มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 1940

เมื่อเปรียบเทียบกับการข้ามขั้นที่ราบรื่นของเคล็ดแสงดาวเทียนเต้าแล้ว การฝึกเคล็ดวิชาจุดลมปราณก็ยากลำบากกว่ามาก

ใช้ยาเซียนระดับมกุฎทั้งหมดที่มีอยู่ในมือจนหมด แขนขวาก็เปิดจุดลมปราณถึงจุดที่ 16 เท่านั้น ยังขาดอีกสองจุดถึงจะบริบูรณ์

แม้หลัวซิว ณ ปัจจุบันก็มีศักยภาพในการทลายจุดตีบตันของราชาเทพแล้ว ทว่าจุดลมปราณทั้ง 18 จุดบนแขนขวายังไม่บริบูรณ์ หากบรรลุเวลานี้ก็จะทำให้เขาที่อยู่ในแดนเทพฟ้ามีข้อขาดตกบกพร่อง

ดังนั้นหลัวซิวจึงทำได้เพียงอดกลั้นเอาไว้ ถึงแม้จะรู้อยู่ว่าทันทีที่บรรลุสู่แดนราชาเทพ ศักยภาพของเขาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงเหมือนพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่ารากฐานของตัวเองนั้นสำคัญมากกว่า

……

ช่วงเวลานี้หลัวซิวปิดขังมาโดยตลอด ส่วนการฝึกกฎปริภูมิและคัมภีร์เทวอนัตตาของจีเสี่ยวจื่อนั้นก็พบจุดตีบตันเช่นกัน

เนื่องจากไม่มีประสิทธิผลใด ๆ แล้ว จึงจำเป็นต้องปิดขังตระหนักรู้และตบะ ดังนั้นจีเสี่ยวจื่อจึงวางแผนที่จะไปเดินเล่นในละแวกของดวงดาวดวงนี้ดู ดูซิว่าจะเจอจุดหัวเลี้ยวหัวต่อและแรงบันดาลใจในการบรรลุเสี้ยวหนึ่งหรือไม่

จีเสี่ยวจื่อนึกไม่ถึงเลยว่าโชคของตัวเองนั้นถือว่าไม่เลวเลยจริง ๆ ค้นพบหุบเขาแห่งหนึ่งบนดวงดาวดวงนี้ จากนั้นก็ค้นพบแร่อนัตตาชิ้นหนึ่งในหุบเขา

แร่อนัตตาเป็นสมบัติที่ใช้เพื่อยกระดับแดนกฎปริภูมิ สิ่งที่ทำให้จีเสี่ยวจื่อยิ่งรู้สึกประหลาดใจคือนี่ยังเป็นแร่อนัตตาที่มีคุณภาพชั้นกลางหนึ่งชิ้นด้วย ซึ่งสามารถทำให้นางใช้ยกระดับกฎปริภูมิจากขั้น 5 ถึงขั้น 6 ได้พอดี

ทันทีที่สามารถยกระดับกฎปริภูมิขึ้นไปถึงขั้น 6 จีเสี่ยวจื่อก็ยิ่งมีความมั่นใจต่อการเผชิญหน้ากับคนอย่างพระโอรสจ้านเทียนโดยตรง

แต่ทว่าในขณะที่ขุดแร่อนัตตาออกมาอยู่นั้น พลังออร่าของกฎที่แผ่กระจายออกไปได้ดึงดูดวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศร้อยกว่าคน

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่มาจากเหวลึกกระบี่ผงาด พวกเขาเข้าใจดีมาก ๆ ว่าหากอาศัยศักยภาพของตนเอง ไม่มีโอกาสสยบกระบี่ผงาดได้แน่ ดังนั้นพวกเขาจึงอยากไปตามหาโอกาสโชคจากสถานที่อื่น ๆ และบังเอิญเดินทางผ่านดวงดาวดวงนี้พอดี และมองเห็นจีเสี่ยวจื่อที่พบเจอแร่อนัตตา

หากบอกว่าเป็นแร่อนัตตาที่ระดับต่ำที่สุด แม้จะหายาก แต่มันไม่มีประโยชน์อะไรต่อวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจากสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ทว่าแร่อนัตตาชั้นกลางกลับยอดเยี่ยมมาก นั่นมันสมบัติที่สามารถยกระดับกฎปริภูมิจากขั้น 5 ขึ้นไปถึงขั้น 6 เชียวนะ

ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงลงมือโจมตีโดยไม่ลังเลใจเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ในจำนวนคนเหล่านี้จะไม่มีผู้แข็งแกร่งที่มีผลการฝึกตนมกุฎเทพก็ตาม ทว่ากลับได้เปรียบเรื่องจำนวนคน อีกทั้งทุกคนล้วนเป็นอัจฉริยะที่กำเนิดจากสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายด้วย ซึ่งมีศักยภาพสูงและแข็งแกร่งมาก

จีเสี่ยวจื่อรู้อยู่ว่าหลัวซิวกำลังปิดขัง นางไม่กล้าให้คนเหล่านี้ไปรบกวนเขา ดังนั้นจึงอาศัยความเร็วและความลึกลับมหัศจรรย์ของกฎปริภูมิ ปะทะกับคนนับร้อยนี้อยู่บนดวงดาวดวงนี้

บนตัวนางมีตราประทับที่หลัวซิวทิ้งไว้ ดังนั้นเรื่องราวที่จีเสี่ยวจื่อถูกผู้อื่นรุมโจมตีและไล่ตามนั้น หลัวซิวที่อยู่ในสภาวะปิดขังต้องรู้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่แล้ว

แต่ทว่าเขาก็ไม่ได้รีบออกจากการปิดขังเช่นกัน เนื่องจากประสบการณ์การฝึกฝนอย่างหนักหน่วงของจีเสี่ยวจื่อนั้นมีน้อยเกินไปจริง ๆ จากศักยภาพของนาง บวกกับการยึดกุมความเร้นลับและมหัศจรรย์ของกฎปริภูมิ ขอแค่ระมัดระวังหน่อย การที่จะรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ให้ได้นั้นจึงไม่ใช่ปัญหาอย่างแน่นอน

ทันใดนั้นเอง หลัวซิวที่กำลังปิดขังอยู่ก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมากะทันหัน มีจิตสังหารที่รวดเร็วและดุดันทะลุออกมาจากดวงตา

เนื่องจากเมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ว่าพลังออร่าบนตัวจีเสี่ยวจื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง นางได้รับบาดเจ็บแล้ว!

การได้รับบาดเจ็บของจีเสี่ยวจื่อทำให้มีจิตสังหารพรั่งพรูออกมาจากหัวใจหลัวซิว ถึงแม้เขาจะเป็นคนที่อยากอาศัยมือผู้อื่นมาขัดเกลาปณิธานการสู้รบและประสบการณ์ให้กับจีเสี่ยวจื่อเอง แต่หากคนเหล่านั้นทำให้นางได้รับบาดเจ็บละก็ เรื่องที่เขายอมไม่ได้!

ซึ่งนี่ก็คืออุปนิสัยของหลัวซิว เป็นคนที่ถือหางผู้คนข้างกายตนมากถึงมากที่สุด

……