ตอนที่ 1772 เผ่ามู่ซาง [ภาค เส้นทางจอมจักรพรรดิฟ้าดารา]

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ก็ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไหร่ หลินสวินที่หลับไหลอยู่ถูกเสียงสัตว์คำรามเสียงหนึ่งสะเทือนจนตื่น

เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ในครรลองสายตาเป็นต้นไม้ใหญ่ที่สูงตระหง่าน กิ่งใบอุดมสมบูรณ์บดบังท้องฟ้า แผ่เงาปกคลุม

ตัวเขาเองนอนอยู่บนพื้นที่ใบไม้เน่าเปื่อยทับถมอยู่

ฮูม…

หลินสวินพลันสูดหายใจเข้าลึก การรับรู้ที่เลือนรางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ดวงตาที่เลื่อนลอยก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

ทว่าจากนั้นความรู้สึกเหนื่อยล้าอ่อนแรงอย่างที่สุดพลันพลุ่งพล่านไปทั่วร่างราวกับกระแสน้ำ เขาถึงขั้นไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว!

ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับสัตว์ที่หิวโหย ผิวหนังทุกกระเบียดล้วนต้องการเสริมพลังอย่างที่สุด ลำบากยิ่งยวด

‘โชคดีที่อย่างน้อยก็รอดออกจากที่บ้าๆ นั่นแล้ว…’

หลินสวินนอนอยู่บนพื้น สูดพลังชีวิตในอากาศ สีหน้าเผยความผ่อนคลายที่ไม่เห็นมานาน

เขาคร้านจะใคร่ครวญแล้วว่าตอนนี้ตนอยู่ที่ไหน เริ่มรวบรวมสมาธิโคจรพลังปราณเงียบๆ ซึมซับไอวิญญาณที่คละคลุ้งอยู่กลางฟ้าดิน

ฮูม…

นี่เป็นป่าที่ไร้เงาผู้คน พอหลินสวินโคจรพลังปราณ ไอวิญญาณที่กระจายอยู่รอบๆ ก็ถามโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ

ยามซึมซับไอวิญญาณที่คุ้นเคย แม้สำหรับระดับของเขาในตอนนี้พลังนั่นนับว่าเล็กน้อยมาก ทว่าหลินสวินยังคงรู้สึกดีใจอย่างที่สุด

ถูกขังอยู่ในฟ้าดาราที่เวิ้งว้างเปล่าเปลี่ยว ไร้ซึ่งพลังชีวิตนั่นหกปีเต็ม!

ตอนนี้ในที่สุดก็สัมผัสถึงพลังชีวิตแล้ว รับรู้ถึงพลังมหามรรค ความรู้สึกนั่นเหมือนผีอดอยากเพิ่งคลานออกจากนรก กระหายและดีใจ สบายและพึงพอใจอย่างบอกไม่ถูก

เพียงแต่ความดีใจเช่นนี้ดำเนินอยู่ได้ไม่เท่าไร นัยน์ตาหลินสวินพลันหดรัดลง

ตูม โครม…

บริเวณที่ไกลออกไป สัตว์ตัวใหญ่ยักษ์พุ่งปราดมาอย่างรุนแรง!

รูปร่างของมันเหมือนตั๊กแตนตัวใหญ่ สีเขียวมรกตตลอดตัว ยาวถึงเจ็ดแปดจั้ง มีขาหน้าแหลมคล้ายทวน ดวงตาทั้งคู่เหมือนโคมเขียวมรกตขนาดใหญ่

สัตว์ปีศาจที่เทียบเคียงระดับราชันตัวหนึ่ง!

หลินสวินตัดสินได้ในทันที

ถ้าเป็นเมื่อก่อนสัตว์ปีศาจเช่นนี้ไม่มีทางเข้าตาเขา ทว่าตอนนี้เขากำลังอยู่ในสภาพอ่อนแอถึงขีดสุด ไม่สามารถใช้พลังปราณได้ และไม่สามารถใช้สมบัติได้

อย่าว่าแต่สัตว์ปีศาจระดับราชัน กระทั่งสัตว์ร้ายตัวหนึ่งก็สามารถสร้างภัยคุกคามอย่างหนักต่อเขาได้

สวบ!

ลมคาวปะทะหน้า ตั๊กแตนเขียวมรกตตัวใหญ่ยักษ์นั่นโจมตีเข้ามา ขาหน้าที่แหลมคมทั้งคู่ฟันลงประหนึ่งดาบ เจือประกายแสงสีเขียวอันพร่างพราว

ชั่วขณะนี้หลินสวินนิ่งสงบผิดปกติ ใช้พลังเสี้ยวหนึ่งที่เพิ่งฟื้นฟูกลิ้งไปกับพื้น

ปัง!

ตำแหน่งที่เขาอยู่ในตอนแรก พื้นดินถูกผ่าแหวกออกเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ ดินโคลนสาดกระเด็น

หลินสวินตกใจจนเหงื่อตก ลอบกัดฟัน แค่ตั๊กแตนตัวหนึ่งกลับกล้าลงมืออย่างกำเริบเสิบสานกับตน ช่างเหมือนกับคำที่ว่าพยัคฆ์ในที่ราบถูกสุนัขกลั่นแกล้งวซะจริง…

อีกเดี๋ยวจะต้องย่างตั๊กแตนตัวนี้ซะ!

ในฝ่ามือเขาลอบกำยันต์หยกชิ้นหนึ่งไว้ นี่เป็นยันต์คงชีพ อานุภาพไม่ถึงกับร้ายกาจนัก เทียบเท่าการโจมตีอย่างเต็มพลังของระดับอริยะแท้เท่านั้น

ทว่าเล่นงานสัตว์ปีศาจระดับราชันตัวหนึ่งกลับเหลือเฟือ

สมบัติเช่นนี้ล้วนเป็นทรัพย์หลักศึกที่หลินสวินได้จากศัตรูในการต่อสู้หลายปีมานี้ ไม่มีค่าอะไรสำหรับเขานานแล้ว

แต่คิดไม่ถึงว่ากลับได้ใช้ในเวลานี้…

ไกลออกไปตั๊กแตนเขียวมรกตยักษ์นั่นประหลาดใจเล็กน้อย ราวกับคิดไม่ถึงว่ามนุษย์ที่อ่อนแอเช่นนี้กลับหลบการโจมตีของมันได้

มันโบกขาหน้าอีกครั้ง จู่โจมเข้าใส่หลินสวิน

“เดรันฉาน!”

ทว่าไม่รอให้หลินสวินลงมือ เสียงผรุสวาทเสียงหนึ่งดังก้องขึ้น สิ่งที่ไวกว่าเสียง คือกระบองยาวกระดูกสัตว์ด้ามหนึ่งที่ทะลวงฟ้าโจมตีเข้ามา

ตูม!

ห้วงอากาศกึกก้อง ลมแรงพัดสะบัด

ตั๊กแตนยักษ์นั่นถูกกระบองกระแทกจนร่างกายระเบิดแหลกโดยตรง กระเด็นไปทั่ว คราบเลือดสีเขียวที่เหม็นคาวสาดกระเซ็น

หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นเงาร่างงามทะลวงอากาศเข้ามา

นางสวมชุดหนังสัตว์สั้นไม่มีแขน เผยให้เห็นเอวบาง ภายใต้ชุดกระโปรงเป็นขายาวเกลี้ยงเกลาเปี่ยมพลัง

ผิวของนางเป็นสีน้ำตาลอ่อน ผมสีเงินสั้นเท่าดิ่งหู ดวงตาโตเป็นประกาย รูปลักษณ์งดงาม แผ่ความงดงามที่ดิบเถื่อน

“นี่ เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”

นัยน์ตาเป็นประกายของหญิงผมเงินสังเกตหลินสวิน กล้าหาญและตรงไปตรงมา

หลินสวินเอ่ย “ไม่เป็นไร”

“เช่นนั้นเจ้ายืนขึ้นสิ ยังจะนอนอยู่ทำไม คงไม่ได้ตกใจจนโง่ไปแล้วหรอกนะ”

หญิงผมเงินกลั้นขำไม่ไหว เผยฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวเป็นระเบียบออกมา นางงดงามเปิดเผย มีบุคลิกเป็นเอกลักษณ์

หลินสวินสูดหายใจลึกครั้งหนึ่งแล้วยันตัวขึ้นอย่างยากลำยาก ลุกขึ้นยืนอย่างโซซัดโซเซ

หญิงผมเงินเดินเข้ามาจับแขนของเขาช่วยพยุงให้มั่นคง พร้อมพูดอย่างเยาะเย้ย “พี่ชายน้อย ลูกผู้ชายคนหนึ่งร่างกายกลับอ่อนแอขนาดนี้ กลางคืนทำงานหนักเกินไปหรือเปล่า”

เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเจอผู้หญิงที่เปิดเผยเช่นนี้ จึงอดมองนางอย่างประหลาดใจไม่ได้ พร้อมกล่าวเยาะกลับไป “พี่สาวตัวน้อย เจ้าไม่รู้หรือว่าการพูดว่าผู้ชายคนหนึ่งอ่อนแอจุดจบรุนแรงมาก”

ผู้หญิงผมเงินที่ประหนึ่งกุหลาบหนามแหลมแปลกประหลาดและเต็มไปด้วยความป่าเถื่อนหัวเราะหึๆ ขึ้นมา “พอเถอะ ไก่อ่อนอย่างเจ้า ฝ่ามือเดียวของข้าบีบตายไปหลายคนแล้ว”

ว่าแล้วนางพลันแบกหลินสวินไว้บนไหล่!

หลินสวินอึ้ง รีบพูดว่า “เจ้าจะทำอะไร”

หญิงผมเงินก้าวเท้าเดินไกลออกไปแล้ว “อย่าคิดเลยเถิด ข้าไม่สนใจร่างกายอ่อนแอของพี่ชายน้อยหรอก ไม่ทำเรื่องน่าละอายฝืนใจคนแบบนั้นแน่ เพียงแค่เห็นว่าขาของเจ้าเดินไม่ถนัดจึงแบกเจ้าเท่านั้น”

หลินสวินอึ้งงัน

หลายปีที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินถูกผู้หญิงคนหนึ่งแบก ในใจเกิดความรู้สึกเก้อเขินอย่างยากจะได้เห็น

หากผู้แข็งแกร่งในดินแดนรกร้างโบราณรู้เข้า ว่าเทพมารหลินที่ถูกพวกเขามองว่าไร้เทียมทานกลับมีวันที่ตกอยู่ในสภาพนี้ จะรู้สึกอย่างไรกัน

“นี่ พี่ชายน้อยเป็นคนที่ไหน เหตุใดข้าจึงไม่เคยเห็นมาก่อน”

ระหว่างทางหญิงผมเงินถามเรื่อยเปื่อย

“ข้า…”

หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

“ไม่สะดวกพูดหรือ”

“ไม่ใช่”

“เช่นนั้นมีเงื่อนงำอื่นหรือ”

“ไม่ใช่”

“เช่นนั้นเจ้าก็พูดมาสิ”

“ข้า… หลงทาง”

หลินสวินอัดอั้นอยู่นานก่อนให้คำตอบเช่นนี้ออกมา

หญิงผมเงินอึ้งไปก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นหัวเราะลั่นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ “ฮ่าๆๆ พี่ชายน้อย เจ้าช่างเหมือนดอกไม้ประหลาดดอกหนึ่ง ไม่เพียงแค่ร่างกายอ่อนแอยังหลงทางอีก เจ้าจะน่าสนใจเกินไปแล้ว”

หลินสวิน “…”

นี่มีอะไรตลกกัน

ครู่ใหญ่หญิงผมเงินจึงหยุดหัวเราะ เช็ดน้ำลายที่มาอยู่ตรงมุมปากเพราะหัวเราะออกไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าชื่อหนานชิว หนานที่แปลว่าทิศใต้ ชิวที่แปลว่าฤดูใบไม้ผลิ มาจากเผ่ามู่ซาง”

“เผ่ามู่ซางหรือ”

“ใช่ เผ่ามู่ซางที่เป็นหนึ่งในสิบสามเผ่าใหญ่โลกลำนำสวรรค์”

“โลกลำนำสวรรค์?”

“ใช่แล้ว จริงสิ พี่ชายน้อยเจ้าชื่ออะไร”

“หลินเต้ายวน”

“ที่แท้ก็เป็นพี่ชายน้อยหลิน”

“แม่นางหนานชิว เจ้าเล่าเรื่องของโลกลำนำสวรรค์ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ข้า… เหมือนจะสูญเสียความทรงจำไปบ้าง…”

ยามหลินสวินพูดถึงตรงนี้ หนานชิวหัวเราะลั่นอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์อีกครั้ง “ร่างกายอ่อนแอ หลงทาง แล้วยังความจำเสื่อมอีก เจ้าช่าง…น่าสนใจเกินไปแล้ว!”

หลินสวิน “…”

ตลกขนาดนั้นจริงๆ หรือ

ทว่าในที่สุดหลินสวินก็ดูออกแล้วว่าหนานชิวคงนิสัยแบบนี้อยู่แล้ว มองโลกในแง่ดี กร้าวแกร่ง ชัดเจนตรงไปตรงมา แน่นอนว่าชอบหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสานด้วย

ระหว่างทางหลังจากนั้นหลินสวินก็ค่อยๆ ได้รู้ข้อมูลหลายอย่าง

ที่นี่คือโลกลำนำสวรรค์ โลกเล็กๆ อันห่างไกลที่ตั้งอยู่บนทางเดินโบราณฟ้าดารา

ในโลกนี้มีขุมอำนาจสี่สำนักใหญ่และสิบสามเผ่าใหญ่ควบคุมร่วมกัน

ในนั้นสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในโลกลำนำสวรรค์ เป็นผู้นำและผู้ปกครองของโลกนี้

ส่วนเผ่ามู่ซาง เป็นเพียงแค่ขุมอำนาจเผ่าหนึ่งที่การจัดอันดับและศักยภาพรั้งท้ายในหมู่สิบสามเผ่าใหญ่เท่านั้น

“โลกลำนำสวรรค์ ทางเดินโบราณฟ้าดารา…”

ดวงตาหลินสวินเผยความตะลึง

หกปีก่อนตนยังอยู่บนแท่นสักการะในแหล่งสถานคุนหลุนอยู่เลย หกปีหลังจากนั้นตนทะลวงผ่านฟ้าดาราว่างเปล่าแห่งหนึ่ง และมาปรากฏตัวบนทางเดินโบราณฟ้าดาราอย่างไม่คาดคิด!

ควรรู้ว่าตอนที่อยู่ดินแดนรกร้างโบราณ มีเพียงบรรลุระดับจักรพรรดิเท่านั้น จึงจะสามารถทลายกำแพงระหว่างโลก ก้าวสู่ฟ้าดาราได้ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ หากไม่มีวิธีพิเศษ ทั้งชาติก็อย่าหวังว่าจะได้ไปเยือนทางเดินโบราณฟ้าดารา

ทว่าตอนนี้ เขาหลินสวินมาแล้ว!

ความไม่แน่นอนบนโลกคงเป็นเช่นนี้

“โห! พี่หนานชิวแบกผู้ชายคนหนึ่งกลับมา!”

“เดี๋ยวๆ พี่หนานชิวเกลียดการแต่งงานที่สุดมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้ออกไปล่าเหยื่อ เหยื่อที่ล่ากลับมากลับเป็นผู้ชายคนหนึ่ง”

เสียงวุ่นวายอลหม่านดังขึ้นระลอกหนึ่ง

หลินสวินเงยหน้ามองไป ก็เห็นหุบเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ในหุบเขาไอวิญญาณคละคลุ้ง เมฆหมอกรายล้อม บ้านหินเก่าแก่หลายหลังตั้งอยู่ภายใน เรียงรายเป็นชั้นเป็นแถว

นี่คืออาณาเขตของเผ่ามู่ซางอย่างไม่ต้องสงสัย

บริเวณทางเข้าหุบเขาชายหญิงรุ่นเยาว์กำลังฝึกพลังยุทธ์ แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งทรงพลัง มีกำลังวังชายิ่งยวด เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่าน แสงพิสุทธิ์เวียนไหล น่ากลัวอย่างที่สุด

ตอนที่เห็นหนานชิวแบกหลินสวิน เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้ต่างเริ่มฮือฮา

หนานชิวกลอกตาใส่ พูดอย่างไม่สมอารมณ์ “เจ้าพวกเด็กอมมือ พวกเจ้าจะรู้อะไร จดจ่อฝึกยุทธ์!”

ว่าพลางนางก็แบกหลินสวินเดินไปยังหุบเขา

ระหว่างทางนี้หลินสวินเห็นผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นชายหญิงแก่หรือเด็ก พลังกายล้วนแข็งแกร่งอย่างที่สุด เลือดลมเต็มเปี่ยม

ไม่นานหลินสวินก็ได้รู้ว่าเผ่ามู่ซางมีคนนับหมื่น อาศัยอยู่ที่นี่ทุกยุคทุกสมัย หลังจากคนในเผ่ากลายเป็นผู้ใหญ่ มีเพียงผู้ที่พลังปราณบรรลุถึงระดับราชันอมตะ จึงจะถูกส่งไปฝึกข้างนอก

พูดสั้นๆ ก็คือ หุบเขาแห่งนี้สามารถมองเป็น ‘แดนบรรพบุรุษ’ ของเผ่ามู่ซางได้

ไม่นานหนานชิวก็พาหลินสวินมาถึงหน้าบ้านหินที่เรียบง่ายหลังหนึ่ง ชายชราที่รูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งเดินออกจากบ้านพอดี เอ่ยพูดด้วยสีหน้าผิดคาดว่า

“หนานชิว เหตุใดเจ้าจึงแบกผู้ชายคนหนึ่งกลับมา”

หนานชิวพูดอย่างสบายๆ “อาเก้า ข้าเก็บเจ้าหมอนี่ได้ที่ ‘ป่าผีว่างเปล่า’ ร่างกายอ่อนแอเกินไป กลัวว่าเขาจะเกิดอันตรายจึงพาเขากลับมา”

ชายชราขานรับว่าอ้อคำหนึ่ง ในดวงตาปรากฏแววหลักแหลม พินิจหลินสวินครู่นึ่งก็เอ่ยกับหนานชิวว่า “ให้คุณชายคนนี้อยู่ที่นี่ก็พอ ข้าจะดูแลเอง เจ้าไปฝึกปราณเถอะ อย่าลืมว่าอีกหนึ่งเดือนเจ้าต้องไปร่วม ‘ศึกราชันลำนำสวรรค์’ แล้ว ถึงตอนนั้นจะสามารถโดดเด่นออกมาได้หรือไม่…”

หนานชิวรีบตัดบท “ได้อาเก้า ข้าเข้าใจ ”

ว่าพลางนางก็วางหลินสวินที่อยู่บนไหล่ลงพื้น ยิ้มตาหยีพูด “พี่หลิน เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าอยู่ที่นี่สักระยะนะ อาเก้าเป็นถึงอาจารย์หลอมยาที่มีชื่อเสียงของโลกลำนำสวรรค์ ฉวยโอกาสนี้ให้เขาบำรุงร่างกายเจ้าให้ดี”

“ข้าจะหาเวลามาเยี่ยมเจ้า”

จากนั้นนางก็โบกมือแล้วหมุนตัวจากไป

——