บทที่ 789.1 ไปถามกระบี่

กระบี่จงมา! Sword of Coming

สุดท้ายตรงริมลำคลองมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญปรากฏตัว มีสองคน

แต่อันที่จริงถือว่าเป็นแค่หนึ่งคน

เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาของกลุ่มภูเขามานานหลายปี แววตาน้อยนิดแค่นี้ยังพอมีอยู่บ้าง มหามรรคาของทั้งสองผสานสอดคล้องกัน เพียงแต่ว่าแบ่งหนึ่งออกเป็นสอง

เมื่อสตรีสวมชุดขาวร่างสูงใหญ่ปรากฏตัวพร้อมกับ ‘ข้ารับใช้’ ที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ผู้ฝึกตนทุกคนต่างก็พากันย้ายสายตามามองนาง หรือควรจะพูดว่าพวกนาง พวกมัน?

ศีรษะหนึ่งศีรษะกับเสื้อเกราะสีทองตัวนั้น ล้วนเป็นของเชลยศึก

ผู้ถือกระบี่ (หรือผู้ครองกระบี่ เนื่องจากการแปลในตอนต้นๆ อาจทำให้เกิดความสับสนระหว่างผู้ถือกระบี่กับข้ารับใช้ผู้ถือกระบี่ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ผู้แปลขออนุญาตแปล 持剑者 ว่าผู้ถือกระบี่หรือผู้ครองกระบี่ 剑侍 เป็นองค์รักษ์กระบี่หรือข้ารับใช้กระบี่) ยุคบรรพกาลห่างไกล หนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ขั้นสูงสุดในตำนาน

นอกจากหลี่เซิ่ง ป๋ายเจ๋อ ตงไห่เจ้าอารามผู้เฒ่าแห่งอารามกวานเต๋าและเฒ่าตาบอดที่ล้วนไม่รู้สึกว่านางคือคนแปลกหน้าแล้ว

ต่อให้เป็นพวกอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อ ลู่เฉินเจ้าลัทธิสาม คนพิฆาตมังกร อู๋ซวงเจี้ยง ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่จำนวนมากกว่านั้นที่มาเข้าร่วมการประชุมวันนี้ ต่างก็เพิ่งเคยเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘พลังพิฆาตสูงเกินนอกฟ้า’ ผู้นี้กับตาตัวเองเป็นครั้งแรก

สงครามเดินขึ้นฟ้าเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน สุดท้ายเผ่ามนุษย์เดินขึ้นไปสู่ยอดสูงสุดได้สำเร็จ โยนความรักตัวกลัวตายของเหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับเผ่ามนุษย์ทิ้งไป กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ นอกจากนี้ผู้ถือกระบี่ได้ถามกระบี่ต่อผู้สวมเสื้อเกราะ ความขัดแย้งภายในซึ่งเป็นการช่วงชิงกันระหว่างน้ำและไฟในครานั้น และยังมีความดูแคลนที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีต่อนิสัยใจคอของมนุษย์ ล้วนเป็นกุญแจสำคัญ ไม่ว่าความผิดพลาดในขั้นตอนใดก็ตาม จุดจบของเผ่ามนุษย์ล้วนจะต้องอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด

เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน เหนือผืนแผ่นดินใหญ่ขึ้นไป สภาพการณ์ของเผ่ามนุษย์เรียกได้ว่าจมอยู่ในน้ำลึกหล่นลงในกองไฟร้อน ทั้งต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เลี้ยงไว้เอามาทำเป็นต้นกำเนิดของควันธูปที่หล่อหลอมมหามรรคามิเสื่อมสลายของร่างทอง แล้วยังต้องถูกเผ่าปีศาจที่วางอำนาจบาตรใหญ่อยู่บนพื้นดินสังหารจับล่าอย่างกำเริบเสิบสาน มองเป็นต้นกำเนิดของอาหาร เผ่ามนุษย์ในอดีตอ่อนแอบอบบางเกินไป สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่สูงส่งเหนือขึ้นไปบนหัวอาศัยหอบินทะยานสองแห่งเป็นเส้นทางข้ามผ่านตะวันจันทราและดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนเยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์ กรีฑาทัพลงมายังแผ่นดินใหญ่ ส่วนใหญ่แล้วมักจะช่วยเหลือเผ่ามนุษย์อ่อนแอที่ถูกจับล้อมอยู่ในคอก สังหารปีศาจใหญ่ที่โอหังจนเกินขอบเขต

นอกจากนี้แล้ว อันดับแรกก็มีกระบี่หล่นลงมายังโลกมนุษย์ก่อน ถึงได้มีการถามกระบี่ต่อฟ้าในภายหลังและตามมาด้วยเวทอาคมดุจดั่งสายฝน เผ่ามนุษย์เริ่มทำการฝึกเวทกระบี่ คาถาอาคม และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นเขา

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมถึงมีเพียงผู้ฝึกกระบี่ที่พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ที่สุด แต่กลับถูกมหามรรคาสยบกำราบอย่างที่มองไม่เห็น

อวี๋โต้ว บนศีรษะสวมกวานหางปลา สะพายกระบี่เซียนเต้าจ้าง กลิ่นอายบนร่างกับปราณกระบี่ในกล่องกระบี่ล้วนแผ่กระเพื่อม ราวกับว่าเต๋าเหล่าเอ้อที่ ‘นอกจากบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว ข้าก็ไร้ศัตรูทัดทาน’ ผู้นี้ถึงกับไม่อาจสยบข่มปณิธานกระบี่ที่ซัดกรากของกระบี่เซียนเล่มนั้นเอาไว้ได้

แน่นอนว่าก็อาจเป็นท่าทีของการถามกระบี่ที่อวี๋โต้วกระทำไปตามแต่ใจตัวเองด้วย

และในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนที่บัญชาการณ์ห้านครสิบสองหอเรือนของป๋ายอวี้จิงแทนมรรคาจารย์เต๋า ลูกศิษย์คนแรกของมรรคาจารย์เต๋าที่หายสาบสูญไปนานแล้ว อวี๋โต้ว ลู่เฉิน อันที่จริงทั้งสามคนนี้ต่างก็ไม่เคยเข้าร่วมการประชุมริมลำคลองเมื่อหมื่นปีก่อนหน้านี้

บนศีรษะของลู่เฉินสวมกวานดอกบัว บนไหล่มีนกขมิ้นสีเหลืองตัวหนึ่ง เขายิ้มร่าพูดกับศิษย์พี่ว่า “ในฐานะผู้เยาว์ จะทำตัวไร้มารยาทไม่ได้”

เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยอะไร เพราะสีหน้าของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย

คนตรงหน้าที่หิ้วศีรษะไว้ในมือสวมชุดสีขาว เรือนกายสูงใหญ่ ใบหน้าคุ้นเคย ดวงหน้าประดับยิ้ม สายตาที่มองมายังเฉินผิงอันอ่อนโยนเป็นพิเศษ

แต่กลับกลายเป็นว่าเฉินผิงอันรู้สึกแปลกหน้า

ส่วนสตรีที่สวมเสื้อเกราะสีทอง ใบหน้าพร่าเลือนผสานอยู่ในแสงสีทองกลับมอบความรู้สึกที่คุ้นเคยให้เฉินผิงอันได้มากกว่า

ก็เหมือนจอมกระบี่คนหนึ่งที่ข้างกายมีข้ารับใช้กระบี่ติดตามมาด้วย

คนที่เฉินผิงอันรู้จักอย่างแท้จริงคือฝ่ายหลัง ดูเหมือนว่าฝ่ายแรกเพียงแค่ขโมยเอารูปโฉมของฝ่ายหลังไปใช้ และทั้งสองคนก็คล้ายว่าจะมีความสัมพันธ์เหมือนร่างจริงกับจิตหยินของผู้ฝึกตน

แม้แต่คนที่ใจคอหนักแน่นอย่างเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกทำอะไรไม่ถูกขึ้นมา

แต่เฉินผิงอันเพียงแค่มองสตรีชุดขาวแวบเดียวแล้วก็หันไปมองผู้สวมเสื้อเกราะสีทองคนนั้นเนิ่นนาน ราวกับกำลังถามนางว่า สรุปแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่

ทว่าคนที่เปิดปากพูดก่อนกลับเป็นสตรีชุดขาวที่อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า แต่คล้ายห่างไกลราวกับอยู่อีกฝากฝั่งหนึ่งของลำคลอง นางยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่ออกเดินทางไกลไปรอบหนึ่ง นายท่านก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?”

องค์รักษ์กระบี่สวมเสื้อเกราะสีทองขยับไปด้านข้างสองก้าว ร่างผสานรวมเป็นหนึ่งกับสตรีชุดขาว จากนั้นนางที่สวมชุดสีขาวห่มเกราะสีทองก็โยนศีรษะนั้นทิ้งลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างไม่ใส่ใจ เป็นเหตุให้แม่น้ำยาวทั้งสายเปลี่ยนมาเป็นสีทองในเสี้ยววินาที

นางยิ้มเอ่ย “แล้วตอนนี้ล่ะ?”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็เงียบขรึมดังเดิม

ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรจริงๆ

ลู่เฉินมองภาพที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเปล่งแสงสีทองแล้วก็ทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่งเบาๆ ว่าโลกมนุษย์ช่างโชคดี ความกรุณาแผ่ล้นให้แก่ปวงประชา

ดังนั้นลู่เฉินจึงหันหน้ามายิ้มถามอวี๋โต้วว่า “ศิษย์พี่ ตอนนี้ข้าเรียนกระบี่ยังทันไหม? ข้ารู้สึกว่าคุณสมบัติของตัวเองไม่เลวเลยนะ”

เต๋าเหล่าเอ้อคร้านจะพูดคุยกับเขา

ซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เป็นกาวประสานใจอย่างที่หาได้ยาก มอบให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายเป็นผู้จัดการผลกรรมที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุดนี้ด้วยตัวเอง

วิญญาณกระบี่คือนาง แต่นางกลับไม่ได้เป็นแค่วิญญาณกระบี่ นางสูงส่งกว่าวิญญาณกระบี่ เพราะนิสัยแห่งเทพที่ซ่อนแฝงอยู่สมบูรณ์มากกว่า ไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่สถานะ ขอบเขตและพลังพิฆาตเท่านั้น

และในเรื่องนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงนิสัยเทพด้วย

หากการอนุมานของทางฝั่งศาลบุ๋นไม่มีความคลาดเคลื่อน ถ้าอย่างนั้นพูดง่ายๆ ก็คือนางดึงเอานิสัยเทพส่วนหนึ่งมามอบให้ฝ่ายหลัง ขณะเดียวกันก็ทำการลบทิ้ง เปลี่ยนแปลงความทรงจำของฝ่ายหลังด้วย

ใช้รูปร่างของวิญญาณกระบี่ที่ค่อนข้างเปราะบางอ่อนแองีบหลับอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูนานหมื่นปี มีบางครั้งที่จะตื่นขึ้นมามองโลกมนุษย์สองสามที และบางครั้งนางก็จะหวนกลับคืนไปยังซากปรักสรวงสวรรค์บรรพกาล

นี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่คนพิฆาตมังกรกลายเป็นนักพรตเจี่ยเฉิง กลายเป็นสารถีป๋ายหมาง แต่กลับไม่เหมือนไปเสียทั้งหมด ซับซ้อนมากกว่า บริสุทธิ์มากกว่า

ผู้เฒ่าของร้านยาตระกูลหยางผู้นั้น ชิงถงเทียนจวินในฐานะที่เป็นคนดูแลหนึ่งในหอบินทะยาน

แม้ว่าระดับของตำแหน่งเทพจะไม่สูงเท่านาง เป็นเพียงแค่หนึ่งในสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงยุคบรรพกาล แต่แท้จริงแล้วในฐานะหนึ่งในเผ่ามนุษย์ที่กลายเป็นเทพคนแรกสุดในอดีต ในมือกุมเส้นทางการ ‘กลายเป็นเซียน’ ของบุรุษเซียนดินทุกคนในใต้หล้าเส้นหนึ่ง อำนาจในมือจึงมีสูงมาก ดังนั้นหยางเหล่าโถวที่อยู่ในร้านยาบ้านเกิด ต่อให้เผชิญหน้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดสองตนที่กลับชาติมาจุติใหม่อย่างหร่วนซิ่วและหลี่หลิ่ว ก็ยังคงไม่มีสีหน้าดีๆ ให้พวกนางเห็น ถึงขั้นที่ว่ายังเอ่ยสั่งสอนไปโดยตรงว่า สรวงสวรรค์พินาศย่อยยับ พวกเจ้าคือคนที่มีความผิดมหันต์

อีกทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลก็มีการแบ่งแยกฝักฝ่าย ต่างมีกลุ่มของตัวเองและมีหน้าที่เป็นของตัวเอง มีความเห็นต่างและการช่วงชิงบนมหามรรคาแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่นฟ่านจวิ้นเม่า ซานจวินหญิงแห่งขุนเขาใต้ของแจกันสมบัติทวีปในรุ่นหลัง เมื่อเผชิญหน้ากับนางที่กลับคืนสู่รูปโฉมของผู้ถือกระบี่ครึ่งตัว ก็แสดงให้เห็นว่าเคารพยำเกรงนางอย่างมาก ถึงขั้นที่ว่าต่อให้ตายใต้คมกระบี่ของนางก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง ส่วนสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายที่สายผู้สวมเสื้อเกราะเหลือทิ้งไว้ หรือพวกคนอย่างเซอเยว่ อวี่ซื่อแห่งสายเทพวารี ต่อให้สามารถได้เจอกับนาง ต่อให้จะมีใจหวาดเกรง แต่ก็ไม่มีทางเป็นเหมือนฟ่านจวิ้นเม่าที่ยืดคอให้บั่นด้วยความยินยอมพร้อมใจ

นางมีดวงตาสีทองเข้มข้น เป็นสัญลักษณ์ของจิตเทพที่บริสุทธิ์ที่สุดในฟ้าดิน ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองประเมินเฉินผิงอัน

สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว เวลาสิบปีหลายสิบปีก็เหมือนเวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือของมนุษย์ธรรมดา ทัศนียภาพผ่านไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพียงแค่สะเก็ดน้ำเล็กๆ ที่กระเซ็นขึ้นมาบนแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่กว้างใหญ่ไพศาลแล้วหล่นร่วงลงไปอีกครั้ง

ซิ่วไฉเฒ่ามองดูแล้วมีสีหน้าผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วกลับตึงเครียดอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ตอนที่พี่สาวเทพเซียนท่านนี้ปรากฏตัวได้จงใจแสดงร่างของคนสองคนอย่างจอมกระบี่และข้ารับใช้กระบี่

ไม่ว่าความตั้งใจเดิมของ ‘พี่หญิงเทพเซียน’ ท่านนี้คืออะไร คิดจะแสดงตัวตนที่แท้จริงซึ่งเป็นผู้ถือกระบี่ให้เฉินผิงอันได้เห็นเป็นครั้งแรก หรือเพราะสงครามใหญ่นอกฟ้าปิดฉากลง นางจำเป็นต้องสวมเสื้อเกราะสีทองอย่างสุดวิสัยเพราะต้องการรักษาเรือนกายที่มีจิตเทพส่วนหนึ่งไว้อย่างมั่นคง

อันที่จริงจิตสังหารล้วนเข้มข้นยิ่ง

ล่างภูเขามีความต่างระหว่างอายุจริงกับอายุลวง หากอิงตามข้อพิถีพิถันบนภูเขา ‘จิตดั้งเดิมก่อกำเนิดถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว’

และเรื่องของการสละร่างไปเกิดใหม่ของผู้ฝึกตนบนยอดเขา จุดที่เป็นกุญแจสำคัญ อันที่จริงนั้นอยู่ที่จะสามารถประกอบจิตวิญญาณได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ฟื้นคืนความทรงจำของชาติก่อนตอนที่มีชีวิตอยู่ได้หรือไม่

พูดง่ายๆ ก็คือ การ ‘ฝึกตัวตนข้าอย่างแท้จริง’ ด้วยการกลับมาจุติใหม่ของผู้ฝึกตน มีส่วนหนึ่งที่ใหญ่มากก็คือการ ‘ฟื้นคืนความทรงจำ’ เพื่อนำมาใช้ตัดสินในท้ายที่สุดว่าตัวเองเป็นใคร

สรุปแล้วจะปล่อยให้ความทรงจำของชาติก่อนกลบทับกลืนกินความทรงจำของชาตินี้ แล้วฝึกตนต่อไป หรือว่าชีวิตนี้ข้าเป็นนาย เพียงแค่ซึมซับความทรงจำของชาติก่อน หันมาตั้งใจฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจอีกครั้ง

ยกตัวอย่างเช่นนักบวชหลายคนของลัทธิพุทธ ตอนเด็กต่างก็มีสัญชาตญาณที่ว่าหากพบเจอผู้ที่เลื่อมใสต้องทำความเคารพทันที หรือไม่ตอนที่เปิดคัมภีร์บางอย่างก็มักจะรู้สึกว่าเคยได้อ่านมาก่อนแล้ว

และความล้ำค่าของการเกิดมาก็รับรู้เรื่องทุกอย่างของเทพวารีหลี่หลิ่วก็อยู่ที่ว่าไม่มีความขัดแย้งบนมหามรรคาประเภทนี้อยู่ ทุกอย่างทับซ้อนกัน ทุกชาติทุกภพ เชื่อมโยงต่อเนื่อง ล้วนเป็น ‘คนคนเดียว’ เพียงแค่เปลี่ยนเนื้อหนังมังสาในการฝึกตนเท่านั้น

คำพูดตลกขบขันที่สอดแทรกเข้ามาของซิ่วไฉเฒ่าก่อนหน้านี้มองดูเหมือนเป็นการรำลึกความหลัง แต่แท้จริงแล้วเพราะอยากจะช่วงชิงโอกาสในชั่วพริบตามาให้กับเฉินผิงอัน เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของเขาสูญเสียการป้องกัน จะได้รีบปรับสภาพจิตใจได้โดยไว

ความเข้าใจที่เฉินผิงอันมีต่อนางคือคิดว่านางเป็นวิญญาณกระบี่ที่ไร้เจ้าของมาโดยตลอด

และผู้ถือกระบี่ก็เหมือนตั้งใจเหมือนไร้เจตนาชักนำให้เฉินผิงอันเข้าใจผิด ก็เหมือนว่านางหยอกเย้าเขาเล่นโดยที่การหยอกล้อนี้ไม่ส่งผลต่อภาพรวม

ถ้าอย่างนั้นหากอยู่ดีๆ เจ้านายคนก่อนของวิญญาณกระบี่ก็โผล่ออกมาล่ะ? เฉินผิงอันที่เป็นเจ้านายคนใหม่จะใช้สภาพจิตใจแบบใดมามองจอมกระบี่ที่แปลกหน้า รวมไปถึงวิญญาณกระบี่ที่คุ้นเคยซึ่งคอยติดตามรับใช้อยู่ข้างกาย?

ในที่สุดซิ่วไฉเฒ่าก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก

ดูเหมือนว่าพี่หญิงเทพเซียนจะไม่โกรธ กลับกันยังอารมณ์ดีด้วย

นี่ถือว่าเป็นการหยั่งเชิงครั้งที่สองของนางได้หรือไม่?

ครั้งแรกคือหลังจากที่เฉินผิงอันส่งกระบี่ผ่าภูเขาสุ้ยซาน

ตอนนั้นเกี่ยวข้องกับหนิงเหยา ครั้งนี้เป็นจิตใจของเฉินผิงอันเองที่เลือกวิญญาณกระบี่ที่ตัวเองคุ้นเคย

นางพลันโถมตัวเข้ากอดเฉินผิงอัน

ต่อให้เฉินผิงอันจะไม่ใช่เด็กหนุ่มอีกต่อไป เรือนกายสูงเพรียวแล้ว แต่อยู่กับนางก็ยังคงเตี้ยอยู่ไม่น้อย

เฉินผิงอันรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย ตบไหล่ของนางเบาๆ บอกเป็นนัยให้รู้ว่าอย่าทำเช่นนี้

ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจไม่หยุด ไม่เสียแรงที่เป็นพี่หญิงเทพเซียน มีครบทั้งความห้าวหาญและความอ่อนโยน

ในที่สุดนางก็ยอมปล่อยเฉินผิงอัน ถอยหลังไปสองก้าว ยิ้มจนตาหยี “ช่วงเวลาที่อยู่นอกฟ้า คิดถึงนายท่านอย่างมาก”

ซิ่วไฉเฒ่าขยับสาบเสื้อ ช่วยไม่ได้ การประชุมริมลำคลองคราวนี้ ลำดับอาวุโสของตนค่อนข้างสูงแล้ว

หลี่เซิ่งทรุดตัวลงนั่งยอง กอบน้ำของแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่เป็นสีทองพร่างพราวมาไว้ในฝ่ามือ ชั่งน้ำหนักอย่างตั้งใจ

หลี่เซิ่งไม่ได้เปิดปากเริ่มการประชุม ดังนั้นการประชุมครั้งที่สองหลังจากผ่านไปหมื่นปี ถ้อยคำที่เป็นบทเปิดอย่างแท้จริง เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายน่าสนใจอย่างถึงที่สุด บรรยากาศไม่เคร่งเครียดเลยแม้แต่น้อย

เพราะทุกคนต่างก็หันไปหาคนหนุ่มอย่างสมชื่อแท้จริงคนนั้น ช่างอ่อนเยาว์เหลือเกิน สี่สิบต้นๆ ราวกับว่าหากไม่เอาเขามาเอ่ยหยอกล้อจะเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรสวรรค์ น่าเสียดายเกินไป

——