มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1934

นี่จึงทำให้สีหน้าของคนจำนวนไม่น้อยต่างดูย่ำแย่ลง บวกกับความรู้สึกหวาดผวาและกดดันที่เกิดจากโครงกระดูกที่เกลื่อนทั่วพื้น ทำให้เกิดความคิดที่จะถดถอย

ผู้ที่สามารถมาถึงที่นี่ได้นั้น ล้วนเป็นอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่มั่นใจในพรสวรรค์ศักยภาพของตัวเองอย่างเต็มเปี่ยม แต่ทว่าเรื่องมั่นใจก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ความกล้าและปณิธานวิถียุทธ์ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งเช่นกัน

เหล่าอัจฉริยะที่จิตใจไม่สามารถแบกรับแรงกดดันเช่นนี้ได้ สุดท้ายแล้วอนาคตก็ยากที่จะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่

“มึงหยุดบัดเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้นเอง มู่ช่าวหวงก็ตะคอกเสียงดังลั่น ดึงดูดความสนใจของทุกคนไป

โครมคราม……

เรือรบทองคำบดขยี้อนัตตา ย่างกรายมาถึงนภาเหนือศีรษะจีเสี่ยวจื่อและหลัวซิวภายในชั่วลมหายใจเดียว

มู่ช่าวหวงยืนอยู่บนชั้นดาดฟ้าของเรือรบด้วยท่าทางที่ทะนงองอาจ ก้มหน้าลงมาเขม็งมองหลัวซิวด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ส่งของออกมา!”

หลัวซิว ณ วินาทีนี้ไม่ได้สวมใส่หน้ากากซิวหลัว ทว่าจะใส่หรือไม่ใส่มันก็ไม่สำคัญ เนื่องจากถึงแม้มู่ช่าวหวงจะจำเขาไม่ได้ แต่ก็จำจีเสี่ยวจื่อได้แน่นอน

เมื่อนั้นสาเหตุที่สวมใส่หน้ากากซิวหลัวนั้นเพื่อสังหารคนดังกล่าว แต่ทว่าผลลัพธ์สุดท้ายกลับเป็นหลัวซิวที่อาศัยฮู้หลบซ่อนหนีเอาชีวิตรอด มิเช่นนั้นตนอาจตายอยู่ในเงื้อมมือของฝ่ายตรงข้ามได้

ภายในเวลาชั่วขณะ สายตาของทุกคนล้วนจ้องมองมาทางหลัวซิวอย่างอดไม่ได้ ตัวตนของมู่ช่าวหวงนั้นเป็นอย่างไร ทุกคนที่อยู่ในที่เกิดเหตุมีผู้ใดไม่ทราบบ้าง?

แต่ทว่าสองคนนั้นที่สามารถทำให้สภาพจิตใจของมู่ช่าวหวงผันแปรได้นั้นคือผู้ใดอีก?

หากผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้คือหยุนเทียนหยูหรือตวนมู่ชางละก็ บางทีผู้อื่นอาจจะรู้จักพวกเขา แต่ทว่าชื่อเสียงของหลัวซิวและจีเสี่ยวจื่อไม่โด่งดัง ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบความเป็นมาของพวกเขา

ทว่าหลัวซิวกลับเข้าใจดีมาก ๆ ว่าขอเพียงหลังจากที่ออกไปจากแดนเทวนิรันกาลแล้ว บุคคลที่มีความตั้งใจแค่สืบเสาะเล็กน้อย ตัวตนของเขาและจีเสี่ยวจื่อก็ปิดซ่อนต่อไปไม่ได้แน่นอน

มู่ช่าวหวงปลดปล่อยจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดันออกมา ผนึกตัวหลัวซิวเอาไว้อย่างแน่นหนา ส่วนหลัวซิวนั้นก็หรี่ตาลงเช่นกัน จิตสังหารเข้มงวด

มีเพียงเขาและมู่ช่าวหวงเท่านั้นที่ทราบความลับเรื่องหินนิรันดร์อยู่บนตัวเขา แม้เขาบอกว่าหินนิรันดร์ไม่อยู่บนตัวตนเองแล้วจีเสี่ยวจื่อเชื่อ แต่มู่ช่าวหวงไม่มีทางเชื่อแน่นอน

ดังนั้นในมุมมองของหลัวซิว มู่ช่าวหวงจึงจำเป็นต้องตาย เขายินดีที่จะให้ผู้อื่นรู้ว่าเขาเป็นคนสังหารมู่ช่าวหวง จนเป็นการรุกรานตระกูลมู่สรรพสิทธิ์ แต่เขาไม่มีทางยอมให้ผู้อื่นรู้ว่าหินนิรันดร์อยู่บนตัวเขาแน่นอน

“มึงยังมีฮู้เทวสรรพสิทธิ์อีกหรือ?”หลัวซิวแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นพลางถาม

มู่ช่าวหวงไม่ได้บอกให้เขาส่งหินนิรันดร์ออกมาโดยตรง เห็นได้เลยว่ามู่ช่าวหวงก็ไม่อยากให้ผู้อื่นทราบเรื่องนี้เช่นกัน ไม่อยากต่อความยาว สาวความยืด

เมื่อได้ยินคำพูดของหลัวซิว สีหน้ามู่ช่าวหวงจึงหม่นหมองลง “มึงก็ลองดูได้ อีกอย่างถึงแม้จะไม่ใช้ฮู้เทวสรรพสิทธิ์ ครั้งนี้มึงก็หนีไม่รอดเช่นกัน!”

“เจ้าคนกําเริบเสิบสาน อย่าได้ไร้มารยาทต่อศิษย์พี่ข้า!”

และในเวลานี้เองสิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างคาดการณ์ไม่ถึงคือ จีเสี่ยวจื่อที่ดูอ่อนปวกเปียกที่ยืนอยู่ด้านหลังหลัวซิวกลับยืดอกออกมากะทันหัน

ออร่ากฎปริภูมิขั้น 5 แย้มบานออกมาจากตัวนาง ทำให้ทั่วทั้งร่างนางดูขมุกขมัวเสมือนภาพมายา เหมือนดั่งเทพธิดาที่จุติลงมาจากสวรรค์ อยู่เหนือมนุษย์โลก

ใช่แล้ว กฎปริภูมิของจีเสี่ยวจื่อฝึกถึงแดนขั้น 5 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถึงแม้ระยะเวลาที่นางตระหนักรู้ในกฎปริภูมิยังไม่นาน ทว่าในเมื่อนางสามารถตระหนักรู้ในกฎปริภูมิได้ เช่นนั้นก็แสดงว่าพรสวรรค์ด้านกฎปริภูมิของนางไม่ธรรมดา บวกกับตัวนางก็อยู่ในแดนมกุฎเทพแต่เดิมแล้ว การที่สามารถยกระดับกฎปริภูมิขึ้นไปถึงขั้น 5 ภายในระยะเวลาอันสั้นนั้น จึงถือเป็นเรื่องปกติอยู่

แน่นอนอยู่แล้วว่าหากนางอยากยกระดับแดนกฎปริภูมิขึ้นไปถึงขั้น 6 ละก็ เช่นนั้นก็จะยากลำบากเล็กน้อย ซึ่งต้องใช้เวลาทำให้กฎปริภูมิเข้าที่อีกระยะหนึ่ง