หลินหว่านชิวกับกู้เย้นจงต่างตกตะลึงหาใดเปรียบ
ทำให้โรคของกู้เย้นจงหายเป็นปกติ?
นี่…จะเป็นไปได้อย่างไรกัน
พวกเขาทั้งครอบครัวเพื่อโรคนี้แล้วจึงวิ่งเต้นอยู่นานมาก ตามหาผู้เชี่ยวชาญที่เก่งที่สุดบนโลกนี้ ใช้ยาสรรพคุณวิเศษ เครื่องมือในการรักษารวมถึงวิธีรักษาที่ดีที่สุดในโลกนี้
แต่ก็ไร้หนทางที่จะขัดขวางชีวิตอันโรยราอย่างรวดเร็วของกู้เย้นจง
สตีฟ จอบส์ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล ก็เป็นมหาเศรษฐีพันล้านและก็เป็นโรคมะเร็งรุมเร้าเช่นกัน เขาอยู่อเมริกาได้รับการรักษาอย่างดีที่สุด แต่ผลสุดท้ายกลับน่าเสียดายสุดแสน
ผู้เชี่ยวชาญระดับสุดยอดของโลก ไม่มีใครคิดว่าโรคของกู้เย้นจงจะมีหนทางหายเป็นปกติ อีกทั้งในบรรดาคนมากมายก่ายกองต่างก็คิดว่าเขาคงมีชีวิตเหลืออีกไม่ถึงหนึ่งปีแล้ว ถึงขั้นไม่ถึงครึ่งปีด้วยซ้ำ
จู่ๆ เย่เฉินกลับพูดว่าสามารถทำให้เขาหายเป็นปกติได้ พอคนทั้งสองได้ยินก็คิดว่าเป็นคำพูดเหลวไหลไร้สาระสิ้นดี
หลินหว่านชิวถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “เฉินเอ๋อ น้ารู้ว่าเธอเองก็เป็นห่วงลุงกู้ของเธอมาก แต่โรคของเขา…ก็ไร้ทางเยียวยาแล้วจริงๆ …”
กู้เย้นจงพยักหน้ากล่าวว่า “เฮ้อ…เฉินเอ๋อ โรคของลุง ลุงเข้าใจดีที่สุด มะเร็งตับคือโรคที่ร้ายแรงที่สุด อีกทั้งลุงในตอนนี้ก็อยู่ในช่วงระยะสุดท้าย มันแผ่ลามไปทั้งตัว ไม่ทันเสียแล้ว ตามสุภาษิตที่คนจีนอย่างเราพูดกัน คือขนาดเทพเซียนก็ยากจะช่วยแล้ว”
ในใจเย่เฉินมีคำพูดประโยคหนึ่งที่อยากพูด เขาอยากบอกกู้เย้นจงว่า ต่อให้เทพเซียนช่วยลุงไม่ได้ แต่ผมเย่เฉินช่วยได้!”
แต่คำพูดนี้หากคนที่ไม่เข้าใจในเรื่องราวได้ยิน จะต้องรู้สึกว่าตนอวดดีอย่างยิ่งแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ เย่เฉินจึงกล่าวอย่างจริงจังว่า “ลุงกู้ ก่อนหน้านี้ผมเผอิญได้ยาดีชนิดหนึ่งมา มีสรรพคุณในการรักษาโรคทุกชนิดได้ดีอย่างมาก ครั้งนี้ผมพกติดตัวมาด้วย ลุงลองดูหน่อยก็ไม่เสียหาย”
กู้เย้นจงในใจย่อมไม่เชื่อ
ตัวเขาเป็นพวกไม่เชื่อในพระเจ้า เป็นพวกวัตถุนิยมที่ไม่หวั่นไหว เชื่อในวิทยาศาสตร์ ไม่เชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เลยสักนิด ประกอบกลับเขาป่วยมานานจนจะกลายเป็นหมอเสียเองอยู่แล้ว ข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เขาศึกษาจนทะลุปรุโปร่งนานแล้ว ในใจจึงมั่นใจ100%มานานแล้วว่าตนเองไร้ยาที่จะรักษาหายได้ ดังนั้นพอได้ยินคำพูดนี้ของเย่เฉิน เขาจึงได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ อย่างจนปัญญา และกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ เธอมีความตั้งใจเช่นนี้ ลุงซาบซึ้งอย่างมาก เพียงแต่ระดับรุนแรงของโรคชนิดนี้ อาจจะไกลเกินกว่าที่เธอจะเข้าใจ…”
หลินหว่านชิวที่อยู่ด้านข้างก็พยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่แล้ว เฉินเอ๋อ โรคของลุงกู้เธอ พูดได้ว่าเป็นโรคที่ยากรักษา อันตรายและโหดเหี้ยมที่สุดในโลกนี้แล้ว…”
เย่เฉินรู้ว่าพวกเขาไม่เชื่ออย่างแน่นอน จึงเตรียมหยิบยาอายุวัฒนะออกมา ให้กู้เย้นจงลองดูเสียเลย
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆ คนรับใช้ก็วิ่งเข้ามา พูดอย่างเคร่งเครียดเล็กน้อยว่า “คุณท่าน คุณหญิง ท่านรองกับท่านสามจากบ้านสายรองมาค่ะ…”
หลินหว่านชิวพลันขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ถามเสียงเย็นว่า “พวกเขามาทำอะไร?”
คนรับใช้รีบบอกว่า “บอกว่ามาหาคุณกับคุณท่านเพราะมีเรื่องสำคัญจะหารือค่ะ”
หลินหว่านชิวพูดโพล่งออกมา “ให้พวกเขาไปซะ! พวกเรากับพวกเขาไม่มีอะไรให้ต้องพูดดีกัน!”
เพิ่งจะพูดคำนี้จบ ก็ได้ยินน้ำเสียงเดือดดาลของคนคนหนึ่งเยาะเย้ยว่า “โอ้ พี่สะใภ้ ต่างเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่เห็นต้องพูดจาไม่น่าฟังแบบนี้เลย? คุณท่านใหญ่จากไปไม่กี่ปี คุณก็ไม่ยอมให้ผมกับเจ้าสามเข้าประตูแล้ว หากนายท่านใหญ่ที่อยู่ในปรโลกรู้เข้าล่ะก็ สงสัยได้ถูกคุณทำให้โกรธจนฟื้นขึ้นมาแน่!”
เย่เฉินเหลือบตาไปมอง เห็นคนแปดเก้าคน สาวเท้าบุกเข้ามาด้วยท่าทางดุดัน
หลินหว่านชิวพลันมีสีหน้าท่าทางยากจะมองทันที ก่อนจะซักถามว่า “กู้เย้นเจิ้ง! นี่คือบ้านของฉัน! ไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน ใครให้พวกแกบุกเข้ามาโดยพลการ?”