล้วเดินไปยังแท่นมรรคห้าสีที่อยู่ไกลออกไป

เขาเยื้องย่างเนิบนาบประหนึ่งเดินเล่นในสวน เยือกเย็นสบายอารมณ์อย่างบอกไม่ถูก

ทว่าทุกคนต่างอึ้งไป

นี่เขาจะทำอะไร

ควรรู้ว่าหากยังไม่หยั่งถึงจุดเปลี่ยนสักการะ ไม่มีใครเข้าใกล้แท่นมรรคห้าสีนั้นได้!

นี่เป็นสิ่งที่มีคนทดลองหลายครั้งมานานแล้ว

และตอนนี้หลินสวินที่ยังสัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะไม่ได้ แต่กลับเดินไปยังแท่นมรรคห้าสี ย่อมทำให้ทุกคนรู้สึกประหลาดใจ

“หลินสวิน เจ้าไม่ยินยอมหรือ แต่เจ้าควรรู้ว่าในอดีตคนที่มาถึงแท่นสักการะแต่คว้าจุดเปลี่ยนสักการะไว้ไม่ได้เหมือนเจ้ามีมากนัก!”

ทั่วเฉิงไห่เอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ ดูเหมือนเป็นการเตือน แต่กลับเจือนัยคลุมเครือ ราวกับกำลังดูเรื่องตลก

อาหูมุ่นคิ้วเรียวงาม ไม่ได้พูดอะไร เพราะนางก็ไม่เข้าใจว่าหลินสวินจะทำอะไรเช่นกัน

พวกจวนอวี๋เหิง ถังซู เนี่ยเจี้ยนเฉิน ฉีเซี่ยนอวี๋ต่างจับตามองการเคลื่อนไหวอันผิดปกติของหลินสวินนี้ เจือด้วยความกังขาและไม่เข้าใจ

ทั้งหมดนี้หลินสวินไม่สนใจสักนิด

ภายในสภาวะจิตของเขากลับมีเสียงธรรมกังวานดั่งระฆังใหญ่ ดังสนั่นจนคนหูหนวกยังต้องเหลียวหลัง

‘ยาตรานภสินธุ์ ย่ำแดนดินคุนหลุนผา!’

มรรคคาถาท่อนเดียวกลับเหมือนพลังวิเศษอัศจรรย์ ส่งผลให้ทัศนียภาพของจักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาลภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นในสมองหลินสวิน

มีทั้งวังวนเปลวเพลิงมหึมาดั่งหลุมดำฟ้าดารา แปรสภาพเป็นแหล่งกำเนิดมรรคหลอมสมบัติ เพลิงมรรคนับหมื่นหลั่งไหลออกมาแผดเผาดวงดารา

มีทั้งทะเลดาราไร้สิ้นสุด ห้วงอากาศว่างเปล่าโดยรอบหนาวเย็นเงียบสงัด เดินเพียงลำพังรู้สึกวิเวกไปชั่วกัลป์

มี…

ทัศนียภาพต่างๆ ประสบการณ์ต่างๆ ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินหยั่งรู้ได้ก่อนหน้านี้

และในตอนนี้เอง ทัศนียภาพเหล่านี้ต่างก็ไหลผ่านสภาวะจิตของหลินสวินอย่างราบเรียบดั่งกระแสธาร

ไม่ว่าจักรวาลไร้สิ้นสุด ดวงดาราหมื่นล้าน ซุ่มซ่อนนัยเร้นลับแห่งมหามรรคใต้หล้า…

ตัวข้าเยื้องย่างเสรี จรลีพุ่งทะยานสูงขึ้นไป!

ท่ามกลางความเลื่อนลอย หลินสวินคล้ายมองเห็นว่าเมื่อนานมาแล้วเคยมีคนผู้หนึ่งอยู่ที่นี่ เยื้องย่างแช่มช้า อยู่เหนือวัฏจักรอย่างอิสระ!

ก็ในตอนนี้เองที่หลินสวินก้าวขึ้นสู่แท่นมรรคห้าสี

ผ่อนคลายสบายใจราวกับเดินบนพื้นราบ

ทุกคนต่างนัยน์ตาหดรัด เขา… ถึงกับขึ้นไปแล้วหรือ

นี่จะน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!

ก่อนหน้านี้พวกเขาแต่ละคนเคยลองมาก่อนทั้งนั้น แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ถูกพลังผนึกที่แผ่ออกมาจากแท่นมรรคห้าสีสกัดไว้

แต่ตอนนี้หลินสวินกลับกลายเป็นข้อยกเว้น!

ยามเดินขึ้นแท่นมรรคห้าสี หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย มีเพียงแววรู้แจ้งเผยออกมาจากดวงตาดำทั้งสอง จิตใจปลอดโปร่งเปิดกว้าง

เขาเงยหน้าขึ้นมองจักรวาลเวิ้งฟ้า สะบัดแขนเสื้อยื่นมือขวาออกไป ชูฝ่ามือขึ้นฟ้า

‘เกี่ยวตะวันแลจันทรา กอบกุมไว้ทั่วอัมพร!’

มรรคคาถาท่อนเดียวราวกับดังเข้าไปถึงส่วนลึกของสภาวะจิต

ในครรลองสายตาของหลินสวิน จักรวาลที่ไพศาลเงียบสงัดราวกับไร้สิ้นสุดนั่นสะท้อนกลับในดวงตา ประหนึ่งหดเล็กลงไปไม่รู้กี่เท่า

“หืม?”

“นี่…”

“สวรรค์!”

ในลานมีเสียงร้องตกตะลึงดังขึ้นระลอกหนึ่ง

ทุกคนไม่อาจทำใจเย็นได้แล้ว แต่ละคนสีหน้าฉงน มองไปยังเวิ้งจักรวาลนั้น

ที่นั่นมีดวงดารานับไม่ถ้วนไหวกะพริบ บ้างสว่างพร่างพราว บ้างหม่นหมองสลัวราง

ก่อนหน้านี้พวกเขาแต่ละคนทำการหยั่งรู้ สัมผัสจุดเปลี่ยนสักการะได้ ดวงดาราแต่ละดวงบนนั้นก็แปรสภาพเป็นพลังสักการะสายแล้วสายเล่าโรยตัวลงมา หลอมเข้าไปในร่างพวกเขา ทำให้พวกเขาแปรสภาพเป็นอริยบุคคลนับแต่นี้

ทว่าตอนนี้ในสายตาของพวกเขา ดวงดารานับไม่ถ้วนในห้วงจักรวาลนั้นล้วนเปล่งประกายเจิดจรัสเป็นสายๆ ออกมา รวมตัวแน่นราวกับธารดาราไหลเชี่ยว โปรยปรายลงมาจากเวิ้งฟ้า!

ใต้หล้าเหมือนกำลังสั่นเทิ้ม ในวัฏจักรเปล่งแสงเจิดจ้า ส่องสว่างไปทั้งฟ้าดารา โชติช่วงหาใดเทียบ ประหนึ่งร่องรอยเทพกำลังถือกำเนิด

ภาพอันน่าเหลือเชื่อนั้นทำให้ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นสั่นสะท้าน!

แม้แต่ผู้ฝึกปราณมากมายที่อยู่ตรงตีนเขา ไม่มีวาสนามาถึงแท่นสักการะ ในยามนี้ก็ยังตื่นตะลึง พากันมองไปที่ส่วนลึกของเวิ้งฟ้า

เดิมทีที่นั่นถูกไอขุ่นมัวขมุกขมัวบดบังตลบอบอวล มองอะไรไม่เห็นทั้งนั้น

แต่ในตอนนี้กลับมีประกายเจิดจ้าสะดุดตาสว่างขึ้นกลางไอขุ่นมัว ฉายส่องเวิ้งฟ้าอันทึบทึมนั้นให้กระจ่าง ศักดิ์สิทธิ์ตระการตา!

ทุกคนล้วนสะท้านสะเทือน ต่างงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นบนแท่นสักการะนั้น

——