ฮว่อหลงเจินเหรินรู้สึกสับสนไม่เข้าใจ กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่อย่างไรกันนะ ลมและน้ำใช้ได้เลยนี่นา เด็กที่เมื่อก่อนไม่ชอบพูดเหมือนน้ำเต้าตัน เหตุใดพอไปอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แค่ไม่กี่ปีก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว?
โจวชิงเกากุมหมัดยิ้มกล่าว “มาดของอิ่นกวานยังคงเดิม”
หลี่เซิ่งพลันถามว่า “เฉินผิงอัน รู้สึกไม่พอใจที่ข้าลากเจ้ามาประชุมที่นี่หรือไม่?”
ฉีถิงจี้ แม้จะเป็นเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ขอบเขตมากพอ สามารถเป็นตัวแทนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ส่วนหนึ่งได้ แต่ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่สามารถตัดสินใจแทนผู้ฝึกกระบี่นครบินทะยานได้แน่นอน
เฉินผิงอันตอบไปตามสัตย์จริง “แรกเริ่มก็มีอยู่บ้าง ไม่กล้าพูดว่าไม่มีเลย แต่รอกระทั่งศาลบุ๋นคืนสถานะให้ท่านอาจารย์ก็ไม่เหลือความไม่พอใจแล้ว”
หลี่เซิ่งถามอีก “บอกจะตีกันก็ตี ไม่กลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นชุยฉานคนที่สองหรือ?”
เฉินผิงอันเริ่มเงียบงัน
ตอนที่เปิดปากพูด
อันที่จริงเฉินผิงอันก็รู้สึกได้แล้วว่าเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตนคล้ายมีบัญชาจากสวรรค์ที่มองไม่เห็นชักนำให้ตนเดินเลี้ยวเข้าไปในทางแยกสายหนึ่งอย่างมิอาจห้ามได้ ราวกับว่าปลายทางของเส้นทางนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่ที่ทรยศออกนอกรีต ซิ่วหู่แห่งไพศาลยืนอยู่
กระทั่งนาทีนั้นเฉินผิงอันถึงเพิ่งจะเข้าใจอย่างแท้จริงว่าเหตุใดปีนั้นศิษย์พี่ชุยฉานถึงเลือกจะกลายเป็นคนที่หลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนในสายตาของคนนอก เหตุใดต้องออกไปจากสายบุ๋น ยอมสละสถานะลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งทิ้ง
การเลือกบางอย่าง เมื่ออยู่บนมหามรรคาก็ราวกับว่ามีเพียงอยู่ตัวคนเดียวเดียวดายเท่านั้นถึงจะไม่ต้องรู้สึกมีภาระหรือละอายใจใดๆ
ยกตัวอย่างเช่นการประชุมในศาลบุ๋นครั้งนี้ หากเปิดฉากทำสงครามกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างขึ้นมาจริงๆ สำหรับสายเหวินเซิ่งของตนแล้ว อันที่จริงหากมองในระยะยาวย่อมส่งผลร้ายมากกว่าผลดี
ไม่ว่าจะเป็นการบาดเจ็บล้มตายใดๆ ที่เกิดขึ้นบนสนามรบล้วนจะกลายมาเป็นมลทินที่ดำรงอยู่ไปตลอดกาลสำหรับสายเหวินเซิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียผลประโยชน์ใดๆ ในการศึก ล้วนจะกลายเป็น ‘จุดด่างพร้อยในคุณความชอบ’ ของเฉินผิงอันและเหวินเซิ่ง
ต่อจากนี้ร้อยปีพันปีล้วนจะต้องถูกคิดบัญชีย้อนหลัง ถูกเปิดปฏิทินเหลืองเก่าแก่ นับตั้งแต่ศาลบุ๋นไปจนถึงสำนักศึกษา แล้วก็ไปจนถึงราชวงศ์ล่างภูเขาทุกแห่ง ล้วนจะทำให้บัณฑิตรุ่นหลังทุกคนยึดมั่นในความคิดของตัวเอง ทั้งสองฝ่ายทะเลาะถกเถียงกันไม่หยุด ต่อให้นับแต่นี้ไปสายของเหวินเซิ่งจะสามารถแตกกิ่งก้านสาขาได้ สายบุ๋นสามารถไหลทอดยาวไปได้อย่างต่อเนื่อง แต่กลับยากที่จะตั้งใจศึกษาหาวิชาความรู้อยู่ในห้องหนังสือได้อย่างสงบสุข ไม่ได้บอกว่าคนทั้งใต้หล้าไพศาลล้วนเป็นเช่นนี้ แต่เป็นเพราะวิถีทางโลกนั้นซับซ้อน ท่ามกลางคนหนึ่งร้อยคน ต่อให้มีเพียงคนสองคนที่ไร้เหตุผล แต่ก็มักจะกวนน้ำบ่อหนึ่งให้ขุ่นได้เสมอ หากมีคนที่มองดูเหมือนมีเหตุผล เอ่ยถ้อยคำที่ยุติธรรมโดยมองภาพรวมจากด้านเดียว หรือมีคนยืนอยู่ด้านข้างพูดจาเหน็บแนมกระพือไฟให้ลุกแรงเพิ่มขึ้นมาอีกเล่า?
ดังนั้นชั่วขณะหนึ่งก่อนหน้านี้ ความคิดหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในหัวของเฉินผิงอันก็คือ ออกไปจากสายเหวินเซิ่ง รักษาไว้แค่สถานะของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนชั่วคราว
ส่วนในอนาคตภูเขาลั่วพั่วจะทำอย่างไร ก็ได้แต่เดินไปก่อนก้าวหนึ่งแล้วค่อยคิดคำนวณเผื่อหลายๆ ก้าว
อันที่จริงหลายๆ เรื่องราว นับตั้งแต่ที่เฉินผิงอันออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่กลับมายังใต้หล้าไพศาลก็สามารถแสร้งทำเป็นไม่รับรู้ แล้วก็ไม่ต้องไปครุ่นคิดให้มากความได้
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ อะไรที่ทำได้ก็ล้วนทำอย่างสุดความสามารถแล้ว เฉินผิงอันถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกละอาย เพราะตนทุ่มความพยายามลงไปถึงสิบสองส่วนแล้ว (โดยปกติแล้วเต็มที่คือสิบส่วน สิบสองส่วนจึงถือว่ามากกว่าปกติไปแล้ว ทำอย่างเต็มที่แล้วจริงๆ)
เขาไม่ยินดีให้เป็นราวกับว่าหลังจากที่ออกจากบ้านเกิดครั้งแรกตอนอายุสิบสี่ ก็เหมือนเป็นแค่คนที่เดินไปบนเส้นทางของการเดินทางไกลไปเยือนต่างถิ่น พอเดินไปถึงแล้วก็ยังคงเป็นต่างถิ่นคนหนึ่งอยู่ดี
และเขาเองก็หวังว่าชีวิตของตนจะมีช่วงอายุขัยใหญ่ๆ ช่วงหนึ่งที่ได้อยู่อย่างสงบสุข นอกจากฝึกกระบี่ฝึกหมัดอยู่ในบ้านของตัวเองแล้วยังสามารถคิดถึงแม่นางที่รักได้
ทว่าแม้กระทั่งเตรียมปูทางถอยให้กับพวกเด็กๆ ส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ร่วมมือกับผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อนเรียบเรียงตำราหลายเล่มขึ้นมาเพื่อนครบินทะยาน ช่วยให้นครบินทะยานช่วงชิงสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าใหม่เอี่ยม เขาก็ยังทำมาหมดแล้ว
ถ้าอย่างนั้นโจวมี่มหาสมุทรความรู้ที่มองดูเหมือนเดินขึ้นฟ้าจากไปแล้วเล่า?
ในเมื่อโจวมี่สามารถเดินขึ้นฟ้าได้ ก็จะต้องหวนกลับมายังโลกมนุษย์ได้เช่นกัน
เหตุใดตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ศิษย์พี่ชุยฉานถึงได้ถามเองตอบเองด้วยประโยคนั้น?
‘ใต้หล้าสงบสุขแล้วหรือ ใช่แล้ว สามารถนอนหนุนหมอนสูงไร้กังวลได้แล้วหรือ?’
‘ข้าว่าไม่แน่เสมอไป’
เหตุใดเฝ่ยหรานถึงกลายมาเป็นเจ้าของภูเขาทัวเยว่ เป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?
นี่ก็เหมือนกับการที่ปีนั้นจู่ๆ เฉินผิงอันก็ถูกเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเลื่อนตำแหน่งให้เป็นอิ่นกวานใช่หรือไม่?
โซ่วเฉิน หลิวป๋ายที่เป็นผู้สืบทอดและผู้ฝึกกระบี่ เหตุใดถึงไม่ได้ติดตามโจวมี่ขึ้นฟ้าไป?
เหตุใดภาพบรรยากาศทั่วร่างของโจวชิงเกาถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้? ต่อให้อีกฝ่ายจะจงใจอำพรางขอบเขต แต่เฉินผิงอันใส่ใจเด็กหนุ่มกระโจมเจี่ยเซินในอดีตผู้นี้อย่างมาก ปีนั้นทั้งสองฝ่ายมองกันอยู่ริมหน้าผาไกลๆ เด็กหนุ่มมู่จีไม่มีกลิ่นอายแห่งมรรคาที่เปี่ยมล้นแบบนี้แน่นอน
ส่วนตัวของโจวมี่เอง ไม่อาจกลืนกินราชาบัลลังก์ที่เหลืออยู่อย่างหยวนโส่ว เฟยเฟยได้จริงหรือ? คงไม่ถึงขั้นกินอิ่มจัดจนกินไม่ลงอีกกระมัง ตอนที่ยังไม่ได้เก็บป๋ายอิ๋งที่เป็นจิตหยางกายนอกกายกลับมา ถึงขั้นที่ว่าก่อนจะกินปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ตนใดไปก็ตาม โจวมี่ก็สามารถกิน ‘ลู่ฝ่าเหยียน’ ขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้แล้ว หากโจวมี่เดิมพันหมดหน้าตัก วางเดิมพันไว้ที่ซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาลจริง ด้วยนิสัยใจคอที่ ‘เอาตัวเองเป็นใหญ่’ ของโจวมี่ ย่อมไม่มีทางถือสาหากจะต้องกินปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรือปีศาจบนบัลลังก์ราชาเพิ่มอีกสองสามคนอย่างแน่นอน
นี่ก็หมายความว่าโจวมี่กำลังหาจุดสมดุลของสถานการณ์ใหญ่ในสองใต้หล้า
ต่อให้โจวมี่จะจากโลกมนุษย์ไปไกลแล้ว ทว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลับยังคงอยู่ในการควบคุมของเขาอย่างแน่นหนา เขาจะต้องดำเนินการต่ออย่างเงียบเชียบแน่นอน เฝ่ยหราน โซ่วเฉิน ภูเขาทัวเยว่ บัลลังก์ราชาอาวุโสทั้งหลาย รวมไปถึงเม็ดหมากที่ถูกซ่อนไว้ในที่ลับจำนวนมากกว่านั้น ล้วนเป็นเม็ดหมากที่โจวมี่ทิ้งไว้ล่างฟ้า
และใจคนหลังศึกสงครามของใต้หล้าไพศาลก็เท่ากับว่าเป็นหมากเม็ดหนึ่งของโจวมี่
ตอนที่ชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์สอนเล่นหมากล้อมเคยเอ่ยล้อเล่นประโยคหนึ่ง ในอดีตตอนที่เล่นหมากล้อมเมฆหลากสีกับเจิ้งจวีจงเสร็จ ทั้งสองฝ่ายมีความรู้สึกสองอย่าง
คนหนึ่งรู้สึกว่ากระดานหมากเล็กเกินไป มีแค่ช่องที่ตัดสลับกันสิบเก้าช่องเท่านั้น
อีกอย่างหนึ่งก็คือการประลองฝีมือหมากล้อม ความยอดเยี่ยมที่แท้จริงของผู้เล่นฝั่งหนึ่งคือทำลายกฎเกณฑ์แล้วค่อยตั้งกฎขึ้นมาใหม่ ทว่าคู่ต่อสู้กลับทำได้เพียงรักษากฎเดิมเอาไว้ไม่อาจเปลี่ยน
นี่ต่างหากจึงจะเป็นการวางหมากอย่างไร้เหตุผลที่แท้จริง
ตอนนั้นเฉินผิงอันถามอย่างสงสัยใคร่รู้ ‘ยกตัวอย่างเช่น?’
‘บนกระดานหมาก เม็ดหมากของทั้งสองฝ่าย หากไม่ใช่ดำก็เป็นขาว ดำกินขาว ขาวกินดำ นี่ก็คือกฎเก่าแก่แล้ว ดำกินขาว ขาวเปลี่ยนมาเป็นดำอยู่บนกระดาน ยังไม่ยอดเยี่ยม เพราะเด่นชัดเกินไป แต่หากเม็ดหมากสีขาวที่อยู่บนกระดานกลับมีประโยชน์เท่ากับเม็ดหมากสีดำ อีกทั้งจะเปลี่ยนแปลงเมื่อไหร่ต้องให้ผู้เล่นเป็นคนตัดสิน สามารถทำได้ถึงขั้นนี้จึงจะถือว่าเดินไปถึงขอบเขต ‘ถ่อมตนยอมให้คนทั่วหล้า’ อย่างแท้จริง เวลาเพียงชั่วพริบตาก็สามารถพิฆาตมังกร หรือไม่ก็ตกอยู่ในทางตัน แต่กลับหวนคืนชีพรอดพ้นจากความตายมาได้’
หลักการเล่นหมากล้อมที่ชุยตงซานพูดถึง เฉินผิงอันย่อมฟังเข้าใจ
เพียงแต่ว่าหลักการของการเล่นหมากล้อมเป็นเช่นนี้ ทว่าหากไม่ได้ประสบพบเจอกับตัวเองก็ยากที่จะเข้าใจได้ถึงความลี้ลับ ความอันตราย ความยากจะคาดเดาที่ซ่อนอยู่ภายใน
เจี่ยเซิงแห่งไพศาลที่เป็นเช่นนี้จึงจะคู่ควรให้บรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ยินดียกใต้หล้าแห่งหนึ่งวางไว้บนมือของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ด้วยความเต็มใจ
สามกลยุทธ์บนกลางล่างของโจวมี่ เนื่องจากไพศาลสามารถพิทักษ์แจกันสมบัติทวีปและทักษินาตยทวีปเอาไว้ได้ สุดท้ายโจวมี่จึงร่วมมือกับบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ เลือกที่จะเก็บรักษารากฐานเอาไว้ เป็นเหตุให้กลยุทธ์ล่างของใต้หล้าเปลี่ยวร้างคล้ายกลายมาเป็นกลยุทธ์บนของมหาสมุทรความรู้โจวมี่เพียงผู้เดียว
ทว่าหมากล้อมหนึ่งกระดาน ยังไม่ได้เล่นเสร็จอย่างแท้จริง อันที่จริงแค่เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของกระดานหมากเท่านั้น
คนอย่างพวกเฝ่ยหราน โจวชิงเกานี้ยังคงไม่ใช่ผู้เล่น เพราะยังไม่อาจหลุดพ้นสถานะเม็ดหมากของโจวมี่มาได้
ต่อจากนี้ก็ควรถึงคราวของโจวมี่ที่นั่งพิทักษ์ซากปรักสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล หลุบตาต่ำมองลงมายังโลกมนุษย์ของหลายใต้หล้าแล้ว
ภูเขาทัวเยว่จะต้องช่วงชิงโอกาสบางอย่างมาให้แก่โจวมี่ ยกตัวอย่างเช่นภายในร้อยปี ภูเขาทัวเยว่จะต้องถ่วงรั้งใต้หล้าไพศาลเอาไว้ ถ่วงรั้งไม่ให้หลี่เซิ่งซ่อมแซมรอยรั่วบนม่านฟ้า!
ตัดใจสละอาณาเขตที่มากมายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างได้ลง แต่ก็ต้องลากเอาผู้ฝึกลมปราณของใต้หล้าไพศาลนับตั้งแต่ผู้ฝึกตนบนยอดเขา ไปจนถึงผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทุกคนเข้ามาในบ่อโคลนของสงครามให้จงได้
ทว่าภูเขาทัวเยว่ต้องมั่นใจในเรื่องหนึ่ง ห้ามสูญเสียใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปจริงๆ เด็ดขาด นี่คือการเลือกที่ลุ่มลึกและพิถีพิถันกะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งไม่อาจสูญเสียใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งหมดไปได้ ไม่อย่างนั้นโจวมี่ก็จะกลายเป็นดั่งน้ำที่ไร้ต้นกำเนิด ต้นไม้ที่ไร้ราก สรวงสวรรค์แห่งใหม่ที่เปลี่ยนเจ้าของก็ได้แต่ล่องลอยอยู่นอกฟ้าอย่างเดียวดาย แต่ก็ทั้งไม่อาจปล่อยให้ใต้หล้าไพศาลได้พักรักษาตัวจนฟื้นพลังกลับมา ไม่อาจปล่อยให้หลี่เซิ่งกอบกู้ฟ้าอำนวยทั้งหมดของใต้หล้าไพศาลคืนมาได้
หากเฉินผิงอันไม่ได้เข้าร่วมการประชุมศาลบุ๋นครั้งนี้ เรื่องพวกนี้ก็ไม่ต้องให้เขากังวลใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ในเมื่อมาแล้ว
จะทำอย่างไร?
ถ้าอย่างนั้นก็รีบรบรีบจบ โจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้างให้แหลกลาญ สังหารผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจบนยอดเขาทั้งหมดให้สิ้นซาก ช่วงชิงเอาความสงบสุขหมื่นปีที่แท้จริงมาให้ได้!
ได้ยินชุยตงซานเล่าว่าใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้เริ่มมีคนพูดจาทวงความเป็นธรรมแทนใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว บอกว่าสถานที่ของพวกเขาแร้นแค้นยากจน สงครามครั้งถัดไป ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีสภาพอนาถจนแทบไม่อาจทนมองได้แน่นอน เพราะโจวมี่ไม่สนใจจะทำหน้าที่เป็นช่างปะซ่อมชุนอะไร หมื่นเรื่องหมื่นสรรพสิ่งที่เขาต้องการ ล้วนสร้างขึ้นใหม่ในมือของเขา อย่าว่าแต่ความเป็นความตายของใต้หล้าไพศาลเลย แม้แต่สรรพชีวิต อาณาเขตขุนเขาสายน้ำทั้งหมดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง โจวมี่ก็ล้วนไม่ถือสาหากจะต้องผลักให้ล้มแล้วค่อยสร้างขึ้นใหม่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อะไรที่หลี่เซิ่งไม่สะดวกพูด ข้าก็จะเป็นคนพูดเอง
หลี่เซิ่งถาม “ไม่เสียใจภายหลัง?”
เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “ไม่มีทาง”
พวกเราต่างก็ต้องการกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง พวกเราต่างก็ควรทำอะไรบางอย่างเพื่อโลกใบนี้
หลี่เซิ่งพยักหน้ารับเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ถือสาคำพูดที่เหมือนล้อรถบดซ้ำกลับไปกลับมาของอาจารย์เจ้าแล้ว น่ารำคาญอยู่มากจริงๆ ถึงกับทำให้ข้าคิดอยากลงมือตีคนแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดคุยด้วยง่าย
มีเพียงอยู่กับปรมาจารย์มหาปราชญ์และเขาเท่านั้นที่สามารถลงไปชักดิ้นชักงอได้จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากซิ่วไฉเฒ่าร้อนใจขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็มักจะเอาแต่ใจจนไม่สนเหตุผลเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ อดกลั้นอยู่นาน คงเพราะเกิดจากความเคยชิน กังวลว่าจะเกิดหนึ่งในหมื่นจึงได้แต่ถามหยั่งเชิงว่า “หากหลี่เซิ่งจะลงมือจริงๆ ก็ได้โปรดเลือกสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ อาจารย์ของข้าเป็นคนรักหน้าตายิ่งนัก”
หลี่เซิ่งไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ แหงนหน้ามองม่านฟ้าแล้วถอนสายตากลับมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ในเมื่อเคยค้ำประคองท้องฟ้าไว้ครั้งหนึ่ง ฟ้าจึงไม่ถล่มลงมาแล้ว ปัญหาข้อยากอย่างโจวมี่นี้ ไม่ได้เป็นปัญหายากที่ชุยฉานทิ้งไว้ให้ศิษย์น้องเล็กอย่างเจ้า แต่ทิ้งไว้ให้คนแก่ๆ อย่างพวกเรา”
“ครั้งนี้ลากเจ้ามาเข้าร่วมประชุม ก็เหมือนอย่างที่เจ้าคิดไว้ ต้องการให้เจ้าเอ่ยประโยคนั้นแทนจริงๆ”
“ข้าอายุมาก ทิ้งถ้อยคำอาฆาตไว้ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เปลี่ยนให้คนหนุ่มเป็นคนพูดจึงจะยิ่ง…น่าเกรงขามมากกว่า?”
“ดังนั้นเจ้าไม่ต้องเป็นกังวล วันหน้าแค่สงบใจฝึกตนไปก็พอ เจอเรื่องอะไร หากมีแรงกี่ส่วนก็ออกแรงเท่านั้น ศาลบุ๋นไม่ไช่แค่เครื่องประดับ ส่วนคุณความชอบอะไรนั่น เจ้าเองก็ไม่ต้องไปเลียนแบบซิ่วไฉเฒ่า บัญชีนี้สรุปแล้วจะคิดกันอย่างไร นับตั้งแต่นครบินทะยานจนไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เจ้าเองก็เป็นนักบัญชีมาจนเคยชินแล้ว น่าจะรู้ชัดเจนดี อย่าได้ทำเป็นแกล้งโง่กับทางฝั่งของศาลบุ๋น”
เฉินผิงอันเพียงแค่รับฟัง จากนั้นก็รักษาความเงียบไว้อย่างว่าง่าย
ก็หลี่เซิ่งนี่นะ ไม่ว่าจะพูดอะไรล้วนเป็นเหตุผล
หลี่เซิ่งสะบัดชายแขนเสื้อ
ภาพบรรยากาศฟ้าดินพลันแปรเปลี่ยน
เฉินผิงอันที่ถูกชื่อจริงของปีศาจใหญ่บางตนซึ่งมี ‘จูเยี่ยน’ เป็นหนึ่งในนั้นข่มทับจนแทบจะหายใจไม่ออกมาโดยตลอดพลันรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก เปลี่ยนกลับมาสวมชุดสีเขียวอีกครั้ง
สุดท้ายหลี่เซิ่งเอ่ยเตือนว่า “เฉินผิงอัน ต่อจากนี้เจ้ายังต้องเข้าร่วมการประชุมริมลำคลอง”
เวลาเดียวกันนั้น
บนแนวเส้นของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หนึ่งซ้ายหนึ่งขวา สองแถบปลายสุดมีคนสองคนปรากฏตัวขึ้นมา
เพียงแต่ว่าไม่ได้ปรากฏตัวโดยผ่านบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาทัวเยว่ แต่คล้ายเดินข้ามอาณาเขตของขุนเขาสายน้ำในใต้หล้าไพศาลจากทางศาลบุ๋น ไปถึงที่นั่น
ป๋ายเจ๋อ!
ป๋ายเจ๋อของหอสยบป๋ายเจ๋อ หนึ่งในหอพิทักษ์เมืองเก้าแห่งของไพศาล
เฒ่าตาบอดแห่งภูเขาแสนลี้!
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่รวมตัวกันอยู่บนภูเขาทัวเยว่ อันดับแรกตื่นตะลึงกันไปก่อน จากนั้นก็ส่งเสียงฮือฮา สุดท้ายระเบิดเสียงดังเซ็งแซ่สนั่นฟ้า
เผ่าปีศาจส่วนใหญ่ที่ไม่ว่าจะเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานหรือว่าขอบเขตหยกดิบที่ตำแหน่งค่อนข้างเด่นชัด เป็นครั้งแรกที่พวกมันพากันหันไปทางบุคคลผู้นั้น บ้างก็กุมหมัดคารวะ บ้างก็กำหมัดชกอกอย่างเคร่งขรึมอย่างเป็นระเบียบถึงเพียงนี้ เพื่อแสดงถึงความเคารพ มีบ้างที่เอ่ยปาก แต่ก็ล้วนเป็นคำกล่าวแบบเดียวกัน นั่นคือเอ่ยเรียกอย่างนอบน้อมว่านายท่านป๋ายเจ๋อ เห็นได้ชัดว่าสำหรับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ป๋ายเจ๋อต่างหากจึงจะเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติควรได้ครองใต้หล้ามากที่สุด
——