ตอนที่ 1782 มีคนเช่นนี้อยู่บนโลกได้อย่างไร

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

ทันทีที่เงาร่างหลินสวินปรากฏ สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา ชูหมัดต่อยขึ้นฟ้า

ชั่วพริบตานี้ตัวเขาเหมือนเทพมารไร้เทียมทาน เงาร่างสูงใหญ่เจิดจรัส ความสง่างามอันไร้ศัตรูนั้นทำให้หม่าไท่เจิ้นที่อยู่ไกลออกไปยังเหม่อลอย

ตูม!

ที่ตามมาติดๆ คือเวิ้งฟ้าของโลกเพลิงเทพแห่งนี้ระเบิดออกเป็นโพรงหนึ่งดังสนั่น พลังกฎเกณฑ์เปลวเพลิงอันบ้าคลั่งกระเซ็นกระสายอย่างเหิมเกริมดั่งกระแสเปลวเพลิงเชี่ยวกราก

“นี่…”

หม่าไท่เจิ้นเผยสีหน้ายากจะเชื่อออกมา เงาร่างไหวโคลง กระอักเลือดในทันใด

……

“ตกลงเป็นอย่างไรกันแน่”

หลังจากหลินสวินถูกกักอยู่ในเขตแดนมรรค พื้นที่ที่ถูกเปลวเพลิงปกคลุมผืนนั้นก็กลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้น

เพียงแต่พอกาลเวลาเคลื่อนคล้อยไป ที่นั่นกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทำเอาผู้ฝึกปราณหลายคนออกจะกระวนกระวายใจ

“ยังจะเป็นอย่างไรได้อีก สุนัขใจกล้าคับฟ้านั่นต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”

อวี่อวิ๋นเหอกันฟันตะคอกลั่น

ถ้าเขตแดนมรรคออกโรง มีมกุฎมหาอริยะบนโลกนี้สักกี่คนที่ต้านทานได้

“ราชันอริยะสูงล้ำกว่ามหาอริยะ เจ้าหมอนี่ถูกกักไว้ในนั้นย่อมไม่มีทางรอดได้อีกแล้ว”

ที่ยอดเขาเทพขลุ่ยหิมะ กงหยางฉี่เอ่ยเสียงเข้ม

กลุ่มคนที่อยู่ใกล้เคียงกับเขาล้วนลอบพยักหน้า

สำหรับผู้ฝึกปราณโลกลำนำสวรรค์แล้ว มกุฎมหาอริยะก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลชั้นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว ส่วนราชันอริยะ…

ก็เปรียบดั่งตำนานบทหนึ่ง!

ไม่ว่าใครล้วนไม่เชื่อว่าบนโลกนี้จะมีใครรอดชีวิตจากเงื้อมือของราชันอริยะคนหนึ่งได้

ในเมือง ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนจดจ่อจนแทบหยุดหายใจ ตื่นเต้นหาใดเทียบ

โดยเฉพาะเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่ามู่ซางอย่างหนานเหลยเผิง แต่ละคนต่างใจหล่นลงไปอยู่ตาตุ่ม ถ้าหลินสวินตายที่นี่ สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ก็จะเป็นฝันร้ายที่ไม่อาจจินตนาการได้!

ตูม!

ก็ในตอนนี้เองเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดินเสียงหนึ่งดังขึ้น ประหนึ่งเสียงกลองศึกที่เทพเทวัญตี ทั้งยังเหมือนเวิ้งฟ้าถูกตีจนทะลุไปมุมหนึ่ง

ภายใต้สายตาของทุกคน โลกเปลวเพลิงที่มีเมฆปกคลุมนั้น ในขณะนี้ถูกทลายออกเป็นช่องหนึ่ง เพลิงเทพโชติช่วงปะทุขึ้นดั่งภูเขาไฟ ม้วนตลบไปสิบทิศ

ในขณะเดียวกันเงาร่างที่อาบชโลมอยู่ในเพลิงเทพร่างหนึ่งทะยานสูงขึ้นมา ทั้งร่างเจิดจ้า ประกายเทพหมื่นจั้ง อานุภาพที่แผ่ออกมาซัดกระเพื่อมไปทั้งจักรวาล

อวี่อวิ๋นเหอที่รออย่างกระวนกระวายมานานแล้วยังมองไม่ชัด ส่งเสียงดังอย่างเร้าใจว่า “แข็งแกร่งจริง! ยินดีกับผู้อาวุโสหม่าที่ฆ่าเจ้าชั่วนี่สำเร็จ!”

เงาร่างที่อาบด้วยประกายแสงตระการตาส่งเสียงหัวเราะ “เป็นเจ้าโง่ที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือจริงๆ”

เสียงสะท้อนไปในฟ้าดิน ทำเอาทั้งที่นั้นเงียบสงัด

จากนั้นทุกคนถึงมองเห็นชัดเจนว่าเงาร่างสูงใหญ่ที่ถูกแสงเทพปกคลุมนั้น ดันเป็นหลินสวินที่ถูกพวกเขามองว่าต้องตายอย่างไม่สงสัย!

ชั่วขณะเดียวทุกคนต่างท่าทางเหมือนเห็นผี ดวงตาแทบหลุดออกมา นี่… นี่เป็นไปได้อย่างไร

“ทะ ทะ ทำ… ทำไมเจ้ายังไม่ตาย”

อวี่อวิ๋นเหอยิ่งเหมือนถูกสายฟ้าฟาด สมองงุนงง ร้องเสียงหลงดังลั่น

โลกเปลวเพลิงกระเซ็นกระสาย ร่างหลินสวินเก็บงำประกายแสง ลอยละล่องบนเมฆ เสื้อผ้าปลิวไปตามลม สายตามองไปไกล

เงาร่างหม่าไท่เจิ้นปรากฏขึ้น เพียงเห็นว่าสีหน้าเจือความโกรธเกรี้ยวและตกตะลึง ท่าทางเหมือนยากจะเชื่อ

เห็นดังนี้ในที่นั้นก็อึกทึกครึกโครมขึ้นโดยสมบูรณ์

‘เขตแดนมรรค’ ของราชันอริยะยังฆ่าหลินสวินให้ตายไม่ได้!

เรื่องนี้น่าเหลือเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย

ที่ยอดเขาเทพขลุ่ยหิมะ กงหยางฉี่เพียงรู้สึกภาพตรงหน้ามืดดำ อัดอั้นตันใจอยากจะกระอักเลือด เรื่องที่ตั้งตาคอยมานานกลับมีผลลัพธ์เช่นนี้ นี่เป็นการโจมตีที่หนักหน่วงเกินไปแล้ว

“เจ้าเฒ่า เจ้าจะก้มหัวให้เอง หรือจะให้ข้ากำราบเจ้าด้วยตัวเอง”

หลินสวินเอ่ยปาก เสียงดังกึกก้องบนผืนเมฆ

“อวดดี!”

หม่าไท่เจิ้นตะคอกลั่น เรียกเอาทวนยาวสีเงินเจิดจ้าเล่มหนึ่งทะลวงอากาศเข้ามา

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นราชันอริยะ พลังกับกฎเกณฑ์ที่ครอบครองเหนือกว่ามหาอริยะไปไกล จะยอมแพ้เช่นนี้ได้หรือ

ตูม!

เงาทวนไหววูบ กดข่มเวิ้งฟ้า

หลินสวินไม่ชักช้าอีก ก้าวออกมาข้างหน้า ดวงตาดำเย็นชา หายลับไปจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว ครู่ต่อมาหนึ่งหมัดก็ซัดไปที่ปลายทวนยาวสีเงินเล่มนั้น

ประจันหน้ากันตรงๆ แต่พลังหมัดของหลินสวินกลับกดข่มให้ทวนยาวเล่มนี้คดงอ ปลดปล่อยพลังน่ากลัวออกมา

ปึง!

ทวนยาวสีเงินหลุดกระเด็นไปจากมือ หม่าไท่เจิ้นเหมือนถูกพลังสะท้อนกลับ ร่างกายถอยหลังตึงๆๆๆ ไปสิบกว่าจั้ง

การโจมตีเดียว กดข่มราชันอริยะ!

“ต่อให้เป็นข้าเมื่อหกปีก่อน จะฆ่าเจ้าก็ง่ายดายเหมือนพลิกฝ่ามือ”

หลินสวินเอ่ยถ้อยคำที่ทุกคนฟังแล้วรู้สึกประหลาดชอบกล

แต่หากเหล่าบุคคลแห่งยุคที่เข้าไปในแหล่งสถานคุนหลุนอย่างฮว่าซิงหลี จวนอวี๋เหิงอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะเข้าใจความหมายในถ้อยคำนี้

กำราบราชันอริยะที่ไม่ได้บรรลุขอบเขตมกุฎคนหนึ่ง สำหรับหลินสวินเมื่อหกปีก่อนไม่ใช่เรื่องยากไปนานแล้วจริงๆ

นับประสาอะไรกับตัวเขาในตอนนี้ที่แตกต่างจากเมื่อหกปีก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว!

“ฆ่า!”

หม่าไท่เจิ้นผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ท่าทางเหมือนคลุ้มคลั่ง

ตนมีฐานะเป็นคนใหญ่คนโตของสำนักยุทธ์เตาโอสถ ราชันอริยะที่มีชื่อสะเทือนโลกต้าอวี่ผู้หนึ่ง กลับถูกเจ้าหนุ่มคนหนึ่งกำราบเช่นนี้ท่ามกลางสายตามากมายที่จับจ้อง ความรู้สึกอัปยศเช่นนี้ทำให้เขาอับอายนัก

หลินสวินตบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา

ตูม!

ประทับฝ่ามือดั่งบดบังฟ้า แผ่พลังมหามรรคดั่งน้ำตกออกมา ทันทีที่ปรากฏก็ทำให้ฟ้าดินแห่งนี้ร้องครวญประหนึ่งศิโรราบ

ส่วนตัวหม่าไท่เจิ้นถูกกำราบอยู่ใต้ประทับฝ่ามือเข้าอย่างจัง ร่างกายราวถูกภูเขาเทพบรรพกาลกดทับ เลือดออกเจ็ดทวาร กระดูกทั้งร่างแทบหักสะบั้น

ปึงๆๆ!

ร่างกายของเขาถูกกดจนจมลงไปไม่หยุด ห้วงอากาศที่อยู่ใกล้เคียงยังยุบตัวระเบิดออกไม่ว่างเว้น ไม่ว่าเขาจะร้องคำรามเช่นไร ดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์

ในที่สุดผืนดินแยกแตก ถูกพลังฝ่ามือน่าครั่นคร้ามนั้นซัดออกเป็นโกรกธารมหึมารูปประทับฝ่ามือ ตัวหม่าไท่เจิ้นถูกกดลงไปในนั้น หน้าตาผมเผ้ามอมแมม ร่างกายอาบเลือด ไม่อาจยืนขึ้นมาได้อีก

ฝุ่นควันตลบอบอวล ทั้งที่นั้นไร้เสียง เงียบสงัดหาใดเทียบ

ขณะนี้ผู้ฝึกปราณที่ได้เห็นภาพนี้ทุกคนเพียงรู้สึกว่าตนเหมือนมดที่กำลังเผชิญหน้ากับทวยเทพ ความรู้สึกไร้พลังเช่นนั้น เล็กจ้อยดุจฝุ่นธุลี

ในมือของหลินสวิน แม้แต่ราชันอริยะยังอ่อนแอต้านการโจมตีไม่ได้ ทั้งฟ้าดินล้วนถูกบรรยากาศอันน่ากลัวยิ่งเช่นนี้เข้าปกคลุม

มีเพียงหลินสวินยืนตระง่านเหนือผืนเมฆา ประหนึ่งเซียนจากเก้าชั้นฟ้ามาเยือนโลก ความโอหังและโดดเด่นเช่นนั้นไม่อาจเทียบเทียมได้!

“ทำไม… ทำไม…” ครู่ใหญ่ อวี่อวิ๋นเหอจึงฟื้นคืนสติจากความตกตะลึง พึมพำเสียงหลง

เขาหน้าซีดขาวไม่น่าดูจนถึงที่สุดแล้ว

หลินสวินยิ้มเอ่ย “เจ้าตัวโง่งมอย่ากลัวไป ข้ายังต้องอาศัยยานข้ามโลกของพวกเจ้าจากไป จะไม่ฆ่าพวกเจ้า แต่ก่อนหน้านี้เจ้าอยู่แบบว่านอนสอนง่ายจะดีที่สุด”

เขายื่นมือออกไปข้างหนึ่ง กักขังกำราบอวี่อวิ๋นเหอไว้กลางอากาศ

ตุ้บ!

และขณะเดียวกันมู่ซิวหย่วนที่เดิมอยู่ข้างอวี่อวิ๋นเหอก็ดวงตาเหลือกลน ตกใจจนหมดสติ ร่วงลงมาจากห้วงอากาศ

นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาหมดสติไปแล้ว ครั้งแรกคือตอนที่หลินสวินกำราบให้คุกเข่าลงกับพื้น หมดสติไปเพราะความโกรธเกรี้ยวจู่โจมจิตใจ

หลินสวินมองประเมินเล็กน้อย ไม่ได้สนใจจะฆ่ามู่ซิวหย่วน จิตมรรคของฝ่ายหลังแตกสลายไปแล้ว แม้ฟื้นขึ้นมา ชีวิตนี้ก็ไม่อาจวาดหวังกับมรรคา ต้องหม่นแสงและตกต่ำลงเช่นนี้

หลินสวินทอดสายตามองไปยังเขาเทพขลุ่ยหิมะ

ชั่วพริบตานี้กงหยางฉี่ที่สติหลุด หนาวยะเยือกไปทั้งตัวก็คุกเข่าดังตุ้บลงไปกับพื้น ร้องขอชีวิตเสียงสั่นครือ “พวกเราไม่รู้ความ ไม่ตั้งใจจะล่วงเกินผู้อาวุโส ขอผู้อาวุโสไว้ชีวิตด้วย!”

ข้างหลังเขาเหล่าคนใหญ่คนโตสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินก็คุกเข่าลงไปกับพื้นเสียงดังตุ้บๆ เป็นระลอก ดูยิ่งใหญ่นัก

โลกลำนำสวรรค์ในอดีต หากพวกเขาแต่ละคนก้าวย่างออกไป ต่างเหมือนราชาออกเดินทาง ได้รับความเคารพดั่งหมู่ดาราล้อมจันทร์

แต่ตอนนี้ก็เป็นเพียงหนอนน้อยน่าสงสารที่กำลังคุกเข่าร้องขอชีวิตฝูงหนึ่ง!

“สหายยุทธ์ ข้าคนแซ่หลินเคยเตือนเจ้าไว้ก่อนแล้ว แต่เจ้ากลับหลงยึดติดไม่ตื่นรู้ จะลำบากไปทำไม”

หลินสวินถอนหายใจ

ในใจกงหยางฉี่ขมขื่น ทันใดนั้นก็ยกมือขึ้นตบหน้าตัวเองอย่างแรง เสียงเผียะๆ ดังกังวาน “เป็นข้าเลอะเลือนเอง เป็นข้าโง่เขลาเอง…”

เจ้าสำนักแห่งหนึ่งถึงกับก้มหัวคุกเข่าประจบประแจง ตบหน้าตัวเองเช่นนี้ ภาพเช่นนั้นทำเอาหลินสวินยังคาดไม่ถึงไปครู่หนึ่ง

“โทษตายเว้นได้ โทษเป็นนั้นยากหนี เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความ และให้ทางรอดกับพวกเจ้าทางหนึ่ง”

ขวับ!

หลินสวินชูมือขึ้น พอวาดนิ้วออกมาปราณกระบี่สายหนึ่งก็ทะยานขึ้นมา กวาดพาดเวิ้งฟ้าแล้วฟันลงตรงแน่ว

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงที่จับจ้องนับไม่ถ้วน เขาเทพขลุ่ยหิมะที่ได้รับการยกย่องให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วิเศษอันดับหนึ่งของโลกลำนำสวรรค์ ก็ถูกฟันออกเป็นสองท่อน!

ภูเขานี้ถูกทำลาย เท่ากับทำลายรากฐานของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินให้สิ้นซาก ค่าตอบแทนมหาศาลที่ต้องจ่ายไปทำให้ผู้ฝึกปราณในโลกใจหล่นวูบ

ไม่ว่าใครก็รู้ดีว่าต่อให้เหล่าคนของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินยังรอดชีวิตทั้งหมด แต่หากไม่มีเขาเทพขลุ่ยหิมะ ชื่อของสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินก็ต้องถูกลบไปจากขุมอำนาจอันดับหนึ่งของโลกลำนำสวรรค์!

พวกกงหยางฉี่ต่างหน้าซีดเป็นที่สุด แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีก

……

“หนานชิว เจ้าต้องการจากโลกนี้ไปกับข้าหรือไม่”

หลินสวินเอ่ยปาก สายตามองไปยังเมืองเบื้องล่าง

ประโยคเดียวทำเอาคนเผ่ามู่ซางอย่างหนานเหลยเผิงกลายเป็นจุดสนใจของทั้งที่นั้นทันที ส่วนหนานชิวก็ย่อมกลายเป็นที่จับตามองของสายตานับหมื่น

หลายคนรู้สึกอิจฉาริษยาอย่างควบคุมไม่อยู่

หลินสวินคนเดียวก็กำราบสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนิน เอาชนะคนใหญ่คนโตที่มาจากสำนักยุทธ์เตาโอสถทั้งหมดได้ ถ้าได้ติดตามข้างกายเขาจากไปด้วยกัน ภายหน้ามีหรือจะไม่ผงาดสูงลิ่ว

หนานชิวลังเลแล้ว

“ยายโง่ รีบตอบรับสิ”

หนานเหลยเผิงร้อนรนหาใดเทียบ

หนานชิวเอ่ยเสียงเบาว่า “อาเก้า แต่ข้ากังวลว่าหลังจากไปจะยังมีคนมาปองร้ายพวกเราเผ่ามู่ซาง…”

หลินสวินเข้าใจในทันใด เด็กคนนี้กังวลว่าหากตนจากไปแล้ว ขุมอำนาจอื่นในโลกลำนำสวรรค์ก็จะปองร้ายเผ่ามู่ซางโดยไม่เกรงกลัวอีก

หลินสวินทอดสายตามองดูกงหยางฉี่แล้วเอ่ยว่า ‘สหายยุทธ์ เจ้าคิดว่าในภายภาคหน้า เผ่ามู่ซางจะเกิดคลื่นลมไม่คาดฝันอะไรขึ้นหรือไม่’

กงหยางฉี่ชะงักไป รีบร้อนส่ายหัว ‘ผู้อาวุโสวางใจได้ มีข้ากงหยางฉี่อยู่ ย่อมไม่ยอมมองดูเผ่ามู่ซางถูกรังแกเด็ดขาด!’

หลินสวินดีดนิ้วคราหนึ่ง มรดกวิชาลับวิชาหนึ่งก็ผุดเข้าไปในหว่างคิ้วของกงหยางฉี่ ‘นี่เป็นวิชาหลอมฐานมรรค สามารถแก้ปัญหาเรื่องมรรควิถีบกพร่องของเจ้าได้ ภายหน้าต่อให้เป็นการบรรลุระดับราชันอริยะก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้’

กงหยางฉี่อึ้งไปก่อน จากนั้นความยินดีปรีดาอย่างบอกไม่ถูกก็ผุดขึ้นในใจ ก้มหัวคารวะเอ่ยว่า ‘ขอผู้อาวุโสวางใจก็พอ เรื่องเผ่ามู่ซางให้ข้ากงหยางฉี่จัดการเอง!’

ทั้งสองสนทนาด้วยการสื่อจิต คนภายนอกไม่รู้สักนิดว่าเจ้าสำนักกระบี่สวรรค์ดำเนินถูกหลินสวิน ‘ซื้อ’ ไปแล้ว

และหลังจากหนานชิวได้รู้ถึงการจัดแจงของหลินสวิน ในใจก็แน่วแน่อย่างยิ่ง ไม่ลังเลอีกต่อไป ตอบรับว่าจะจากไปด้วยกันกับหลินสวิน

หลินสวินพลันรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย

สำหรับเขาแล้วโลกลำนำสวรรค์เป็นโลกเล็กๆ แห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่ไม่ควรค่าจะอาลัยอาวรณ์ มรรคาของเขาก็ย่อมไม่อาจถูกผูกติดไว้ที่นี่

หลินสวินไม่ต้องการอ้อยอิ่งอีก ตัดสินใจว่าจะนั่งยานข้ามโลกออกไปในวันนี้!

——