ใบถงทวีปและฝูเหยาทวีปคือตัวอย่างของด้านกลับ แจกันสมบัติทวีปคือตัวอย่างของด้านตรง เกราะทองทวีปที่เคยรวบรวมกองกำลังเกือบครึ่งทวีปทุ่มชีวิตสู้รบกับเผ่าปีศาจถือว่าอยู่ตรงกลาง หากไม่เป็นเพราะขอบเขตบินทะยานเฒ่าอย่างหวานเหยียนเหล่าจิ่งหันหอกแว้งเข้าหาคนกันเองอย่างฉับพลัน ทางทิศเหนือของเกราะทองทวีปก็จะต้องพิทักษ์แผ่นดินไว้ได้อีกหลายปี ดังนั้นพวกตระกูลเซียนใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ทางทิศใต้ของธวัลทวีปที่เดือดร้อนติดร่างแหไปด้วย ทุกวันนี้จึงเคียดแค้นผู้ฝึกตนในสำนักของหวานเหยียนเหล่าจิ่งถึงขั้นที่เจอหนึ่งคนก็อยากฆ่าให้ตายหนึ่งคน หากไม่เป็นเพราะมีวิญญูชนลัทธิขงจื๊อสองท่านนั่งพิทักษ์ภูเขาแห่งนั้น เกรงว่าทุกวันศาลบรรพจารย์คงต้องโดนเวทคาถากระแทกเข้าใส่หลายบทแล้ว
แต่อันที่จริงหากไม่นับรวมหวานเหยียนเหล่าจิ่ง สำนักแห่งนั้นที่นับตั้งแต่บรรพจารย์ไปจนถึงผู้สืบทอดและไปจนถึงผู้ฝึกตนทั่วไป ท่ามกลางการเข่นฆ่าครั้งนั้น พวกเขาล้วนเป็นหน่วยกล้าตายที่ได้รับความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ไม่มีความขลาดกลัวในการสู้รบแม้แต่น้อย
หลักการเหตุผลข้อนี้จะนับกันอย่างไร ใจคนเรื่องนี้จะนับกันอย่างไร?
ทางทิศใต้ของธวัลทวีป ตระกูลเซียนบนภูเขาหรือตระกูลชนชั้นสูงล่างภูเขาที่ออกแรงไม่มาก หรือถึงขั้นที่ว่าไม่ได้ออกแรงใดๆ เลย ด้านหนึ่งก็โล่งใจเหมือนยกหินออกจากอก แอบดีใจอยู่กับตัวเอง ด้านหนึ่งก็ผรุสวาทด่าเจ้าโจรเฒ่าหวานเหยียนว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียง จะต้องเป็นรังงูพิษยกรังแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจยังมีกากเดนของเปลี่ยวร้างซ่อนตัวอยู่ ศาลบุ๋นจำเป็นต้องตรวจสอบให้กระจ่างชัด พลิกค้นให้ทั่ว ยอมฆ่าผิดตัวแต่อย่ายอมปล่อยผิดคนเด็ดขาด
นี่ก็คือความยุ่งยากของใจคนในใต้หล้าไพศาล คุณธรรมสูงเกินไป ชอบยึดครองเหตุผลหลักการทั้งหมดมาไว้ผู้เดียว เชี่ยวชาญการใช้หนึ่งพิฆาตร้อย
แต่รอกระทั่งเฉินผิงอันเดินก้าวออกไป แน่นอนว่าฮว่อหลงเจินเหรินย่อมต้องเปลี่ยนความคิด ไม่ใช่แค่เพียงเพราะเจินเหรินผู้เฒ่ามีความสัมพันธ์ควันธูปอยู่กับคนหนุ่มเท่านั้น
แต่เป็นเพราะสงครามครั้งนั้นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่อสู้กันมาอย่างไร ขั้นตอนคร่าวๆ และผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ฮว่อหลงเจินเหรินล้วนเห็นอยู่ในสายตา ไม่อย่างนั้นหากท้ารบส่งเดช ใจคนก็ยังคงกระจัดกระจายเหมือนทรายถาดหนึ่งอยู่ดี เล่นสนุกอยู่หรือไร?
ฮว่อหลงเจินเหรินถึงขั้นตัดสินใจแล้วว่า ขอแค่ทางฝั่งศาลบุ๋นเปิดฉากการต่อสู้ เขาย่อมไม่มีปัญหาใดๆ แน่นอน แต่จำเป็นต้องให้มีคฤหาสน์หลบร้อนแห่งหนึ่งเพิ่มเข้ามาในศาลบุ๋น อีกทั้งต้องไม่ได้เรียบง่ายเหมือนการประชุมของหน่วยจวินจีหลางที่เป็นกลุ่มของคนรุ่นเยาว์อย่างก่อนหน้านี้เด็ดขาด จะทำเป็นว่าแค่ช่วยทางศาลบุ๋นตรวจสอบช่องโหว่แล้วหาข้อแก้ไข อย่างมากที่สุดก็แค่เสนอแนะความเห็นที่เลื่อนลอยแต่ปฏิบัติจริงแล้วได้ผลแค่สองสามข้อไม่ได้เด็ดขาด ต้องให้พวกเขาได้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจต่อเรื่องที่สำคัญ
ใครเข้าใจใต้หล้าเปลี่ยวร้างมากที่สุด? ก็คืออิ่นกวานหนุ่มที่บอกว่าจะทำสงครามผู้นั้น
เจ้าเด็กนั่นคือคนต่างถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แต่สุดท้ายแล้วกลับสามารถถูกผู้ฝึกกระบี่มองเป็นคนในครอบครัว ต่อให้ได้แหกกฎมารับหน้าที่เป็นอิ่นกวาน แต่กลับไม่มีคลื่นมรสุมของปัญหาใดๆ เกิดขึ้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีนิสัยแย่ๆ อย่างไร เฉินผิงอันก็ยิ่งเข้าใจดี ไม่เป็นไร ความรู้เรื่องทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศของชุยฉาน หลังจากที่ศึกครั้งหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปผ่านพ้นไป อันที่จริงได้ชนะใจคนไปเรียบร้อยแล้ว
ทุกวันนี้บนภูเขาและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปมีสภาพจิตใจ สภาพการณ์อย่างไร? แจกันสมบัติทวีปเล็กๆ แห่งหนึ่งเคยเป็นทวีปเล็กกันดารห่างไกล ตอนนี้ในสายตากลับเหลือแค่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแห่งเดียวแล้ว
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตที่ผ่านมานานยิ่งกว่านั้น การจัดขบวนทัพวางกลยุทธ์ของผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน ไยไม่ใช่การแสดงออกให้เห็นถึงความรู้ที่ไม่ต่างไปจากทฤษฎีคุณความชอบและลาภยศอย่างไม่มีผิดเพี้ยนเล่า?
ขอแค่ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล นับจากศาลบุ๋นไปจนถึงยอดเขา แล้วมาถึงบนภูเขา ราชวงศ์ล่างภูเขา ยุทธภพร้านตลาดของชาวบ้าน สามารถตั้งใจเตรียมรับมือกับการทำสงครามได้อย่างแท้จริง
ทำไมจะสู้ไม่ได้เล่า?
อุตรกุรุทวีปเคยต่อสู้จนธวัลทวีปต้องสูญเสียคำว่า ‘อุตร’ ไป
ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลก็สามารถต่อสู้จนใต้หล้าเปลี่ยวร้างสูญเสียคำว่า ‘เปลี่ยวร้าง’ ไปได้เช่นกัน ต่อจากนี้พันปีหมื่นปี ล้วนเป็นวันเวลาอันดีงามของขุนสายน้ำไพศาลพวกเราแล้ว!
ผู้ฝึกตนเฒ่าจำนวนไม่น้อยที่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงของไพศาลเรียบร้อยแล้ว วันนี้ต่างก็มีอารมณ์ของเด็กหนุ่มกันอย่างมาก
ตำแหน่งหลายอย่าง อยากจะเดินเข้าไปใกล้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอยากจะยืนให้มั่นคง ก็ทำให้คนอดชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียอย่างระมัดระวัง วางแผนคิดคำนวณถึงผลประโยชน์อย่างละเอียดรอบคอบไม่ได้
ชีวิตล้ำค่าไม่อาจไม่ทะนุถนอมไม่เห็นค่า แต่ก็ไม่ควรถนอมจนได้แต่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ
อวี๋เสวียนทอดถอนใจเอ่ย “ภาพบรรยากาศใหม่เอี่ยม ใจคนสามารถใช้งานได้”
ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “ใครมีเงินมาก คนนั้นก็พูดเสียงดังได้มาก ตาเฒ่าอวี๋พูดว่าอย่างไรก็คืออย่างนั้น”
อวี๋เสวียนเอ่ยสัพยอก “เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวไม่ได้มีเงินมากกว่าข้าหรอกหรือ? ได้ยินมาว่าในอดีตเขาเคยไปหาเจ้าเป็นการส่วนตัว ขอแค่อุตรกุรุทวีปยินดีคืนอักษรคำว่า ‘อุตร’ มาให้ ก็จะมีคำกล่าวที่ว่า ‘เซียนห้าพันห้าร้อย’ ไม่ใช่หรือ?”
สองทวีปมีสัญญากันห้าพันปี ทุกๆ ระยะเวลาพันปี ธวัลทวีปยินดีควักเงินเทพเซียนมหาศาลก้อนหนึ่งมาช่วยประคับประคองสนับสนุนตัวอ่อนเซียนกระบี่หนึ่งร้อยคนของสำนักใหญ่แห่งต่างๆ ซึ่งมียอดเขาพาตี้ สำนักกระบี่ไท่ฮุย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของอุตรกุรุทวีปเป็นหนึ่งในนั้น จะทุ่มเงินให้ตลอดทาง ช่วยเหลือจนกว่าผู้ฝึกกระบี่จะเลื่อนเป็นเซียนดินโอสถทอง ถึงอย่างไรขอแค่ฮว่อหลงเจินเหรินมอบรายชื่อคนร้อยคนมาให้ กองกำลังใหญ่แห่งต่างๆ ของธวัลทวีปที่มีสกุลหลิวเป็นผู้นำก็จะมอบเงินให้อุตรกุรุทวีปโดยไม่ขาดไปแม้แต่เหรียญเงินเกล็ดหิมะเดียว หากในบรรดาผู้ฝึกกระบี่เหล่านี้มีใครสามารถเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ ก็สามารถช่วงชิงรายชื่อมาเพิ่มให้อุตรกุรุทวีปได้อีกสิบรายชื่อ
ฮว่อหลงเจินเหรินหลุดหัวเราะพรืด “ผินเต้าเป็นแค่ผู้ฝึกตน ไม่ได้เป็นลูกพี่ใหญ่ของฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรมในอุตรกุรุทวีปเสียหน่อย ข้าจะเป็นคนตัดสินใจได้หรือ?”
อวี๋เสวียนพยักหน้า “แน่นอนว่าเจ้าตัดสินใจได้ เพราะว่าเมื่อเจ้าพูดว่าไม่ได้ เทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวถึงได้ยอมตัดใจอย่างไรล่ะ”
ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ยินดีจะพูดเรื่องหยุมหยิมที่ผ่านมานานปีพวกนี้ให้มากความ เขาลูบหนวดยิ้มกล่าว “เจ้าเฒ่าอวี๋ เดี๋ยววันหน้าข้าจะแนะนำเฉินผิงอันให้เจ้าได้รู้จัก”
อวี๋เสวียนขยุ้มหนวดยิ้มร่า “ไม่ต้องๆ อิ่นกวานท่านนี้เคยได้ยินชื่อของข้ามานานแล้ว ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางพร่ำพูดถึงฝูลู่อวี๋เซียนกับลูกศิษย์เปิดขุนเขาของตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันหรอก บัณฑิตพิถีพิถันในเรื่องพลิกเปิดตำราเหมือนไปมาหาสู่กับอริยะนี่นะ ตามกฎข้อนี้ พวกเราสองพี่น้องใครได้รู้จักเฉินผิงอันก่อนกันยังบอกได้ยากจริงๆ”
ฮว่อหลงเจินเหรินทอดถอนใจไม่หยุด “ในที่สุดผินเต้าก็รู้แล้วว่าเหตุใดข้าถึงจนเจ้าถึงมีเงิน ที่แท้คิดอยากจะหาเงินก้อนใหญ่ได้ก็ต้องเป็นคนหน้าไม่อายให้ได้เสียก่อน”
อวี๋เสวียนส่ายหน้า “ไม่ใช่ๆ นับตั้งแต่เด็กมาข้าก็ไม่เคยจนมาก่อน”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “นี่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าตาเฒ่าอวี๋มีพรสวรรค์เลิศล้ำอย่างไรเล่า”
อวี๋เสวียนกล่าว “ดูท่าเรื่องของการผสานมรรคา ข้าคงต้องถ่วงเวลาไปอีกสักพักแล้ว”
ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “ตาเฒ่าอวี๋ ข้านับถือเจ้าในเรื่องนี้จริงๆ เรื่องเล็กๆ ฉลาดหัวไว เรื่องใหญ่เลอะเลือนเป็นที่สุด”
ฟังแล้วไม่เหมือนว่าจะเป็นคำชม แต่อวี๋เสวียนกลับยิ้มจนตาหยี ขยุ้มหนวดเบาๆ พลางพยักหน้ารับ เห็นได้ชัดว่าชื่นชอบคำพูดประโยคนี้อย่างมาก
หลี่เซิ่งใช้เสียงในใจยิ้มถามอิ่นกวานหนุ่ม “อย่าทำอะไรโดยใช้อารมณ์?”
คำถามนี้ถามได้ประหลาดยิ่ง ขนาดหลี่เซิ่งยังก้าวเดินออกไปแล้วดันเพิ่งจะมาถามคำถามนี้ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะเป็นคำถามที่เกินความจำเป็นอย่างเห็นได้ชัด
คนที่สวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดส่ายหน้าเบาๆ ใช้เสียงในใจตอบกลับไปสามคำว่า “สามารถสู้ได้”
หยุดชะงักไปครู่ อิ่นกวานหนุ่มก็พูดเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “หากมีหนึ่งในหมื่น ก็อาจจำเป็นต้องทำสงคราม”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “ไม่ใช่หนึ่งในหมื่น โจวมี่ต้องหวนกลับมายังโลกมนุษย์อย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันถามเข้าประเด็นทันที “สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ต้องใช้เวลากี่ปี?”
“สั้นสุดร้อยปี ยาวสุดพันปี ตัวเลขที่แน่ชัด ตอนนี้ยังบอกได้ยากมาก”
“รอให้การประชุมสิ้นสุดลง ข้าสามารถมอบกลยุทธ์อย่างละเอียดให้ท่านได้ทันที แต่ข้ากังวลในเรื่องหนึ่ง”
“ไหนลองว่ามาสิ”
“กังวลว่าโจวมี่หวังจะใช้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างครึ่งหนึ่งมาช่วยถ่วงเวลาให้กับเขา สุดท้ายยังสามารถแลกเปลี่ยนมาด้วยมหามรรคาที่พังทลายของหลี่เซิ่ง ถ้าอย่างนั้นเส้นทางที่เขากลับจากบนฟ้ามายังโลกมนุษย์ก็ยากที่จะมีใครขัดขวางได้อีก เว้นเสียจากว่า…”
“เว้นเสียจากว่ารีบรบรีบจบในรวดเดียว รวดเร็วเกินกว่าแผนการของโจวมี่ พยายามยึดครองตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาให้ได้ แล้วค่อยให้ข้าเปลี่ยนใต้หล้าสองแห่งเป็นหนึ่งแห่งด้วยการสร้างกฎระเบียบมารยาทพิธีการขึ้นมาใหม่”
“จะต้องยากลำบากอย่างมาก”
“ยากลำบาก? จะยากสักเพียงใด? ยากเหมือนคนต่างถิ่นอายุน้อยผู้หนึ่งที่เพิ่งจะฝึกตนได้แค่ไม่กี่ปีก็ต้องมาเป็นอิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หลี่เซิ่งที่อยู่ในรูปลักษณ์ของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อวัยกลางคนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าคือหลี่เซิ่ง อ่านตำรามาหลายปี”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็เงียบงันไป
ก็จริง
หลี่เซิ่งแห่งใต้หล้าไพศาลก็เหมือนเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
ต่อให้พวกเขาไม่พูดอะไรสักคำ แต่ขอแค่เป็นสถานที่ที่มีพวกเขายืนอยู่ก็สามารถทำให้คนจิตใจสงบได้
พลังการสู้รบขั้นสูงสุดแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่รวมตัวกันอยู่บนภูเขาทัวเยว่ บ้างก็มองหลี่เซิ่งที่ถูกขนานนามว่าเป็นผู้ที่ต่อสู้ได้เก่งที่สุดในใต้หล้าไพศาล บ้างก็มองไปยังอิ่นกวานหนุ่มที่เพิ่งจะออกมาจากหัวกำแพงได้แค่ไม่กี่ปี
ทันใดนั้นก็พลันรู้สึกอับจนหนทางขึ้นมา
ถึงกับเกิดความรู้สึกลวงตาราวกับว่าได้กลับคืนไปยังสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ยังคุยกันดีๆ แท้ๆ เหตุใดจู่ๆ ถึงคว่ำโต๊ะเปลี่ยนสีหน้าเสียแล้วเล่า?
ขอแค่มีอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้อยู่ด้วยก็ไม่มีเรื่องดีจริงเสียด้วย
ก่อนหน้านี้โจมตีหลายทวีปของไพศาล อิ่นกวานหนุ่มยอมอยู่บนหัวกำแพงเมืองแต่โดยดี คุยเล่นอยู่กับชุดคลุมสีเทาอยู่ทุกวัน การบุกรุดหน้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างในสนามรบของสองทวีปอย่างใบถง ฝูเหยา นั่นไม่ต่างจากใช้มีดผ่าเต้าหู้ คิดจะทำให้ใบมีดสึกยังยาก
นี่ก็เหมือนสองตระกูลในหมู่ชาวบ้านเกิดความขัดแย้งแล้วตะลุมบอนต่อสู้กัน ผลคือไม่ว่าใครก็ไม่อาจฆ่าอีกฝ่ายให้ตายได้ ทั้งสองฝ่ายยังไม่ทันรักษาบาดแผลให้หายดี จากนั้นต่างคนที่ต่างความคิดก็คิดว่าจะพูดคุยกันก่อนสักสองสามประโยค จึงเอาโต๊ะตัวหนึ่งมาวางไว้บนถนนใหญ่ แล้วเริ่มพูดคุยกัน อันธพาลที่บุกเข้ามาก่อกวนในถิ่นของคนอื่นนั่งไขว่ห้าง วางมาดว่าเท้าเปล่าก็ไม่กลัวหากต้องสวมรองเท้า ถึงอย่างไรก็คงแย่ไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว สู้ก็คือสู้ ถึงอย่างไรก็ไม่มีทรัพย์สินที่มีค่าอะไร กลับเป็นอีกฝ่ายที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลปัญญาชน ไม่ใช่พู่กันเอย หมึกเอย ก็เป็นภาพวาดเอย ผ้าแพรต่วนเอย จะตัดใจเอาชีวิตมาทิ้งได้ลงจริงๆ หรือ? คิดจะขู่ใครกัน
จากนั้นไม่ทันระวัง บัณฑิตของฝั่งตรงข้ามก็พลันล้มโต๊ะ หยิบเอามีดเล่มหนึ่งออกมาทำท่าจะฟันคน
ประเด็นสำคัญคือพวกญาติสนิทมิตรสหายและพวกเพื่อนบ้านของบัณฑิตคนนี้ เดิมทีล้วนเป็นคนที่ต่อให้จะไม่ใช่ลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อจริงๆ ก็เคยอ่านตำราอริยะปราชญ์มาบ้างไม่มากก็น้อย แต่กระนั้นก็ยังเสียสติไปพร้อมๆ กันด้วย
เหตุใดใต้หล้าเปลี่ยวร้างถึงโจมตีสามทวีปอย่างใบถง ฝูเหยา เกราะทองได้เหมือนเล่นสนุก ต่อให้จะเจออุปสรรคบ้างเป็นบางครั้ง แต่กระนั้นสถานการณ์ใหญ่ก็ยังพุ่งไปอย่างมิอาจหยุดยั้ง มีเพียงโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากขนาดนั้น?
นอกจากจะมีเฉินชิงตูนั่งบัญชาการณ์กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว นอกจากผู้ฝึกกระบี่จะมากมายดุจก้อนเมฆ แต่ละคนพร้อมกระโจนเข้าหาความตายแล้ว สิ่งที่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยากจะขยับเดินหน้าไปได้มาตลอดหมื่นปี แท้จริงแล้วก็คือใจคนที่รวมเป็นหนึ่ง ใต้หล้าไพศาลจะมองอย่างไรจะพูดอย่างไร ผู้ฝึกกระบี่ล้วนไม่สนใจ คิดอยากจะให้บ้านของข้าแตก ก็จำเป็นต้องให้คนตายกันหมดสิ้นเสียก่อน ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่จึงเพียงแค่ยืนอยู่บนแนวเส้นของหัวกำแพงเมือง ส่งกระบี่ไปยังสนามรบทางทิศใต้ครั้งแล้วครั้งเล่า จิตแห่งกระบี่บริสุทธิ์ แม้แต่ความเป็นความตายก็ยังไม่สนใจแล้ว ยังจะสนเรื่องผลได้ผลเสียอะไรอีกหรือ?
ฝั่งหนึ่งได้เดินนำไปแล้วหนึ่งก้าว อีกฝั่งหนึ่งกลับยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน
เดินตามไปข้างหน้าหนึ่งก้าว หรือถึงขั้นที่ว่าเดินเพิ่มไปอีกหนึ่งก้าว อันที่จริงไม่ได้มีความหมายอะไร หรือว่ายังจะถอยหลังไปอีกหนึ่งก้าว? ถ้าอย่างนั้นก็ยืนบื้ออยู่ที่เดิมนั่นแหละดีแล้ว
เห็นเพียงว่าหยวนโส่วที่เหยียบยืนอยู่บนกระบี่บิน ยื่นแขนชี้ปลายด้านหนึ่งของทวนไปยังคนสวมชุดคลุมอาคมสีแดงสดอยู่ไกลๆ ตวาดกร้าวอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าหนูจงไสหัวไปซะ!”
เจ้าเด็กน้อย โชคดีมีชีวิตรอดมาได้ก็ควรจะจุดธูปขอบคุณพระขอบคุณเจ้าแล้ว ควรจะไปหลบซ่อนตัวนอนเสวยสุขกับคุณความชอบที่ทำไว้แต่โดยดี ดันไม่รู้จักพอ ถึงกับกล้าป่าวประกาศว่าจะโจมตีใต้หล้าแห่งหนึ่ง? เจ้าตัวตลกที่ไม่รู้ว่าตัวเองมีน้ำหนักกี่จินกี่ตำลึง ทุกวันนี้ไม่ได้ผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกแล้ว ท่านปู่หยวนเช่นข้าฟาดกระบองลงไปหนึ่งที อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีอิ่นกวานตายสองคน
บรรพบุรุษหยวนผู้ทุบทำลายขุนเขาสายน้ำ ศาลบรรพจารย์นับไม่ถ้วนของสองทวีปให้พังภินท์ ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายดุร้ายเกรี้ยวกราด มีเพียงข้าที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่ สายตาเห็นเพียงใต้หล้า ยโสโอหัง
ท่ามกลางเส้นด้ายนับพันนับหมื่นในตัวของอิ่นกวานหนุ่ม จูเยี่ยนชื่อจริงของมันถักทอขึ้นมาเป็นตัวอักษร แม้ว่าจะแค่เปล่งวูบทีเดียวแล้วหายไป หยวนโส่วที่อาศัยการเชื่อมโยงบนมหามรรคาส่วนหนึ่งก็ยังคงมองเห็นตัวอักษรนั้นได้อยู่ดี นี่ทำให้หยวนโส่วที่เกิดมาก็พยศยากกำราบยิ่งมีสีหน้าดุร้าย ไม่จัดการอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ ภัยแฝงที่จะตามมาภายหลังต้องมากมายไร้ที่สิ้นสุดอย่างแน่นอน ตีกันก็ตีสิ สองใต้หล้าตีกันให้ตายไปข้างจึงจะดี ปล่อยให้ขุนเขาสายน้ำปริแตกพังทลายต่อเนื่อง แม้กระทั่งภูเขาทัวเยว่และภูเขาใหญ่แสนลี้ของเฒ่าตาบอดก็แหลกเละไปด้วยจึงจะดี ถึงเวลานั้นไม่แน่ว่ามันอาจจะสามารถรวบรวมโชคชะตาของรากภูเขาจำนวนมากมาได้ และอาศัยสิ่งนี้เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ก็เป็นได้
สงครามใหญ่ในใต้หล้าไพศาลไม่อาจทำลายแจกันสมบัติทวีปและหลิวเสียทวีปให้ย่อยยับได้ด้วยซ้ำ ทำเอาผลประโยชน์ที่หยวนโส่วจะได้รับบนมหามรรคาน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เกือบครึ่ง ไม่อาจทำให้มันฝ่าทะลุคอขวดของมหามรรคาได้เลย
และบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาที่มีชื่อจริงว่าจูเยี่ยนผู้นี้ โอกาสในการผสานมรรคากับขอบเขตสิบสี่ก็คือประโยคที่ว่า ‘อาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยก’ มองดูเหมือนผสานมรรคากับดินอวยพร แต่แท้จริงแล้วยังคงเป็นการผสานมรรคากับคนสามัคคี
จำนวนภูเขาในใต้หล้าที่ถูกกระบองของมันทุบแตกมีมากน้อยแค่ไหน ฟ้าดินของสถานที่ประกอบพิธีกรรมของขอบเขตสิบสี่ในอนาคตก็จะมีรากภูเขาที่จำนวนเท่ากันและรูปแบบเหมือนกันปรากฎขึ้นเท่านั้น
ย้ายหินที่แตก เคลื่อนรากที่ขาด ทับถมรากภูเขา สะสมจากน้อยเป็นมาก ในสถานที่ประกอบพิธีกรรมบ้านตนได้สร้างห้าขุนเขาใหม่เอี่ยมขึ้นมา มหามรรคาก็มิเสื่อมสลาย เรือนกายไม่ตายดับ
ในอดีตตอนที่ประชุมในตำหนักหลิงเตี้ยน ต่อให้ก่อนหน้านี้จะมีสตรีอย่างเฟยเฟยให้การช่วยเหลืออย่างลับๆ ทั้งสองฝ่ายต่างแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ หยวนโส่วก็ยังได้แค่ย้ายภูเขาที่ในใจต้องการมาได้แค่สองลูกเท่านั้น ภายหลังใช้กระบองฟาดทำลายภูเขาในฝูเหยาทวีปและใบถงทวีปไปนับไม่ถ้วน ในที่สุดก็ถูกหยวนโส่วสะสมอย่างยากลำบากจนได้ครบอีกสองลูก ขอแค่ห้าขุนเขาตั้งตระหง่านในสถานที่ประกอบพิธีกรรม จากนั้นก็สร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรมคุนหลุนขึ้นมาลูกหนึ่ง หยวนโส่วเหยียบอยู่บนภูเขาลูกนี้ นั่นก็คือการเดินไปบนมหามรรคาเพียงลำพัง เดินขึ้นฟ้าไป!
ใต้หล้ามืดสลัวอะไร ดินแดนพุทธะสุขาวดีอะไร ขอแค่เป็นสถานที่ที่มีภูเขามีดินในใต้หล้า ก็คือถิ่นฐานคือสถานที่ประกอบพิธีกรรมของท่านปู่หยวน
จากนั้นรอให้ใต้หล้าไม่มีภูเขาแล้ว ภูเขาทุกลูกล้วนถูกย้ายเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธีกรรม มันก็จะกลายเป็นขอบเขตสิบห้าใหม่เอี่ยมท่านหนึ่งตามหลังบรรพจารย์ของสามลัทธิ! มีอายุขัยยาวนานร่วมกับฟ้าดิน เหยียบอยู่บนดวงดาว ใช้กระบองฟาดตะวันจันทราให้แหลกสลาย
ภูเขาสุ้ยซานอะไร ภูเขามังกรพยัคฆ์อะไร แม่งก็เป็นแค่ตะเกียบไม้ไผ่กองหนึ่งเท่านั้น ท่านปู่หยวนไม่ต้องใช้สองมือด้วยซ้ำ แค่มือเดียวก็ขยี้แหลกได้แล้ว
ถึงเวลานั้นสังหารป๋ายเหย่ที่ไม่มีกระบี่เซียนอยู่ในมืออีกต่อไป ก็เป็นแค่เรื่องใหญ่เท่าก้นเท่านั้น!
——