เรื่องพวกนี้ที่หลี่เซิ่งกล่าวถึง อันที่จริงพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาต่างก็มีการคาดเดาแตกต่างกันไป เพียงแค่ว่าวันนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริง
อันที่จริงเฝ่ยหราน หนิงเหยา คนหนึ่งมีสถานะเป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้าง อีกคนหนึ่งคือบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี แม้ว่าทั้งสองคนต่างก็ยังไม่เลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ ตอนนี้ยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน แต่ก็ล้วนมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมการประชุมแล้ว
นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซียวสวิ้นกับผู้เฒ่าถือไม้เท้าที่โผล่ออกมาจากบ่อโบราณซึ่งเป็นปีศาจใหญ่ขอบเขตสิบสี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่จะประชุมกันในวันนี้ไม่สะดวกที่จะลากใต้หล้าห้าสีมาเกี่ยวข้อง ยิ่งไม่มีทางดึงเอาใต้หล้าเปลี่ยวร้างเข้ามา เพราะการประชุมที่ริมลำคลอง เดิมทีก็จัดขึ้นเพื่อรับมือกับซากปรักสรวงสวรรค์แห่งนั้นอยู่แล้ว หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ ใช้รับมือกับมหาสมุทรความรู้โจวมี่ รับมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหม่เอี่ยมของสรวงสวรรค์ใหม่
เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้ยินชื่อ ‘เสินชิง’ นี้
สำหรับภิกษุน้ำแกงไก่ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา ชุยตงซานผู้เป็นลูกศิษย์ก็เคยกล่าวถึง ทว่าดูเหมือนตั้งแต่ต้นจนจบชุยตงซานจะเรียกอีกฝ่ายว่าภิกษุเฒ่าน้ำแกงไก่ ไม่ได้พูดถึงฉายาทางลัทธิพุทธที่มีชื่อว่า ‘เสินชิง’ นี้เลย
ซิ่วไฉเฒ่าใช้เสียงในใจอธิบายว่า “ภิกษุเฒ่าที่ได้รับฉายาว่าภิกษุน้ำแกงไก่ผู้นี้ อันที่จริงฉายาทางธรรมคือเสินชิง มีบันทึกอยู่ในตำราลัทธิพุทธไม่มาก ใต้หล้าไพศาลในทุกวันนี้ส่วนใหญ่จะมีแต่คัมภีร์ของฝ่ายญาณใต้ที่เป็นที่นิยม ปฏิทินเหลืองที่ขยับเหนือขึ้นไปจากนั้นค่อนข้างมีน้อย อันที่จริงภิกษุเฒ่าคนนี้ก็มีความรู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าทอดถอนใจ “ภิกษุเสินชิงไม่ใช่คนในท้องถิ่นของไพศาล การที่มาอยู่ในไพศาลหลายปีก็เพราะว่าเคยคุ้มกันภิกษุท่านหนึ่งกลับมายังทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ร่วมแปลคัมภีร์พุทธด้วยกัน รับหน้าที่เป็นคนตรวจสอบแก้ไขปรับปรุงตัวอักษร ตัดสินปัญหายุ่งยากซับซ้อน ควบกับการตรวจสอบหลักฐาน เสินชิงผู้นี้เชี่ยวชาญในด้านคัมภีร์จำพวกคัมภีร์อวตังสกสูตร ลังกาวัตรสูตร เข้าใจในเรื่องของทศภูมิ ปรัชญา สภาพธรรมอย่างทะลุปรุโปร่ง ศึกษาตำราพระวินัยอย่าง ‘จตุรงควินัย’ อย่างลึกซึ้ง เข้าร่วมการโต้วาทีของสามลัทธิในครั้งแรก เป็นเหตุให้มีคำเรียกขานที่ไพเราะอีกมากมายเช่น ‘ศัตรูของคนนับหมื่น’ ‘ภูเขาเหนือรวบรวมแก่นอันลี้ลับของสามลัทธิไว้เพื่อแหล่งที่มาของธรรม’ ความสามารถในการทะเลาะโต้เถียงก็ร้ายกาจอย่างมาก”
สามารถถูกซิ่วไฉเฒ่าวิจารณ์ด้วยคำว่าทะเลาะโต้เถียงได้ร้ายกาจมาก นี่ก็มากพอแสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งสูงส่งในด้านพระธรรมของเสินชิงแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยต่ออีกว่า “ช่วงแรกเริ่มสุดพระธรรมมาจากแดนตะวันตก ภิกษุมักจะไปพักแรมตามบุพเพวาสนา ธุดงค์ไปมาเพียงลำพัง ใช้ชีวิตแทบจะใกล้เคียงกับเมฆาวารี ตัวภิกษุเองไปมาไม่แน่นอน พวกลูกศิษย์ลูกหาในลัทธิพุทธก็ย่อมยากที่จะได้รับการสั่งสอน จนกระทั่ง…ซวงเฟิงถ่ายทอดพระธรรม เลือกสถานที่พักพิง สร้างที่ตั้งเทวรูป ทำลายระบบสืบทอดที่ไม่บันทึกตัวอักษร ไม่สร้างตัวอักษร ขณะเดียวกันก็สร้างสถานที่ประกอบพิธีกรรม สร้างวัดตั้งวางเทวรูปบูชา ถ่ายทอดพระธรรมคำสอนแก่ปวงประชาใต้หล้า ช่วงเวลาระหว่างนี้ภิกษุเสินชิงล้วนคอยให้การปกป้องอย่างลับๆ จากนั้นต่อมาก็คือ…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ ซิ่วไฉเฒ่าก็พลันหยุดพูด
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้ดีว่าอาจารย์จะพูดอะไร คือพูดถึงพระธรรมของตงซาน
ภูเขาซวงเฟิงมีอีกชื่อว่าภูเขาหัวแตก ภูเขาผิงมู่ที่ห่างจากซวงเฟิงไปแค่ไม่กี่สิบลี้ก็มีชื่อว่า…ตงซาน (ภูเขาทางทิศตะวันออก)
และตอนที่เฉินผิงอันเป็นเด็กหนุ่ม ตอนที่ยังเป็นลูกศิษย์เตาเผามังกรก็เคยขึ้นเขาไปหาดินปั้นเครื่องกระเบื้องกับผู้เฒ่าเหยาอยู่หลายครั้ง หลังจากที่ได้ขึ้นไปบนภูเขาพีอวิ๋นก็เคยมองเห็นว่าทางทิศตะวันออกมีภูเขาสูงอยู่ลูกหนึ่ง
ตงซาน
ชุยตงซาน
เนื้อหนังมังสาคือเจียวหลงสู่โบราณ อัฐเสนาของลัทธิพุทธ (ในศาสนาพุทธจะมีเทพสวรรค์ผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาอยู่แปดหน่วย เทวดา นาค ยักษา คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร และมหิระกะ)
มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าชุยตงซาน หรือควรจะบอกว่าชุยฉาน ได้เตรียมพร้อมมาตั้งแต่แรกแล้วว่า หากไม่อาจประคับประคองหวังจูได้จริง นางไม่อาจกลายมาเป็นมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกได้ ชุยตงซานต้องเข้ามาแทนที่นางอย่างแน่นอน พอเดินลงน้ำสำเร็จ สุดท้ายคงจะไม่ใช่ว่า…หันไปนับถือลัทธิพุทธหรอกกระมัง?
เฉินผิงอันถอนหายใจ ล้วนเป็นแผนการลึกล้ำยาวไกลที่มิอาจจินตนาการได้ถึง ส่วนความจริงจะเป็นอย่างไร วันหน้าก็สามารถลองไปถามลูกศิษย์ของตนดูได้
หรืออย่างเรื่องที่ว่าสรุปแล้วผู้เฒ่าเหยาคือใครกันแน่? ทำไมถึงได้ปรากฏตัวที่ถ้ำสวรรค์หลีจู
บางทีอาจเป็นเพราะผู้เฒ่าเหยาไม่ได้พูดอะไรมาก ดังนั้นทุกครั้งที่เปิดปากพูดจึงทำให้เฉินผิงอันที่ให้ตายอย่างไรก็ไม่มีทางได้เป็นลูกศิษย์อย่างเป็นทางการของเขาจดจำได้แม่นยำมากเป็นพิเศษ
จำได้ชัดเจนเลยว่ามีครั้งหนึ่งที่ขึ้นเขา ผู้เฒ่าเหยาที่เดินอยู่ด้านหน้าเคยเอ่ยประโยคหนึ่งเหมือนชวนคุย บอกว่าดินโคลนที่ไม่สะดุดตาที่สุดใต้ฝ่าเท้า เมื่อพ้นมาจากพื้นดิน สุดท้ายเอามาปั้นเป็นพระโพธิสัตว์ดินเผา กินควันธูป หรือเอามาเผาเป็นเครื่องกระเบื้องส่งเข้าไปในบ้านของฮ่องเต้ หรือไม่ก็กลายเป็นถ้วยโถโอชามแตกบิ่นในบ้านของชาวบ้านทั่วไป ยากจะหลบเลี่ยงการถูกไฟเผาถูกน้ำซึมใส่ได้พ้น พวกมันล้วนมีรากฐานของตัวเอง มีชะตาชีวิตเป็นของตัวเอง เหมือนกับมนุษย์เรา…
ตอนนั้นผู้เฒ่ากับเด็กหนุ่มเดินเหยียบเข้าไปในภูเขาเจินจูด้วยกัน ผู้เฒ่าเหยากระทืบเท้าเอ่ยประโยคหนึ่งกับลูกศิษย์ของเตาเผามังกรที่กำลังคุ้ยดินว่า ดินที่นี่รสชาติครบสมบูรณ์ที่สุด แต่ก็เพราะว่าสถานที่เล็ก ไม่ต่างจากคนที่หดตัวอยู่ในมุม ยืดหัวออกไปก็ชนหัว ยืดขาออกไปก็ชนขา หากกล่าวตามคำพูดโบร่ำโบราณ นี่ก็เรียกว่าเปลือกหอย
ผู้เฒ่าเหยายังบอกอีกว่าตอไม้เก่าแก่ที่ไม่สะดุดตาทั้งหลายในภูเขา อาจจะเป็นที่นั่งของเทพภูเขาก็เป็นได้ ห้ามไปนั่ง บอกว่าภูเขาน้อยใหญ่ในใต้หล้าแห่งนี้เป็นสายเดียวที่สืบทอดต่อกันมา เพียงแค่ว่ามีการแบ่งปู่หลานก็เท่านั้น
พระพุทธเจ้าเอ่ยแค่ถ้อยคำธรรมดาทั่วไป
ดังนั้นต่อให้พวกคนเฒ่าคนแก่จะเล่าเรื่องลี้ลับมหัศจรรย์พวกนั้น ต่อให้ตอนนั้นเฉินผิงอันยังเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มตรอกเก่าโทรมที่ยังไม่เคยอ่านตำราเล่าเรียนมาก่อน แต่กลับฟังเข้าใจ อีกทั้งยังจดจำได้อย่างแม่นยำ
ภายหลังการที่เฉินผิงอันใช้เหรียญทองแดงแก่นทองเหรียญหนึ่งซื้อภูเขาเจินจูเอาไว้อย่างเด็ดเดี่ยว นอกจากนิสัยละโมบในทรัพย์สินที่ทำให้คิดว่า ‘เงินแค่เหรียญเดียวก็ซื้อภูเขาลูกหนึ่งได้แล้ว’ แล้ว คำกล่าวที่ว่า ‘รสชาติของดินสมบูรณ์ที่สุด’ ของผู้เฒ่าเหยาก็เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่สำคัญมากเช่นกัน สิ่งที่เด็กหนุ่มรองเท้าเตะในเวลานั้นคิดอยู่ในหัว แน่นอนว่าคือซื้อภูเขาเอาไว้ก่อน แล้วค่อยหาเงินให้มากขึ้น จากนั้นค่อยซื้อเตาเผามังกรหนึ่งแห่ง ตนทำหน้าที่เป็นช่างของเตาเผาหรือไม่ก็ให้หลิวเสี้ยนหยางช่วยเหลือ คนทั้งสองอาศัยฝีมือในการเผาเครื่องปั้นมาหาเงิน สายน้ำเส้นเล็กไหลยาว แล้วยังจะมีบ้านหลังใหญ่แค่ไหนที่ตนซื้อไม่ได้อีก? จะมีภรรยาแบบไหนที่หลิวเสี้ยนหยางแต่งกลับมาอยู่บ้านไม่ได้อีก?
อีกทั้งภายหลังออกจากบ้านเดินทางไกล ขึ้นเขาลงห้วย ต่อให้เฉินผิงอันจะยังไม่ได้ฝึกตนอย่างแท้จริง แต่กลับวางตนอย่างมีมารยาท ยามที่ไม่มีคนอยู่ด้วยก็ยังคงรักษากฎเกณ์ไว้เป็นอย่างดี
ดินทับถมกลายเป็นภูเขา น้ำทับถมกลายเป็นมหาสมุทร ไม่ว่ากับเรื่องใดล้วนปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างระมัดระวัง จึงกล่อมเกลาจนกลายมาเป็นความเคารพที่มีต่อฟ้าดินอย่างเป็นธรรมชาติ
ภายหลังแม่นางน้อยถ่านดำ เผยเฉียนที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงแต่กลัวความยากลำบากที่สุดซึ่งติดตามเฉินผิงอันออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยังซึมซับอิทธิพลนี้ไปอย่างช้าๆ ด้วย
ต่อมาอีก รอกระทั่งเผยเฉียนสามารถออกท่องใต้หล้าตามลำพังได้แล้ว นางก็ยังคงมีใจกริ่งเกรงต่อวัดของลัทธิพุทธมาโดยตลอด
ซิ่วไฉเฒ่าเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยิ้มเอ่ยว่า “จากนั้นต่อมาก็คือญาณแบ่งเหนือใต้ของแผ่นดินกลางแล้ว ประโยคที่ว่า ‘พระธรรมอยู่ฝ่ายเดียวกัน คนแบ่งเหนือใต้’ นี้ โดยภาพรวมแล้วก็คือการกล่าวอย่างเป็นกลาง ผิงอัน เจ้ารู้สึกว่าโอกาสที่ได้มาจากการเผยแพร่พระธรรมให้กว้างขวางคืออะไร?”
เฉินผิงอันไม่แบ่งสมาธิไปคิดถึงเรื่องเก่าๆ ในวันวานอีกแล้ว เขาตั้งใจคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “ประตูธรรมเปิดออกกว้าง ไม่เลือกสันดานคน ขณะเดียวกันก็เสนอความสะดวกสบายใหญ่ๆ และลำดับขั้นตอนหลายข้อ ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีคำกล่าวที่ว่าแค่ปฏิบัติก็เป็นสมาธิ ท่องพระธรรมจิตก็เป็นพุทธะ”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า หันหน้าไปมองภิกษุน้ำแกงไก่แล้วพูดอย่างสะท้อนใจว่า “เพียงแต่ว่ากาลเวลาอันยาวนานคือมีดฆ่าหมู ไม่เพียงแต่แม่ทัพผู้เลื่องชื่อและสาวงามเท่านั้นที่ไม่ปล่อยผ่าน แม้แต่ภิกษุผู้มีปัญญาญาณก็ยังไม่ละเว้น ภิกษุที่ถูกบันทึกไว้ในตำราว่า ‘มีมาดแห่งความเก่าแก่โบราณ ใสสะอาดส่องประกาย’ คนนั้น เปี่ยมไปด้วยความมหัศจรรย์ โดดเด่นสง่างาม คือชายงามโดยแท้ ไม่รู้ว่าทำไมถึงกลายมาเป็นภิกษุเฒ่าที่ผอมแห้งราวท่อนฟืนเสียได้ ปีนั้นข้าพาศิษย์พี่ของเจ้าไปเยี่ยมเยียนเสินชิงครั้งแรก เห็นหน้ากัน ข้ายังเกือบจำไม่ได้”
เฉินผิงอันกล่าว “อาจเป็นเพราะผู้อาวุโสแห่งลัทธิพุทธท่านนี้ช่วยเหลือเกื้อกูลปวงประชาในใต้หล้า ธรรมกายจึงผ่ายผอม”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “มีเหตุผล มีเหตุผล”
อ้วนขึ้นนั้นง่าย คิดจะกลับมาผอมกลับยาก
ร่างกายเป็นเช่นนี้ ใจคนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ภิกษุเฒ่าพลันก้มหน้าพนมมือ “อามิตตาพุทธ ประเสริฐยิ่งแล้ว ประเสริฐยิ่งแล้ว”
สีหน้าเฉินผิงอันกระอักกระอ่วน หันหน้าไปมองอาจารย์ของตนอย่างคลางแคลง
ซิ่วไฉเฒ่าพูดด้วยสีหน้าจริงใจยิ่ง “ภิกษุเสินชิงมีความสามารถในการอภิปรายไร้เทียมทาน พระธรรมก็ไม่ได้สูงส่งลึกล้ำธรรมดา พวกเราพูดคุยอะไรกัน คาดว่าคงได้ยินหมดแล้ว นี่เป็นเรื่องปกติยิ่ง”
เฉินผิงอันจึงได้แต่แข็งใจลุกขึ้นยืน เอาฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งวางไว้ด้านหน้า คารวะภิกษุเฒ่าอย่างนอบน้อม ภิกษุเสินชิงก็คารวะกลับคืนมา
นักพรตหญิงลัทธิเต๋าคนนั้นพลันถามขึ้นมาว่า “หลี่เซิ่ง ผ่านไปหนึ่งหมื่นปีแล้ว ทุกวันนี้สรุปแล้วบรรพจารย์ของสามลัทธิมีวิธีแก้ไขเรื่องของซากปรักนอกฟ้าแห่งนั้นหรือไม่?”
หากไม่มี นางก็ไม่รู้สึกว่าการประชุมครั้งนี้ ขอบเขตสิบสี่อย่างพวกนางจะสามารถระดมหัวคิดหาวิธีการที่ได้ผลออกมาได้ หากว่ามี แล้วการประชุมริมลำคลองจะมีความหมายอะไร?
หลี่เซิ่งยิ้มเอ่ย “ข้าเองก็เคยถามปรมาจารย์มหาปราชญ์ เพียงแต่ว่าท่านไม่ได้ให้คำตอบ ไม่ได้บอกว่ามี แล้วก็ไม่ได้บอกว่าไม่มี”
นักพรตหญิงพยักหน้ารับ “หากเป็นเช่นนี้ก็แสดงว่าบรรพจารย์สามลัทธิต่างก็ยังรู้สึกลำบากใจ ไม่เป็นไร ในเมื่อเป็นอย่างนี้กลับกลายเป็นว่าเรื่องจะง่ายขึ้น ในเมื่อไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ถ้าอย่างนั้นก็ตั้งตัวให้พร้อมรับกับทุกปัญหาที่ดาหน้าเข้ามาแล้วกัน พวกเราไปที่นอกฟ้าด้วยกันหนึ่งรอบ เรื่องราวบนโลกก็ให้พวกคนในโลกมนุษย์จัดการกันเอาเอง พวกเราที่อยู่บนยอดเขาขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเดินขึ้นฟ้าได้แล้วก็ไปเล่นงานพวกบนฟ้าให้ตายกันไปข้าง ต่อให้จัดการโจวมี่ไม่ได้ จะดีจะชั่วก็รับประกันได้ว่าซากปรักสรวงสวรรค์แห่งนั้นไม่อาจขยับขยายออกไปได้อีกแม้แต่เศษเสี้ยว หากจำนวนคนไม่พอ พวกเราก็เรียกคนของฝั่งตัวเองที่ต่อสู้เก่งมาเพิ่ม”
หลี่เซิ่งยิ้มพลางส่ายหน้า “เรื่องราวไม่ได้ง่ายดายเช่นนี้”
นักพรตหญิงขมวดคิ้วน้อยๆ “จบเรื่องเร็วๆ ไม่ได้เลยหรือ?”
อู๋ซวงเจี้ยงพลันเอ่ยว่า “ภูเขาทัวเยว่ลูกนั้นเป็นทั้งกับดัก แล้วก็เป็นทั้งโอกาส”
หย่าเซิ่งพยักหน้า เห็นได้ชัดว่าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้
อวี๋โต้วเอ่ย “หากเป็นไปได้ ผินเต้าจะเปิดทางให้เอง”
ภิกษุเสินชิงกล่าว “ผินเซิง (คำเรียกแทนตัวเองอย่างถ่อมตัวของภิกษุ) จะช่วยคุ้มกันให้”
คนพิฆาตมังกรยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หลี่เซิ่ง ตอนที่ข้าออกกระบี่อยู่นอกฟ้า ในโลกมนุษย์นี้ก็อย่าได้ทำลายมหามรรคาของข้าเสียล่ะ”
หลี่เซิ่งยิ้มบางๆ “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”
นี่ก็คือการประชุมริมลำคลอง
สตรีชุดขาวยิ้มถาม “นายท่านจะไม่ออกกระบี่กับเขาสักทีสองทีหรือ?”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ได้ด้วยหรือ?”
นางยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ปล่อยกระบี่สองกระบี่ไม่ได้เป็นปัญหาเท่าไร”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “หากใช้กระบี่ท้าทายภูเขาทัวเยว่เล่า?”
บอกตามตรง ออกกระบี่นอกฟ้า เฉินผิงอันไม่ได้มีความมั่นใจอะไร แต่หากคิดจะงัดข้อกับภูเขาทัวเยว่แห่งนั้น เขามีความคิดดีๆ มากมาย
อยากทำมาตั้งนานแล้ว
นางลุกขึ้นยืน สองมือค้ำยันด้ามกระบี่ เอ่ยว่า “ยินดีติดตามนายท่านย้ายภูเขา”
——