“ไอ้เวร!” กู้เหว่ยกวงเดือดดาลขึ้นมาทันที “มึงรนหาที่ตาย! มึงรู้ไหมว่ากูเป็นใคร? กูคือคุณชายรองตระกูลกู้! มึงกล้าไม่เคารพกู กูจะฆ่ามึงให้ตายเดี๋ยวนี้เลย!”

เวลานี้ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่แก่กว่ากู้เหว่ยกวงเล็กน้อย และยังมีนิสัยใจเย็นมากกว่าก็เอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ชายผู้นี้ เรื่องในวันนี้ เป็นเรื่องภายในตระกูลกู้ของเรา หวังว่าคุณจะไม่สอดมือเข้ายุ่ง”

คนที่พูด คือลูกชายของกู้เย้นเจิ้ง กู้เหว่ยเลี่ยงและเป็นชายหนุ่มที่โตที่สุด ในบรรดาลูกหลานตระกูลกู้

กู้ชิวอี๋เป็นบุตรสาว ดังนั้นเขาจึงนับเป็นหลานชายคนโตของตระกูลกู้

เย่เฉินมองกู้เหว่ยเลี่ยงก่อนจะกล่าวเสียงเรียบว่า “มีอะไรก็พูดจากันดีๆ อย่าอาศัยว่าตัวเองมีคนมากอยู่ที่นี่ ก็คิดจะมารังแกคนน้อย มาเอะอะโวยวาย เห่าหอนอยู่ที่นี่อย่างน่าไม่อาย ตระกูลกู้นับเป็นตระกูลมีหน้ามีตาในเย่นจิง อย่าทำตัวเหมือนขาดการอบรมสั่งสอนเช่นนี้!”

“แก…” พอกู้เหว่ยกวงได้ยินเช่นนี้ ก็กัดฟันกรอดคิดจะเข้ามาลงไม้ลงมือ

กู้เหว่ยเลี่ยงขวางเขาไว้ จากนั้นก็มองเย่เฉินอย่างเย็นเยียบแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยกับกู้เย้นเจิ้งที่อยู่ข้างกายว่า “พ่อ พวกเราเลิกพูดไร้สาระกันสักที พูดเข้าประเด็นเลยเถอะ”

กู้เย้นเจิ้งมองเย่เฉินด้วยสายตาเย็นชา ในใจตัดสินใจไว้แล้วว่าไม่ว่าไอ้หมอนี่จะเป็นใคร วันนี้หลังจากที่ตัวเองจัดการเรื่องหลักเสร็จแล้ว ก็ต้องให้ไอ้หมอนี่ชดใช้ด้วยเลือด ให้เขารู้ว่าคนตระกูลกู้ ไม่ใช่ให้เขามาพูดหยามกันได้ตามใจ!

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงวางความโกรธแค้นที่อยู่ในใจลงชั่วคราวก่อน มองไปทางพี่ใหญ่กู้เย้นจง แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “พี่ใหญ่ หนนี้ผมมาในฐานะทายาทของตระกูลกู้คนหนึ่ง มาเพื่อรักษาและคุ้มครองผลประโยชน์ของตระกูลกู้! ทรัพย์สมบัติ50%ของตระกูลกู้ล้วนอยู่ในชื่อของพี่ แต่ตอนนี้พี่เหลือเวลาไม่มากแล้ว หลังพี่จากไป ผมก็คือเจ้าบ้านตระกูลกู้ ย่อมไม่อาจนั่งมองดูทรัพย์สมบัติ50%ของตระกูลกู้ตกไปอยู่ใต้ชื่อของคนนอกได้ ดังนั้น ผมหวังว่าพี่จะเห็นแก่ผลประโยชน์ของตระกูลกู้เป็นหลัก แก้ไขพินัยกรรม อย่างน้อยเอาทรัพย์สิน80%ในชื่อพี่ แบ่งให้ผมกับน้องสาม”

พอพูดคำนี้จบ เขาก็มองกู้เย้นจงด้วยสีหน้าไม่น่าดูอย่างยิ่ง แล้วเอ่ยปากขึ้นอีกว่า “พี่ใหญ่ นี่ผมทำเพื่อตระกูลกู้หรอกนะ ไม่อย่างนั้นหากพี่จากโลกนี้ไปแล้ว หากพี่สะใภ้กับหนานหนานได้สมบัติของพี่ สมบัติส่วนนี้ของพี่ก็จะไม่ใช่แซ่กู้อีก อิทธิพลของตระกูลกู้ ก็จะถูกผลักไปอยู่อันดับสามของเย่นจิงในพริบตา แม้แต่ห้าเมืองก็ไม่แน่ว่าจะรักษาไว้ได้ พี่จะทนแข็งใจมองสมบัติร้อยปีของตระกูลกู้ถูกหั่นเป็นท่อนๆ หลังพี่ตายไปแล้วได้เหรอ?”

กู้เย้นจงกล่าวเสียงเย็นชาว่า “น้องรอง นายพูดจาเสียสวยหรู แต่ท้ายที่สุด นายยังคงต้องการสมบัติของฉันไม่ใช่เหรอ? ฉันจะบอกนายให้ ฉันเขียนพินัยกรรมไว้เรียบร้อยนานแล้ว ในพินัยกรรมของฉัน มรดกทั้งหมดของฉันจะถูกแบ่งเป็นสอง พี่สะใภ้แกถือครองครึ่งหนึ่ง หนานหนานถือครองอีกครึ่งหนึ่ง ตามกฎหมาย ในเมื่อฉันตัดสินใจแบ่งสมบัติเรียบร้อยแล้ว แกก็ไม่มีสิทธิ์สอดมือเข้ามายุ่ง”

กู้เย้นเจิ้งสีหน้าเย็นชาขึ้นกว่าเดิม ซักถามว่า “พี่สนใจแค่ครอบครัวเล็กๆ ของพี่ แต่ไม่สนใจครอบครัวใหญ่อย่างเรา?”

กู้เย้นจงถามกลับว่า “แล้วยังไง? สมบัติของฉัน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับแก!”

กู้เย้นกางน้องสามที่อยู่อีกด้านก็ด่าออกมาด้วยความอับอายแกมโมโหว่า “พี่ใหญ่! โรคมะเร็งของพี่มันแผ่ลามไปยังสมองของพี่แล้วใช่ไหม ทำไมคนฉลาดอย่างพี่ ถึงตอนนี้แม้แต่สมองก็ใช้การไม่ได้แล้ว?”

หลินหว่านชิวได้ยินเช่นนี้ ก็โกรธจนทนไม่ได้ตวาดออกมา “กู้เย้นกาง! แกอย่าทำเกินไปนัก!

กู้เย้นกางแค่นเสียงเย็นพลางกล่าวว่า “พี่สะใภ้ นี่เกินไปตรงไหน? ผมจะบอกให้ที่เกินไปยังอยู่ด้านหลังนี่”

พูดจบ เขาก็หันไปมองกู้เย้นจง แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “พี่ใหญ่ พวกเราถอยหมื่นก้าวแล้วมาพูดกัน ต่อให้พี่โง่เง่าเต่าตุ่น ตายไปแล้วก็ยังไม่ยอมแก้ไข ให้ภรรยากับลูกพี่รับมรดกต่อ พี่คิดบ้างไหมว่าลำพังผู้หญิงอ่อนแอสองคนอย่างพวกเธอจะรักษาสมบัติมากมายขนาดนี้ได้ วันนี้ที่พวกเรามาหาพี่ ก็แค่อยากแก้ปัญหานี้อย่างใจเย็น พี่นำสมบัติ80%ของพี่ออกมา ที่เหลือ20% ก็มากพอที่จะให้ลูกเมียของพี่มีชีวิตที่สุขสบายไปตลอดชีวิตแล้ว แต่หากพี่โลภมากเกินไป งั้นหลังพี่จากไปผมก็ไม่รับประกันว่าลูกเมียของพี่จะมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัย!”

กู้เย้นจงโกรธถึงขีดสุด ตวาดเสียงดังว่า “กู้เย้นกางไอ้สัตว์เดรัจฉาน! นี่แกกำลังขู่ฉันอยู่เหรอ?”