บทที่ 787.2 ถ้าอย่างนั้นก็ตีกัน

กระบี่จงมา! Sword of Coming

เผยเปยเคยร่วมมือกับรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นสองคนจัดการกับภูตผีขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งของแผ่นดินกลางอย่างลับๆ หลังศึกใหญ่ผ่านไป ภูเขาลูกหนึ่งถูกพังราบเป็นหน้ากลอง ในรัศมีพันลี้รอบสนามรบล้วนดำเกรียมเป็นตอตะโก ส่วนสนามรบอีกแห่งหนึ่งก็คือเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซานกับอาจารย์ผู้เฒ่าต่ง บวกกับผู้ฝึกตนบนยอดเขาอีกสองคนที่พากันสยบกำราบผู้ฝึกตนเฒ่าที่ไม่มีหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตบินทะยานไปได้ ฝ่ายหลังปิดด่านนานพันปี สภาพการณ์ไม่ต่างจากหวานเหยียนเหล่าจิ่งขอบเขตบินทะยานของเกราะทองทวีป บวกกับที่สำนักของคนผู้นี้ตั้งอยู่ในอาณาเขตริมขอบมหาสมุทร คงเป็นเพราะคิดว่าสามารถถอยร่นได้อย่างไร้กังวล เขาคนเดียวจึงจัดการราชวงศ์หนึ่งจนพังราบไปเกินครึ่ง! เขตการปกครองและจังหวัดรวมทั้งสิ้นเจ็ดสิบสองแห่ง สำนักบนภูเขายี่สิบกว่าแห่ง ภายในเวลาไม่ถึงสามวันก็ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ผู้นี้ใช้วิชาอภินิหารกลบฟ้ากลบดินกวาดล้างไปจนเกลี้ยง

และการกระทำที่อำมหิตป่าเถื่อนนี้ อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับไม่ต่างจากการกินข้าว มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีอยู่ตลอดทั้งปี

ผู้แข็งแกร่งใช้เหตุผล ผู้อ่อนแอก็ได้แค่คุกเข่ารับฟังเท่านั้น สามารถมีชีวิตรอดมาได้ แล้วมีชีวิตจนกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง จากนั้นก็ค่อยใช้เหตุผลแบบเดียวกันต่อไป

นี่ก็คือใต้หล้าเปลี่ยวร้าง

นอกจากนี้ยังมีจวนเทียนซือแห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ที่เกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายคลึงกับภูเขาไท่ผิง มีหมากตัวหนึ่งที่ถูกโจวมี่ซ่อนไว้บนภูเขามังกรพยัคฆ์อย่างลับๆ อำพรางตัวอย่างลึกล้ำมาก คือคู่รักของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อคนหนึ่ง เกือบจะเปิดตราผนึกยันต์ของเทียนซือแต่ละยุคแต่ละสมัยที่ร่ายลงบนประตูใหญ่บานนั้นไปได้ หากไม่เป็นเพราะตอนที่เทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่ออกจากภูเขาเดินทางมายังใบถงทวีป ไม่ได้พกกระบี่เซียนว่านฝ่าลงจากภูเขาไปด้วย ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ก็คงยากจะจินตนาการได้

มองเห็นภาพที่เฝ่ยหรานคารวะ คนที่มีใจหลายคนของทางฝั่งใต้หล้าไพศาล กลับกลายเป็นว่าอารมณ์หนักอึ้งขึ้นมาทันที

การต่อสู้ครั้งนั้นของสองใต้หล้า ตีกันขึ้นมาได้อย่างไร? เหตุใดใต้หล้าไพศาลถึงต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้? ภูเขาสายน้ำของสามทวีปที่มีฝูเหยา ใบถง เกราะทองเป็นหนึ่งในนั้น แผ่นดินล้วนจมดิ่งไปหมด? บุรพแจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีปต่างก็มีพื้นที่ครึ่งหนึ่งของทวีปที่ปริแตกพังทลาย? เรียบง่ายมาก ก็เพราะว่าเจี่ยเซิงแห่งไพศาลกลายไปเป็นโจวมี่มหาสมุทรความรู้แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากไม่เป็นเพราะกองทัพม้าเหล็กต้าหลีของแจกันสมบัติทวีปสามารถเฝ้าพิทักษ์เมืองหลวงแห่งที่สองที่อยู่ภาคกลางของทวีปไว้ได้โดยไม่ถอยร่นไปไหน หากไม่เป็นเพราะทักษินาตยทวีปไม่ได้ถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างฮุบรวบเข้าไปไว้ในกระเป๋าทั้งหมด ไม่แน่ว่าหลังจากนั้นอุตรกุรุทวีปและหลิวเสียทวีปก็จะถูกใต้หล้าเปลี่ยวร้างถือโอกาสเปลี่ยนแปลงแก้ไขฟ้าอำนวยดินอวยพรไป ในเมื่อกุยซวีถูกบรรพบุรุษใหญ่ของภูเขาทัวเยว่เปิดออก ให้เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างถอยกลับไปยังบ้านเกิดได้ ถ้าอย่างนั้นก็เช่นเดียวกัน กองทัพเผ่าปีศาจกองทัพใหญ่ทั้งหลายที่ปักหลักอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็สามารถระดมกำลังเสริมมาได้รวดเร็วยิ่งกว่า ต่อให้ควักทรัพย์สมบัติทั้งหมดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาใช้แล้วจะอย่างไร ขอแค่คว้าชัยชนะในสงครามครั้งนี้มาได้ ก็สามารถค่อยๆ ถอยกลับบ้านเกิดได้ และหากสามารถโอบล้อมทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเอาไว้ได้ สถานการณ์ของสองทวีปในทุกวันนี้ก็จะสลับกลับฝั่งกัน

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะโจวมี่มหาสมุทรความรู้ผู้นั้น บัณฑิตผู้หนึ่งที่มีความรู้เต็มท้อง สร้างสถานการณ์อันน่าสังเวชที่สองใต้หล้าปะทะชนกันด้วยมือตัวเอง ทั้งบนและล่างภูเขามีคนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน

เมื่อบาดแผลกลายเป็นแผลเป็นจึงจะลืมความเจ็บปวด ตอนนี้เพิ่งผ่านไปแค่กี่ปีเอง? ศาลบุ๋นเก็บกวาดเศษซากเละเทะเพิ่งจะเป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น กากเดนเผ่าปีศาจตามภูเขาสายน้ำในหนึ่งทวีปยังก่อกวนอาละวาดอย่างลับๆ อยู่ทั่วทุกแห่ง

ดังนั้นมีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเพิ่มมาสองคน สำหรับใต้หล้าไพศาลแล้วไม่นับว่าเป็นอะไรได้ กลัวก็แต่ว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีมหาสมุทรความรู้เพิ่มเข้ามาอีก

ผู้นำกระโจมเจี่ยจื่อในอดีต เด็กหนุ่มมู่จี ภายหลังกลายมาเป็นโจวชิงเกาลูกศิษย์คนสุดท้ายของโจวมี่ เวลานี้ยืนอยู่ข้างกายเฝ่ยหราน

โจวชิงเกายิ้มพลางกุมหมัดคารวะอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้น

น่าเสียดายที่ใต้เท้าอิ่นกวานไม่ได้สนใจเขา

อันที่จริงตอนที่ได้พบหน้ากันครั้งที่แล้วภาพเหตุการณ์ก็เป็นเช่นนี้ ริมหน้าผาของกำแพงเมืองปราณกระบี่สองท่อน โจวชิงเกาต้องการเชื้อเชิญให้เฉินผิงอันมาทบทวนกระดานหมากด้วยกันอย่างจริงใจ ผลกลับต้องกินน้ำแกงประตูปิด

โจวชิงเกาไม่ถือสาในเรื่องนี้ บนเส้นทางการฝึกตนที่ต้องพิสูจน์ความเป็นอมตะ มหามรรคายาวไกล วันเวลายาวนาน ต้องมีโอกาสที่ได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง

ทางฝั่งของศาลบุ๋นนี้ ตำแหน่งที่ทุกคนยืนอยู่มีการเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้านี้เล็กน้อย

อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ตรงกลาง จากนั้นก็เรียงแถวกันยาวออกไป

ยอดฝีมือของสองลัทธิอย่างพุทธและเต๋า และบรรพจารย์สำนักการทหาร คนหนุ่มสวี่ป๋าย ต่างก็ยืนอยู่ทางซ้ายสุด เหล่าบรรพจารย์ของเมธีร้อยก็ยืนอยู่ทางขวาสุดเช่นเดียวกัน

ผู้ฝึกกระบี่ห้าคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้จะบอกว่าต่างก็ยืนอยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ถือว่าอยู่ตรงกลางสุดแล้ว

ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่เผ่าปีศาจคนหนึ่งที่เป็นเซียนกระบี่จึงพ่นเสียงหัวเราะใส่ฉีถิงจี้ “เซียนกระบี่ผู้อาวุโสฉี หลังจากแบ่งรางวัลตามคุณความชอบกันไปแล้ว ดูท่าฐานะของเจ้าก็ยังไม่สูงนะ สู้ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้ด้วยซ้ำ ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งถอยหลังลงคลองแบบนี้จะได้อย่างไร มาอยู่กับพวกเราเถอะ รับรองว่าต้องได้เป็นหนึ่งในบัลลังก์ราชาแน่นอน ไหนเลยจะต้องพึ่งพาอยู่ใต้ชายคาคนอื่น เป็นสุนัขรับใช้คนอื่นเขา?!”

แล้วก็มีปีศาจใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินอีกคนหนึ่งหัวเราะร่าเอ่ยว่า “โอ้โห นี่มันใต้เท้าอิ่นกวานของพวกเราไม่ใช่หรือ ในที่สุดก็เปลี่ยนการแต่งตัวใหม่แล้ว เกือบจะจำไม่ได้แล้วนะนี่ ทำไมพอกลับมาบ้านเกิด แม้แต่จะเป็นหมาเฝ้าบ้านก็ยังเป็นไม่ได้แล้วเล่า? ยืนอยู่ในจุดที่ห่างไกลขนาดนี้ ทำเอาข้าผู้อาวุโสหันมองหาจนคอแทบหลุด เกือบจะทำให้ใต้เท้าอิ่นกวานได้สร้างคุณความชอบอีกครั้งหนึ่งเสียแล้ว”

และยังมีเผ่าปีศาจขอบเขตเซียนเหรินอีกคนช่วยยุแยงใส่ไฟ “เฉินผิงอัน ไม่ได้ช่วงชิงสถานะอริยะปราชญ์ผู้มีเทวรูปตั้งวางในศาลบุ๋นมาหรือ? ถึงอย่างไรสายหย่าเซิ่งก็ล้วนไม่ได้เรื่อง มีแต่เศษสวะเป็นกระบุงโกย รวมกันแล้วยังสู้เจ้าคนเดียวไม่ได้ หากมาอยู่กับพวกเรา เจ้าไม่นั่งบัลลังก์แล้วใครจะนั่ง? เวทกระบี่ของใต้เท้าอิ่นกวานล้ำเลิศเป็นเอก ความสามารถในการด่าคนก็ยิ่งเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุด ร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ที่เคยอยู่บนหัวกำแพงต่างก็เคยลิ้มรสมาก่อนแล้ว มีใครบ้างที่ไม่เลื่อมใส? ตอนที่ใต้เท้าอิ่นกวานได้นั่งลงบนบัลลังก์ราชา ข้ายินดีจะหมอบบนพื้นเป็นบันไดรองเท้าให้เลย!”

ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานอายุมากขนคิ้วเป็นสีขาวหิมะ เรือนกายงองุ้มคนหนึ่ง คือกวานเซี่ยงปีศาจใหญ่แห่งกระโจมเจี่ยจื่อ มองไปยังคนหนุ่มที่ได้ยินชื่อเสียงเล่าลือมานาน ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวาน สนใจไปเป็นแขกที่บ้านข้าหรือไม่ มีผู้เยาว์ในตระกูลคนหนึ่งที่ข้าชอบมากที่สุด รูปโฉมไม่เลว นางเลื่อมใสเจ้ายิ่งนัก พวกเจ้าสองฝ่ายน่าจะเคยเจอหน้ากันมาก่อน นางเคยนั่งขบวนรถไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่กับสหายเพื่อไปพบหน้าเจ้าโดยเฉพาะ ยังบอกด้วยว่าพวกเจ้าแค่เห็นหน้าก็ถูกชะตากันอย่างยิ่ง ใต้เท้าอิ่นกวานยังมอบของแทนใจมาให้นางหนึ่งชิ้น นางบอกแล้วว่ายินดีเป็นน้อย ไม่คิดจะแย่งชิงตำแหน่งภรรยาเอกกับหนิงเหยาหรอก”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วเริ่มหลับตาทำสมาธิ

อาเหลียงทำสีหน้าเลื่อมใส ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ หากไม่ได้อยู่ในศาลบุ๋น คาดว่าคงตะโกนไปประโยคหนึ่งแล้วว่า ‘แน่จริงก็พุ่งเป้ามาหาข้าสิ’

ผลคือมีปีศาจใหญ่ตนหนึ่งหัวเราะร่าเอ่ยเสียงดังขึ้นมาทันที “เจ้าอาเหลียงชาติสุนัข รีบเรียกท่านปู่เร็วเข้า เป็นตะพาบแบกศิลาอยู่นานหลายปี รสชาติเป็นอย่างไรเล่า?”

อาเหลียงยิ้มบางๆ เลียนแบบเจ้าตะพาบน้อยหลี่ไหวด้วยการยกฝ่ามือวางทาบบนลำคอแล้วสะบัดเบาๆ สองที ใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าคราวหน้าที่ไปเที่ยวใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะไปรำลึกความหลังกับเจ้าโดยเฉพาะ

คิดไม่ถึงว่าเผ่าปีศาจตนนั้นจะตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “ท่านปู่อาเหลียง ท่านคือท่านปู่ของข้า บ้านข้าอยู่ที่ภูเขาทัวเยว่!”

อาเหลียงขยับคอเสื้อชุดลัทธิขงจื๊อ รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย

อันที่จริงคนส่วนใหญ่ของไพศาลที่มาเข้าร่วมการประชุมต่างก็ฟังภาษากลางและภาษาท้องถิ่นสองสามสถานที่หลักๆ ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่เข้าใจ ดังนั้นทางฝั่งของศาลบุ๋นจึงมีเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาท่านหนึ่งที่เชี่ยวชาญภาษาเปลี่ยวร้างรับผิดชอบคอยใช้เสียงในใจอธิบายเนื้อหาที่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจพูดโดยเฉพาะ

อวี๋เสวียนฟังคำพูดเหลวไหลไร้สาระพวกนั้นแล้วก็ถามอย่างสงสัยว่า “น้องฮว่อหลง ฟังจากน้ำเสียงแล้ว เฉินผิงอันท่าทางจะด่าคนเก่งมากเลยนะ? แต่ดูท่าแล้วไม่เห็นเหมือนเลย”

เจ้าเด็กนั่นมองดูแล้วเหมือนบัณฑิตอย่างมาก รูปโฉมหล่อเหลา พูดไม่มาก สอดคล้องกับคำกล่าวที่ว่า ‘คนในภูเขาเขียวผู้มีกลิ่นอายสุภาพปลอดโปร่ง’ ที่กล่าวไว้ในตำราของลัทธิเต๋า และเจิ้งเฉียนลูกศิษย์ที่เฉินผิงอันสั่งสอนมา ตอนอยู่ที่สนามรบของเกราะทองทวีปก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแม่นางน้อยที่เข้าใจเรื่องมารยาทกฎระเบียบเป็นอย่างดี เพียงแต่ว่าออกหมัดอำมหิตเสียจน…เหมือนสตรีขี้อิจฉา คล้ายกับว่าผู้ที่ตายภายใต้หมัดของนาง ล้วนเป็นนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่หน้าไม่อาย ทว่าพอนางเก็บหมัดกลับมากลับเหมือนคุณหนูของตระกูลใหญ่อย่างมาก

ฮว่อหลงเจินเหรินครุ่นคิด อันที่จริงเขาก็อัดอั้นอยู่เหมือนกัน เฉินผิงอันในความทรงจำด่าคนไม่เป็นจริงๆ ทว่าเจินเหรินผู้เฒ่ากลับวางท่าว่าตัวเองคุ้นเคยกับเฉินผิงอันดียิ่งกว่าซิ่วไฉเฒ่า เขาลูบหนวดยิ้มกล่าว “เรื่องนี้เจ้าไม่เข้าใจแล้ว เจ้าเด็กนี่เวลาอยู่กันเป็นการส่วนตัว คำพูดคำจาร้ายกาจอย่างมาก แล้วก็มีแต่อยู่ข้างกายผู้อาวุโสที่เขาเคารพจากใจจริงอย่างข้าเท่านั้น เฉินผิงอันถึงได้สุภาพอ่อนโยน เจ้าลองคิดดูสิ เฉินผิงอันมีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมในเมืองเล็ก ไม่เคยกินเนื้อหมูแล้วจะไม่เคยเห็นหมูวิ่งมาก่อนหรือ? ไม่เคยกินไข่ไก่แล้วจะไม่เคยเห็นแม่ไก่ออกไข่มาก่อนหรือ?”

อวี๋เสวียนพยักหน้า เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย พูดถึงเรื่องเงินได้ไม่มีปัญหา ทว่าจะเอาแต่พูดวนเวียนเกี่ยวกับเรื่องของแม่ไก่อะไรนี่ย่อมไม่ดี จึงเอ่ยว่า “เปลี่ยนมาเป็นเจ้าหนุ่มนี่ กลอุบายไม่น้อยเลยจริงๆ ช่วยเป็นเจ้าประมุขดูแลบ้านให้กับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง กลับกลายเป็นว่าค่อนข้างยุ่งยากแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินเงียบคิดไปครู่หนึ่ง “กลัวก็แต่จะมีคนเข้าใจผิดคิดว่าได้คืบแล้วจะเอาศอกได้ สามารถช่วงชิงผลประโยชน์มาได้อย่างง่ายดาย หากสถานการณ์บีบบังคับ อันที่จริงหากยังต้องตีกันอีกรอบ ทำไมจะทำไมได้ แต่จะตีกันอย่างไร เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก หากรู้สึกว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างคือกระดาษเปียกคือตะกร้ารั่วๆ หลับหูหลับตาบุกเข้าไปเข่นฆ่าตามแต่อารมณ์ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะปิดด่านนอนหลับไปเสีย คนอื่นอยากจะทำอย่างไรก็ทำไปเถอะ”

อวี๋เสวียนกล่าว “เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวของธวัลทวีปต้องยินดีทำสงครามครั้งนี้แน่นอน”

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะ “หลิวจวี้เป่าผู้นี้มีดีก็ตรงสายตานี่แหละ และฝีมือในการหาเงินก็สูงส่งยิ่ง การประชุมก่อนหน้านี้สถานการณ์เป็นอย่างไร เขารู้ดีอยู่แก่ใจ ไม่มีทาง แล้วก็ไม่กล้าที่จะยุยงส่งเดชด้วย”

แม้ว่าจะเป็นบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำสองแห่ง แต่ผู้ฝึกตนของสองใต้หล้ากลับยังคงอยู่ห่างกันหลายร้อยจั้ง

น่าสงสารก็แต่ฮ่องเต้ของราชวงศ์ในไพศาลเก้าคนที่มองเห็นภาพบรรยากาศ ‘ฝั่งตรงข้าม’ ได้ไม่ชัดเลยจริงๆ โชคดีที่คำพูดเหล่านั้นของอีกฝ่าย ทางฝั่งของศาลบุ๋นได้พูดย้ำอีกหนึ่งรอบ แม้จะเหมือนคนตาบอด แต่ก็ไม่ถึงขั้นเป็นคนหูหนวกไปด้วย

เฝ่ยหรานโบกชายแขนเสื้อหนึ่งที

พื้นที่ว่างระหว่างทั้งสองฝ่ายก็ปรากฏเป็นภาพขุนเขาสายน้ำขนาดจิ๋วของใต้หล้าเปลี่ยวร้างภาพหนึ่ง ทุกตำแหน่งขึ้นๆ ลงๆ บนแผนที่ล้วนเป็นเทือกเขาของขุนเขาที่ยิ่งใหญ่โอฬารผิดปกติ ทุกจุดคดเคี้ยวเล็กละเอียดทุกจุดล้วนเป็นแม่น้ำลำคลองหมื่นลี้

ภาพนี้ศาลบุ๋นต้องมีมานานแล้ว อีกทั้งยังมีแต่จะละเอียดยิ่งกว่านี้ ด้านข้างยังต้องมีการระบุถึงกองกำลังในท้องถิ่นของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งหมดไว้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นจำนวนของเผ่าปีศาจ สถานการณ์ของผู้ฝึกตน หรือผลผลิต…

โจวชิงเกาพลันยิ้มเอ่ยด้วยภาษากลางของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่สำเนียงถูกต้องแม่ยำ “ขุนเขาสายน้ำงดงาม เชิญท่านมาแบ่งสรรไปได้ตามสบาย”

โซ่วเฉินเองก็ไม่ได้พูดด้วยภาษาถิ่นเช่นเดียวกัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่ใต้หล้าไพศาลมีความสามารถมากพอ ทุกหนทุกแห่งล้วนถือเป็นอาณาเขตทางทิศใต้ของลำน้ำฉีตู๋แห่งแจกันสมบัติทวีปทั้งสิ้น”

ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงที่ก่อนหน้านี้ยิ้มตาหยีพูดคุยกับอิ่นกวานอย่างปรองดองพยักหน้าพึมพำกับตัวเอง “เปลี่ยวร้างรอคอยให้ไพศาลมอบของขวัญกลับคืน!”

ความนัยในคำพูดของคนทั้งสามนี้ดูเหมือนจะมั่นใจแล้วว่าใต้หล้าไพศาลจะต้องยกพลมาโจมตีเปลี่ยวร้าง อีกทั้งเรื่องของการทำสงคราม ใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีแต่จะยินดีอ้าแขนต้อนรับ

เฉินผิงอันที่หลับตาทำสมาธิมาโดยตลอดพลันลืมตาขึ้น เหลือบมองเฝ่ยหรานที่อยู่ตรงกลางของฝั่งตรงข้าม รวมไปถึงโจวชิงเกาและโซ่วเฉิน

ดูคล้ายว่าโจวชิงเกาจะสัมผัสได้ถึงสายตาของอิ่นกวานหนุ่ม บนใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มทันใด

ราวกับว่ารอคอยอย่างยากลำบากมานานหลายปี ในที่สุดก็ได้รับความสนใจจากอิ่นกวานหนุ่มบ้างแล้ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นี้จึงเบิกบานใจอย่างมาก

เพียงแต่ว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นสอดสองมือไว้ด้วยกันแล้วหลับตาลงคล้ายงีบหลับไปอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่สนใจทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์ในสองใต้หล้าแม้แต่น้อย

ฮ่องเต้เด็กหนุ่มของราชวงศ์เสวียนมี่สะกิดอวี้พ่านสุ่ยไท่ซ่างหวงที่อยู่ข้างกาย เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านปู่อวี้ สัตว์เดรัจฉานกลุ่มนี้ใจกล้าไปหน่อยกระมัง ทำไมฟังแล้วเหมือนว่าพวกมันคือฝ่ายที่ชนะสงครามอย่างไรอย่างนั้น”

แววตาของอวี้พ่านสุ่ยเต็มไปด้วยความชื่นชม สมกับเป็นผู้กล้าอายุน้อยจริงๆ เขาก้มหน้าลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ฝ่าบาทท่านเองก็ใจกล้าไม่เบาเหมือนกัน คำพูดคำจาราวกับฟ้าผ่าอย่างไรอย่างนั้น ไม่ทำอะไรก็ไม่มีใครรู้ความสามารถ พอลงมือทำขึ้นมากลับทำให้คนตกตะลึงกันไปทั่ว”

ฮ่องเต้เด็กหนุ่มทอดถอนใจอยู่ในใจ เข้าใจแล้ว ตนพูดผิดนั่นเอง หากเจ้าอ้วนอวี้ที่อยู่ข้างกายผู้นี้ตีอกชกตัว ทำท่าเจ็บปวดรวดร้าวปานจะขาดใจ นั่นแสดงว่าตนพูดถูกแล้ว แต่หากหัวเราะร่าด้วยใบหน้าเมตตาปราณี นั่นก็จบเห่แล้ว

อวี้พ่านสุ่ยยิ้มตาหยีโบกมือให้ฝั่งตรงข้าม “เด็กน้อยพูดจาไม่รู้ประสา เด็กน้อยพูดจาไม่รู้ประสา ใครถือสาคนนั้นก็เป็นคนโง่ ใครคิดจริงจังคนนั้นก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย”

อาเหลียงใช้เสียงในใจด่า “อ้วนคนงาม เจ้ามียางอายหน่อย”

อวี้พ่านสุ่ยตอบรับฉับไว “ถูกๆๆ ได้ๆๆ”

ฉายาอ้วนคนงามนี้ ต่อให้เป็นอวี้พ่านสุ่ยก็ยังไม่อาจรับได้ไหว โชคดีที่ยังเป็นแค่คำเรียกขานกันส่วนตัวระหว่างพี่น้อง จะปล่อยให้แพร่ออกไปไม่ได้จริงๆ วันหน้าเมื่อรายงานขุนเขาสายน้ำกลับมาใหม่ จะปล่อยให้ตัวเองมีจุดจบเหมือนกับเจ้าลูกสมุนใหญ่เหยียนไม่ได้เด็ดขาด

ฮ่องเต้ต้าหยวนกระแอมเบาๆ หนึ่งที

หยางชิงข่งเซียนเหรินแห่งหน่วยฉงเสวียนรีบร่ายมรรคกถาสกัดกั้นฟ้าดินเล็กขึ้นมา ฮ่องเต้ต้าหยวนถึงได้กดเสียงต่ำถามว่า “ราชครู?”

หยางชิงข่งยังคงใช้เสียงในใจตอบ “แพ้คนไม่แพ้มาด หากไม่วางท่าเช่นนี้ยังจะเปิดราคาสูงเทียมฟ้ากับพวกเราได้อย่างไร ไม่น่าจะตีกันจริงๆ ได้หรอก”

คำพูดบางอย่างไม่เหมาะจะพูดกันที่นี่ นั่นก็คือใจคนของใต้หล้าไพศาล ทุกวันนี้ไม่ได้รวมกันเป็นหนึ่งอีกแล้ว โดยเฉพาะซากปรักขุนเขาสายน้ำของสองทวีปอย่างฝูเหยาและใบถง อันที่จริงก็มากพอจะป้อนคนส่วนหนึ่งให้อิ่มได้แล้ว บวกกับที่ระดับความดุร้ายของกองทัพใหญ่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ธวัลทวีปและหลิวเสียทวีป รวมไปถึงภูเขาใจกลางทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง บางทีอาจจะไม่มีความทรงจำเลย แต่สำหรับทวีปอื่นๆ ที่เหลือต่างก็มีความทรงจำอย่างลึกซึ่งยิ่ง เป็นเหตุให้มนุษย์ธรรมดาอีกสองสามรุ่นต่อจากนี้ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้จะยังต้องรู้สึกหวาดผวาไม่คลาย ส่วนผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ผ่านสงครามในแต่ละทวีปมาด้วยตัวเอง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง วันหน้าบนเส้นทางการฝึกตน ขอแค่คิดถึงขึ้นมาโดยบังเอิญ ก็จะต้องรู้สึกกลัดกลุ้มกังวลใจ ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถทำเหมือนขับไล่หมูหมา หลังจากบังคับเกณฑ์คนมาเป็นกองกำลังแล้วก็สามารถขับไล่คนในเผ่าทั้งหลายให้กระโจนเข้าสู่สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างไม่เสียดายค่าตอบแทน ระหว่างทางมีคนตายไปกี่มากน้อย? นอกจากผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจแล้ว มีคนตายไปกี่ล้านคน? ถึงสิบล้านหรือไม่? รู้แค่ว่าโครงกระดูกกองทับถม เศษซากแขนขากลาดเกลื่อนไปทั่วทุกหนแห่ง! ตามรายงานที่ส่งมาจากท่างท่าเรือ ภายในเวลายี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกตนผีของเผ่าปีศาจมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างพรวดพราด

——