กู้เหว่ยกวงเบะปากกล่าวว่า “โธ่ ญาติผู้พี่ วางมาดใหญ่โตน่าดูเลยนะ อยู่ในตระกูลกู้เราสองคนมีศักดิ์เท่ากัน ต่อให้เธอเป็นพี่สาวฉันแล้วอย่างไร? อีกไม่นานเธอก็เป็นแค่หญิงสาวที่ต้องแต่งงานออกไปเท่านั้น พอเธอแต่งงานออกไปแล้ว เธอก็ไม่ใช่คนของตระกูลกู้อีก ถึงตอนนั้นก็คือคนนอกแล้ว เข้าใจไหม?”

เวลานี้เย่เฉินที่อยู่ด้านข้างอยากจะเอ่ยปากขึ้นมา แต่ยังคงอดทนไว้

เพราะอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องภายในของตระกูลกู้ ตนเองเป็นเพียงคนนอก หาจุดที่จะแทรกเข้าไปอย่างเหมาะสมไม่เจอจริงๆ

หากเวลานี้ตนเองสอดมือเข้ายุ่ง ก็จะเป็นการทำสงครามโดยไร้ข้ออ้าง

อีกทั้งตอนนี้ยังไม่เข้าใจว่าที่อารองกับอาสามของตระกูลกู้มาที่นี่เพราะมีจุดประสงค์ใด ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจสังเกตการณ์ดูอีกหน่อยก่อน

เวลานี้ กู้เย้นจงตะโกนอย่างเดือดดาลว่า “พอแล้ว! พูดเหลวไหลกันให้น้อยๆ หน่อย!”

กล่าวจบ รอให้ทุกคนเงียบเสียงลง เขาถึงมองไปที่กู้เย้นเจิ้งและกู้เย้นกาง พลางถามเสียงเย็นว่า “น้องรอง น้องสาม พวกนายสองคนอย่ามาพูดอ้อมค้อมวกไปวนมาอยู่ที่นี่เลย คิดจะทำอะไร คิดต้องการอะไร ก็จงพูดออกมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่คดในข้องอในกระดูก ทำตัวจู้จี้เหมือนกับพวกป้าๆ ไปได้ ทำชายชาตรีอย่างตระกูลกู้เสียหน้าหมด!”

กู้เย้นเจิ้งลูบคางก่อนจะยิ้มเจือแววชั่วร้ายบางส่วนออกมา กลับจงใจแสร้งถามด้วยความห่วงใยว่า “พี่ใหญ่ ผมได้ยินว่าสุขภาพพี่แย่ลงอีกแล้วเหรอ? ทางโรงพยาบาลบอกให้พี่เข้ารับการรักษาใช่ไหม แต่พี่ปฏิเสธไปแล้ว?”

กู้เย้นจงกล่าวเสียงเย็น “โทษที เมื่อกี้ฉันคิดตกแล้ว ตัดสินใจว่าจะเข้ารับการรักษาต่อ ลูกสาวฉันยังไม่ได้แต่งงาน ฉันไม่อาจตายไปอย่างขี้ขลาดตาขาวเช่นนี้ได้!”

พวกกลุ่มของกู้เย้นเจิ้ง ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าท่าทางก็พลันเปลี่ยนไปทันที

กู้เย้นกางที่อยู่ด้านข้างบ่นออกมาอย่างทนไม่ไหวว่า “พี่ใหญ่ ไหนพี่บอกว่าตัดสินใจที่จะไม่เข้ารับการรักษาแล้วอย่างไรล่ะ? ทำไมเวลานี้ถึงเสียใจภายหลังขึ้นมาแล้ว? โรคนี้ของพี่ ต่อให้พยายามรักษาก็ไม่แน่ว่าจะทำให้พี่มีชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกสิบวันครึ่งเดือน เพื่อเวลาสิบวันครึ่งเดือนนี้ พอถึงโรงพยาบาลก็จะถูกคนทรมาน เคี่ยวกรำและทดลองแทบทุกชนิด พี่ว่าพี่จะทนรับได้หรือ?”

กู้เย้นจงทำสีหน้าเย็นชาถึงขีดสุด กัดฟันกล่าวว่า “พวกแก คิดจะพูดอะไรกันแน่ ยังไม่ยอมพูดเข้าประเด็นอีก อย่ามาโทษที่ฉันไล่พวกแกออกไปแล้วกัน!”

กู้เย้นเจิ้งยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ นายท่านใหญ่ลำเอียง ตอนเขาตาย แบ่งมรดกของตระกูลกู้ให้พี่50% ยกให้ผมกับน้องสามคนละ25% พี่ว่าพี่ต้องการมากขนาดนั้นไปทำอะไร? ในบ้านพี่ก็ไม่มีลูกชายสักคน ถึงเวลาพอลูกสาวแต่งงานออกไป นั่นก็เท่ากับน้ำที่สาดออกไป ทรัพย์สินนี้ก็ไม่อาจยกให้กับคนนอกได้สินะ?”

พูดถึงตรงนี้ กู้เย้นเจิ้งมองไปที่หลินหวานชิวอีกครั้ง ก่อนจะพูดยิ้มๆ ว่า “ยิ่งกว่านั้นอายุพี่สะใภ้ก็ไม่นับว่ามาก ทั้งยังสวยออกขนาดนี้ อนาคตพี่ใหญ่จากไปแล้ว เธอจะอยู่เป็นม่ายไปตลอดชีวิตได้ยังไง? จะต้องแต่งงานใหม่อีกครั้งแน่! ถึงเวลายังต้องแบ่งสมบัติของตระกูลกู้ไปส่วนหนึ่ง สุดท้ายพี่จะแข็งใจให้ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลกู้พร้อมกับลูกเมียของพี่ตกไปอยู่ในมือคนนอกได้หรือ?”

พอหลินหว่านชิวได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงโกรธ ยังรู้สึกอัปยศอีกด้วย น้ำตาพลันไหลออกมากบดวงตาทันที

กู้ชิวอี๋เองก็โกรธเช่นกัน กำหมัดแน่นสีหน้าโกรธแค้น

กู้เย้นจงไม่ได้พูดอะไรอีก เขาโกรธจนตัวสั่น เดิมทีสีหน้าที่ไร้สีเลือดเป็นทุนเดิม จึงเปลี่ยนเป็นซีดขาวมากขึ้น ทั้งตัวส่ายเอนไปมาราวกับจะล้ม ดูเหมือนจะตายไปได้ทุกเมื่อ

เวลานี้เย่เฉินทนมองต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว ทางหนึ่งยื่นมือไปประคองกู้เย้นจงที่ร่างกายส่ายเอนไว้ ทางหนึ่งตะโกนออกมาด้วยสีหน้าท่าทางมืดครึ้มเป็นอย่างยิ่ง “อันธพาลอย่างพวกคุณ ไม่รังแกกันเกินไปหน่อยเหรอ!”