หวางเฉียนนั้นพบว่าตัวเองนั้นได้แต่ต้องวิ่งตามเงาเย่หยวนเท่านั้น
เพราะเย่หยวนนั้นมีความสามารถในการทำความเข้าใจที่เหนือกว่าผู้ใด!
ได้เห็นเย่หยวนผ่านประตูห้วงมิติไปหวางเฉียนก็กัดฟันพุ่งตัวตามไป
เขานั้นไม่เชื่อว่าเย่หยวนจะสามารถคาดเดาเรื่องราวได้ถูกต้องจริงๆ
ไป๋ชุยซานและพวกนั้นต่างไม่ได้รีบร้อนใดๆ
พวกเขานั้นได้รับประโยชน์มากล้นจากชั้นแรกมาแล้ว ย่อมจะไม่มีทางปล่อยให้ชั้นที่สองเสียเปล่า
เมื่อขึ้นมาถึงชั้นที่สามนั้นหวางเฉียนก็ต้องทำหน้าเหยเก
ลม!
ที่แห่งนี้มันมีลมรุนแรงพัดราวกับจะฉีกร่างคน!
ลมนี้มันคมเหมือนมีดที่แทบจะเป่าร่างวิญญาณของพวกเขาให้แหลกสลายลงไป!
“เหอะ ดูท่าเจ้าคงไม่ได้ตายดีแล้ว! แน่นอนล่ะว่าสมบัติสืบทอดในชั้นหลังๆ มันก็เป็นอย่างที่อาจารย์เย่ท่านได้ว่าไว้!” เสียงของเจิ้งหยูนั้นดังขึ้นมาเยาะเย้ยหวางเฉียนจากด้านหลัง
ตอนนี้เจิ้งหยูได้กลายเป็นผู้นับถือเย่หยวนไปแล้ว
เดิมทีเขานั้นก็ไม่ได้เก่งกาจมากมายใดๆ และยังมีความสามารถในการวิเคราะห์ที่ต่ำมากด้วย
หากไม่ได้เย่หยวนตัวเขานั้นคงตายกลายเป็นแค่ความว่างเปล่าไปแล้ว
แต่ตอนนี้นอกจากเขาจะรอดชีวิตมาได้เขานั้นยังได้รับร่างวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนมาก
เพราะฉะนั้นเขาจึงเริ่มไม่พอใจหวางเฉียนที่หาเรื่องเย่หยวนอยู่ตลอดอย่างหน้าไม่อาย
ที่แห่งนี้มันมีลมพัดรุนแรงแม้จะเป็นคนโง่แค่ไหนก็เข้าใจได้ว่าชั้นนี้มันคงสร้างขึ้นมาเพื่อฝึกการเปลี่ยนร่างหมอกให้กลายเป็นลม!
รอบหลังๆ จากนี้ไปเองมันก็มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นอย่างที่เย่หยวนคาดเดา เป็นการเปลี่ยนแปลงร่างหมอกให้เป็นสิ่งต่างๆ
“ผ่านให้ได้ก่อนเถอะค่อยมาพูด! ตอนนี้ข้ายังไม่อยากจะเชื่อหรอก!” หวางเฉียนนั้นกล่าวขึ้นมาอย่างไม่คิดยอมรับ
เย่หยวนนั้นไม่คิดสนใจและเริ่มสอนวิธีการเปลี่ยนธาตุลมให้กับพวกเขา
หวางเฉียนเองก็ทุ่มสุดตัวเพื่อแข่งกับเย่หยวนไป
แต่มันก็ยังคงพ่ายแพ้!
ต่อให้เขาจะเข้าใจแล้วว่าเย่หยวนนั้นเป็นยอดอัจฉริยะ…
แต่การถูกเย่หยวนทิ้งไปไม่เห็นฝุ่นเช่นนี้มันก็ยังรับได้ยากยิ่ง!
สุดท้ายแล้วมันยังเป็นเพราะคำสอนของเย่หยวนที่ทำให้เขาเข้าใจถึงการรับมือกับชั้นนี้
แต่หวางเฉียนนั้นไม่สนใจอีกต่อไป
อย่างไรเสียเขาก็ทำตัวหน้าด้านมาป่านนี้แล้ว แพ้ก็แพ้ไปจะยังเป็นเรื่องใหญ่ใดอีก?
แต่ในหัวใจของเขานั้นมันตกตะลึงอย่างมาก
เขานั้นย่อมจะรู้ดีว่าความสามารถในการวิเคราะห์เช่นนี้มันเหนือล้ำแค่ไหน
เพราะที่ผ่านมามันไม่ได้สร้างปัญหาต่อเย่หยวนเลย!
ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนหมอกเป็นลมหรือเปลี่ยนหมอกเป็นไฟหรือเปลี่ยนหมอกเป็นสายฟ้านั้น…
เย่หยวนสามารถทำมันได้อย่างรวดเร็วจนถึงขั้นสุดก่อนใครๆ เสมอ
หวางเฉียนนั้นไม่อาจจะจินตนาการได้เลยว่าทำไมคนที่มีร่างวิญญาณกึ่งอมตะเหมือนๆ กัน
ถึงมีแค่เย่หยวนที่เก่งกว่าใครเพื่อนได้ขนาดนี้
แน่นอนว่าเรื่องนี้มันก็ทำให้เย่หยวนเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาเช่นกัน
การที่เขาสามารถเข้าใจมันได้เร็วกว่าใครนั้นก็เพราะว่าความสามารถในการวิเคราะห์ของเขาแล้วส่วนหนึ่ง
แต่ว่าส่วนที่เป็นเหตุหลักนั้นมันคือการที่ร่างวิญญาณของเขานั้นเข้ากับพลังในที่แห่งนี้ได้อย่างดีเยี่ยม!
เขาสามารถยืมพลังฟ้าดินในที่แห่งนี้ซ่อมแซมร่างวิญญาณหมอกหุ้มของเขาได้อย่างดี!
แม้ว่าเย่หยวนนั้นจะไม่เคยได้เจอหน้าเจ้าโลกบู๋เมี่ยมาก่อน
แต่เขานั้นก็สัมผัสได้ว่าเจ้าโลกบู๋เมี่ยคงคล้ายกับเขาอย่างมาก
เขานั้นเป็นผู้มีร่างวิญญาณหมอกหุ้มแท้จริง!
คนอื่นๆ นั้นไม่อาจทำเช่นนี้ได้
หากร่างหมอกนั้นหมดสิ้นไปแล้วพวกเขาก็จะตายลง
เจดีย์เจ็ดสีนี้มันเป็นของที่เจ้าโลกบู๋เมี่ยสร้างขึ้นมาเพื่อแสวงหาผู้มีร่างวิญญาณอมตะที่แท้จริง
มีเพียงแค่ร่างวิญญาณอมตะที่แท้จริงเท่านั้นที่จะผ่านทั้งเจ็ดระดับไปได้!
ระดับแรกนั้นคือการวางรากฐานเพื่อเพิ่มพลังโดยรวมของร่างวิญญาณหมอกหุ้มให้ทนทานพลังในชั้นหลังๆ ได้
ส่วนอีกหกชั้นที่เหลือมันคือการฝึกเปลี่ยนเป็นเต๋าต่างๆ!
แน่นอนว่าทั้งหกระดับมันเป็นแค่การเปิดประตูขึ้นเท่านั้น
แต่ด้วยรากฐานเช่นนี้แล้ว เส้นทางบ่มเพาะในวันหน้ามันก็ย่อมจะง่ายดายขึ้นมาก
เวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็วจนสุดท้ายก็ผ่านไปหนึ่งเดือน
คนทั้งหลายนอกเจดีย์นั้นต่างผงะไปตามๆ กัน
เพราะว่าตอนนี้พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสถานการณ์ภายในเจดีย์เจ็ดสีเลยแม้แต่น้อย
“นี่มัน…เป็นไปได้อย่างไรกัน? คนกว่าร้อยคนก้าวขึ้นไปถึงระดับเจ็ดได้แทบพร้อมๆ กัน? มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นในเจดีย์เจ็ดสีกันแน่?” หญิงชรานั้นกล่าวขึ้นมาอย่างมึนงง
ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งร้อยกว่าคนนั้นรอดชีวิตและผ่านขึ้นไปถึงระดับสุดท้ายอย่างต่อเนื่อง
ยอดฝีมือทั้งหลายนั้นต้องอ้าปากค้าง
ในเวลาหนึ่งเดือนนี้พวกเขานั้นยิ่งใจเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เพราะนอกจากชั้นแรกแล้ว…
ชั้นอื่นๆ มันก็ไม่ได้มีความสูญเสียที่มากมายและเรื่องราวก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่นด้วยซ้ำ
โล่มนุษย์ที่พวกเขาเอามานั้นมันกลับผ่านไปถึงชั้นสุดท้ายได้หมด!
สภาพเช่นนี้มันย่อมทำให้คนทั้งหลายต้องอ้าปากค้าง!
ชายแก่จากแดนวิญญาณเหนือนั้นต้องขมวดคิ้วแน่นขึ้น “เจดีย์เจ็ดสีนี้มันคงไม่ได้มีปัญหาใช่หรือไม่? เรื่องราวเช่นนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลย!”
ซานหยางนั้นตอบกลับไปทันที “เจ้าจะบ้าหรือ? มันจะมีอะไรผิดพลาดในสมบัติโกลาหลสวรรค์ที่ท่านบู๋เมี่ยทิ้งไว้ไปได้กัน?”
ชายแก่ยิ้มกลับมา “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเรื่องราวตรงหน้าที่เกิดขึ้นในเจดีย์นี้อย่างไร?”
ซานหยางนั้นได้แต่ต้องอ้าปากค้างเพราะเขาเองก็ไม่อาจหาคำอธิบายได้เช่นกัน
ใช่แล้ว มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น?
เขาเองก็อยากรู้ใจจะขาด!
หยุนหนีที่เงียบมาตลอดนั้นเปิดปากขึ้นแทรก “ข้าว่ามันคงเพราะเย่หยวน!”
เมื่อหญิงชราได้ยินนางก็หัวเราะขึ้นมา “ฮ่าๆ ศิษย์น้องหยุนหนีก็ช่างพูดเล่นได้เก่งนัก! ไม่ว่ามันจะเป็นใครที่ทำให้เกิดเรื่องนี้มันก็ไม่มีทางเป็นไอ้เด็กนั่นหรอก!”
หยุนหนีนั้นตอบกลับไป “ในแต่ละรอบนั้นล้วนเป็นเย่หยวนที่ผ่านขึ้นไปก่อนใคร! ดูอย่างไรมันก็เกี่ยวกับเขาแล้ว!”
หญิงชรานั้นหัวเราะขึ้นเมื่อได้ยิน “แค่คนที่ผ่านแต่ละชั้นเป็นคนแรกเท่านั้น มันนับเป็นอะไรใหญ่โต? เช่นนั้นหากข้าเข้าแดนวิญญาณตะวันออกเป็นคนแรกข้าก็จะได้ครองแดนวิญญาณตะวันออกหรือ?”
หยุนหนีนั้นไม่ตอบอะไรกลับไป
นางนั้นไม่อยากเสียพลังงานไปกับคนโง่
ซานหยางนั้นยิ้มขึ้นมาไกล่เกลี่ย “ฮ่าๆ ตอนนี้จะอย่างไรพวกมันก็ไปถึงชั้นเจ็ดแล้ว อีกไม่นานคงได้ออกมากัน ถึงตอนนั้นเรื่องราวมันก็คงกระจ่างเอง!”
…
ครืน!
ห้วงมิติภายในเจดีย์เจ็ดสีนั้นมันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากล้น
ทั้งเจ็ดชั้นนั้นมันกลับหลอมรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว
โดยที่ตรงกลางนั้นมันมีรูใส่เสี้ยวผลึกเจ็ดช่องอยู่
เย่หยวนเดินเข้าไปยืนตรงหน้ารูทั้งเจ็ดช่องนั้นและยัดเอาเสี้ยวคลื่นกำเนิดในมือลงไป
จากนั้นมันก็เกิดแสงสว่างจ้าขึ้นมา!
ไม่กี่อึดใจต่อมามันก็เกิดแสงสีรุ้งพุ่งออกมาต่อหน้าคนทั้งหลาย
นี่มันคือพลังคลื่นกำเนิดที่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยทิ้งไว้
คนทั้งหลายนั้นแทบไม่อาจหายใจ
เจ้าก้อนผลึกนี้มันเป็นรากฐานของเจดีย์เจ็ดสีนี้!
ต่อให้ฝึกฝนเข้าไปมากมายแล้วจะได้ค่าอะไร?
เพราะหากสามารถผสานเข้ากับพลังคลื่นกำเนิดอันนี้ได้แล้ว…
คนผู้นั้นก็จะผงาดขึ้นฟ้าอย่างไม่มีใครตามทันอีก!
คนทั้งหลายต่างหันไปมองเย่หยวนเป็นตาเดียว
เพราะคลื่นกำเนิดนี้มันเป็นของเขา!
พวกเขานั้นตื่นเต้นมีความคิดที่อยากจะได้!
แต่กลับไม่มีใครกล้าเข้ามาแย่งชิงไป…
เพราะไม่มีใครโง่พอจะทำเช่นนั้น และของสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่บรรพบุรุษบู๋เมี่ยทิ้งไว้ให้แก่ผู้สืบทอดของตน
ตอนนี้ทั้งห้วงมิตินี้มันเป็นของเย่หยวนไปสิ้นเชิง
หากพวกเขาลงมือแล้วมันคงมีแต่ต้องตายเปล่า!
แต่ว่าในวินาทีต่อมานั้นมันก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นต่อหน้าคนทั้งหลาย
เย่หยวนนั้นโยนผลึกนั้นให้แก่เจิ้งหยูและกล่าว “เจ้ามาลองผสานเข้ากับมันดู!”
เจิ้งหยูนั้นผงะไปทันทีที่ได้ยิน “อาจารย์เย่ อ…อย่าได้กล่าวล้อเล่นเช่นนี้เลย ข้าเจิ้งหยูคนนี้ไม่กล้า!”
เย่หยวนตอบกลับไป “ข้าบอกให้เจ้าลองเจ้าก็ลองไปสิ จะพูดมากอะไรอีก? แต่ข้าว่าอย่างเจ้าคงไม่ไหวอยู่ดี อ่า พวกเจ้าทั้งหลายเข้ามาลองดู มีใครจะสำเร็จบ้างหรือไม่!”
ไป๋ชุยซานกล่าวขึ้น “เย่หยวน เจ้าไม่ได้ล้อเล่น? นี่มันคือคลื่นกำเนิดของท่านบู๋เมี่ยเชียวนะ! มันเป็นสมบัติล้ำค่า เจ้าไม่อยากได้มันจริง?”
เย่หยวนยิ้มตอบกลับไป “ข้านั้นมีเต๋าของตนเองและไม่ต้องการคลื่นกำเนิดอื่นใด! ข้าเย่หยวนจะไม่ขอเดินตามรอยใครทั้งสิ้น!”
คนทั้งหลายนั้นได้แต่คิดว่าเย่หยวนบ้าไปแล้ว!
หากมันเป็นคลื่นกำเนิดของเจ้าโลกคนอื่นๆ นั้นยังพอรับได้
แต่นี่มันคือคลื่นกำเนิดของเจ้าโลกบู๋เมี่ย!