แรกเริ่มเด็กชายยังคลางแคลงอยู่บ้าง ด้วยรู้สึกว่าหูเหนียงเนียง (หูแปลว่าจิ้งจอก) ที่งามเลิศล้ำของบ้านตนไม่น่าจะเห็นชายสกปรกมอมแมมที่ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าหล่อเหลาสง่างามแม้แต่น้อยผู้นี้อยู่ในสายตาได้
อาเหลียงจึงอธิบายกับเด็กชายอย่างอดทน บอกว่าเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เขายังไม่ซูบซีดอิดโรยเช่นนี้ ต้องเรียกว่าใบหน้านวลผ่องเหมือนผงแป้ง ดวงตากระจ่างใสราวดวงดารา ทั้งยังมีความรู้อัดแน่นเต็มท้อง มาดองอาจสง่างาม ภูตจิ้งจอกของใต้หล้ามีใครบ้างที่ไม่ชอบบัณฑิตมากความสามารถที่หาได้ยากเช่นนี้? ดังนั้นครั้งแรกที่เขากับแม่นางเลี่ยนเจินพบเจอกันในภูเขา ลมทองน้ำค้างหยกมาพบเจอกัน จึงทำให้นางชื่นชอบหลงใหลในตัวเขาทันที บุรุษมากความสามารถสตรีสะคราญโฉม ย่อมเป็นคู่ที่สวรรค์สรรสร้างมาอยู่แล้ว
เพียงแต่ว่าติดที่สถานะของแม่นางเลี่ยนเจินของเขา จึงได้ถูกเทียนซือใหญ่ของจวนเทียนซือพวกเจ้าบังคับจับตัวไป เขาอาเหลียงต้องผ่านความยากลำบากนานัปการ เพื่อคำว่ารักคำเดียวที่ทำให้เขาเดินทางไปสุดหล้าฟ้าเขียว เดินผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำ คืนนี้กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ต้องต่อสู้จนตัวตาย เขาก็ต้องได้พบหน้าแม่นางเลี่ยนเจินสักครั้ง
ตอนนั้นดวงตาทั้งคู่ของเด็กชายทอประกายเจิดจ้า รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนอาเหลียง ต้องเป็นบรรพจารย์บ้านตนที่ไร้เหตุผลเกินไป ถึงกับพรากคู่รักเทพเซียนที่ชายลุ่มหลงหญิงปักใจคู่หนึ่งออกจากกันได้ลงคอ ขาดคุณธรรมหรือไม่?
ด้านหนึ่งก็สั่งน้ำมูกป้ายลงบนไหล่ของชายฉกรรจ์เต็มแรง ด้านหนึ่งก็บอกว่าพี่อาเหลียงท่านรอก่อน ข้าจะต้องช่วยท่านนำจดหมายรักฉบับนั้นไปมอบให้หูเหนียงเนียงแน่นอน จะต้องให้พวกท่านได้เป็นกระจกร้าวที่ประสานกลับคืนมาดีดังเดิมให้จงได้
ส่วนตอนนั้นที่อาเหลียงบอกว่าความปรารถนายิ่งใหญ่ของมนุษย์ ชายหญิงล้วนมีเหมือนกัน ทว่าจะฟังเป็นให้ความดีงามหรือความต่ำช้า จุดประสงค์มักจะแตกต่างกัน ต่างกันแค่คำเดียวก็ต่างราวฟ้ากับเหว
เด็กชายกลับฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก แค่รู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง ต้องเป็นบัณฑิตเท่านั้นจริงๆ ถึงจะพูดออกมาได้ จวนเทียนซือบ้านตนมีตำราเก็บสะสมไว้นับไม่ถ้วน ทว่าต่อให้เปิดตำราอ่านครบทุกเล่มก็ยังเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมาไม่ได้
ส่วนจุดจบสุดท้ายของจ้าวเหยากวงในปีนั้น แน่นอนว่าโดนฟาดเสียน่วม โดนจังๆ แบบเน้นๆ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้น ตีจนเด็กชายแผดเสียงร้องไห้จ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ยอมรับผิด
ตอนนั้นในมือจิ้งจอกฟ้าเลี่ยนเจินถือ ‘จดหมายรัก’ ที่เทียนซือใหญ่มอบให้นาง ก่อนหน้านี้ที่ได้จดหมายฉบับนี้มาจากมือเจ้าเด็กเหยากวง แน่นอนว่านางไม่กล้าเปิดอ่านเองโดยพลการ กังวลว่าจะเป็นยอดฝีมือขอบเขตล้ำเลิศคนใดที่แอบแฝงตัวเข้ามาในภูเขามังกรพยัคฆ์ หวังมาก่อกวนจวนเทียนซือ จึงต้องมอบให้เทียนซือใหญ่อ่านก่อน ผลคือพอนางได้เปิดอ่านเองก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
‘แม่นางเลี่ยนเจิน เด็กคนนี้ของพวกเรานิสัยบริสุทธิ์ใสซื่อ คือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบ หลุมศพบรรพบุรุษของภูเขามังกรพยัคฆ์มีควันเขียวผุดขึ้นแล้ว จะต้องทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี จำไว้ให้ดี จำไว้ให้ดี’
ส่วนเจ้าเด็กที่ไม่รู้จักระแวดระวังใดๆ ตอนนั้นถูกตีแล้วก็ยังแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ร้องไห้พลางพูดโน้มน้าวไปด้วยว่าหูเหนียงเนียงจะต้องไปพบอาเหลียงสักครั้ง อย่าทำให้เขาต้องเสียใจอีกเลย
เทียนซือใหญ่จ้าวเทียนไล่ไม่ได้ขัดขวางไม่ให้พ่อแม่ของจ้าวเหยากวงตีเด็กน้อยซุกซน แต่อันที่จริงเทียนซือใหญ่กลับไม่โกรธแม้แต่น้อย
กลับกันนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จ้าวเทียนไล่ก็ได้เริ่มถ่ายทอดมรรคกถาให้กับเด็กชายด้วยตัวเอง ช่วยไขข้อข้องใจบนด่านของการฝึกตน คลายสิ่งกีดขวางม่านหมอกบนมหามรรคาให้จ้าวเหยากวงด้วยตัวเองอยู่หลายครั้ง
ส่วนเซียนกระบี่จั่วโย่วผู้นั้น อันที่จริงกลับเป็นข้อต้องห้ามที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ ผู้ฝึกตนในจวนพูดถึงเขาไม่มาก ทว่าทุกคนกลับรู้ชัดเจนดีอยู่ในใจ ส่วนสาเหตุ นอกจากตัวอ่อนเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เดิมทีมีอนาคตบนเส้นทางการฝึกตนอย่างมากต้องมาตายไปก่อนวัยอันควรใต้คมกระบี่ของจั่วโย่วแล้ว นอกจากนั้นก็ยังเป็นเพราะท่าทีที่นักพรตหญิงจวนเทียนซือคนหนึ่งที่มีลำดับศักดิ์สูงมากมีต่อจั่วโย่ว คนทั่วทั้งจวนเทียนซือต่างก็รู้กันชัดเจน
จ้าวเหยากวงอยากเชื้อเชิญอาจารย์จั่วให้ไปเป็นแขกที่จวนเทียนซือจากใจจริง
จั่วโย่วตามองตรงไปข้างหน้า เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “จะถามกระบี่รึ?”
เทียนซือน้อยที่เดิมทีเก็บสะสมคำพูดไว้เต็มท้องหุบปากฉับทันใด
กับเจ้าคนที่ไม่เป็นการเป็นงานอย่างอาเหลียงนี้สามารถพูดจาตลกขบขัน พูดจาสัปดนด้วยได้ แต่กับจั่วโย่ว อาจารย์จั่ว เซียนกระบี่ใหญ่จั่วผู้ที่เวทกระบี่สูงสุดในไพศาลคนนี้…จะพูดจาอะไรต้องระวังแล้วระวังอีก
คนหนุ่มหล่อเหลาคนหนึ่งที่มาจากสุกลฟ่านเสวียนอวี๋แห่งแผ่นดินกลางใช้เสียงในใจเอ่ยกับสหายรักข้างกายอย่างเสียดายว่า “น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่ได้พบอิ่นกวาน”
หลินจวินปี้ใช้เสียงในใจตอบกลับ “น่าจะยังมีโอกาส”
คนหนุ่มยิ้มเอ่ย “จวินปี้ อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าดื่มเหล้าฝ่าทะลุสามขอบเขต ทำไมเมื่อก่อนไม่เคยได้ยินเจ้าเล่าให้ฟังเลยเล่า”
ในใจหลินจวินปี้ตกตะลึง ความคิดแล่นอย่างว่องไว ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “อยู่ที่นั่น ผู้ฝึกกระบี่ฝ่าทะลุขอบเขตเป็นเรื่องที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรที่สุด”
เกี่ยวกับขั้นตอนการไปเที่ยวเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ น้อยครั้งนักที่หลินจวินปี้จะเล่าให้คนอื่นฟัง ต่อให้จะเป็นลูกหลานสกุลฟ่านซึ่งถือว่าเป็นสหายสนิทข้างกายตนคนนี้ เขาก็ยังแค่เล่าเรื่องบางอย่างที่ ‘เพราะเห็นแก่มิตรภาพ จึงจำต้องพูด’ เท่านั้น อีกทั้งมองดูเหมือนทั้งสองคนคุยเล่นกัน แต่แท้จริงแล้วทุกคำพูดล้วนกะน้ำหนักได้อย่างดีเยี่ยม เป็นถ้อยคำที่หลินจวินขบคิดแล้วร่างคำพูดเตรียมไว้ในหัวก่อนหน้าแล้ว
อันที่จริงหลินจวินปี้ยังคงเป็นหลินจวินปี้ที่ความคิดละเอียดรอบคอบคนนั้นมาโดยตลอด
แล้วก็คงมีแค่ตอนที่อยู่ในคฤหาสน์หลบร้อนเท่านั้น หลินจวินปี้ถึงจะมีนิสัยของเด็กหนุ่มอย่างแท้จริงอยู่บ้าง
เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน ถึงจะสามารถเป็นสหายร่วมเป็นร่วมตายที่ไม่ต้องครุ่นคิดถึงผลประโยชน์ได้อย่างแท้จริง
แรกเริ่มหลินจวินปี้จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ต้องเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามถึงจะทำตัวกลมกลืนเข้ากับทุกคนได้ แต่ภายหลังกลับเป็นดั่งน้ำมาคลองสำเร็จ ทำให้คนลืมรักตัวกลัวตายไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ
คนหนุ่มรีบเอ่ยเสริมไปอีกประโยคทันที “จวินปี้ เรื่องนี้เป็นเมื่อครู่ที่ท่านปู่ทวดแอบกระซิบให้ข้าฟัง เจ้าแค่ฟังผ่านไปก็พอ”
หลินจวินปี้พยักหน้า “พูดจาระวังกระทำการรอบคอบ ข้าเห็นด้วย”
หลินจวินปี้เอ่ยไปได้ครึ่งหนึ่งก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า “คราวหน้าข้าจะช่วยขอเหล้าภูเขาชิงเสินที่รสชาติดั้งเดิมที่สุดกาหนึ่งจากอิ่นกวานมาให้เจ้า”
เป็นคนจะระแวดระวังเกินไปนักไม่ได้ ยามอยู่กับสหายควรต้องผ่อนคลายบ้าง สหายที่ดีต้องเป็น สหายที่ร้ายก็จำต้องเป็น
คนหนุ่มสกุลฟ่านที่มีชื่อว่า ‘ชิงรุ่น’ ตาเป็นประกาย “เยี่ยมไปเลย! ใช่แล้ว จวินปี้ หากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ ใต้เท้าอิ่นกวานจะต้องเป็นคนสุภาพสง่างามที่มากความสามารถใช่ไหม? ต้องให้ข้าจัดงานเลี้ยงสุราที่เกาะยวนยางหรือไม่ ไม่อย่างนั้นข้าก็ไม่กล้าไปเยี่ยมเยือนอิ่นกวานมือเปล่าหรอกนะ ของสามัญราคาถูก ข้าไม่กล้าเอาออกมาให้ขายหน้า พวกยันต์สาวงามในห้องหนังสือของข้า เจ้าเองก็เคยเห็นมาก่อน อิ่นกวานจะรังเกียจหรือไม่?”
ฟ่านชิงรุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นคุณชายเจ้าสำราญ ตั้งชื่อห้องหนังสือของตัวเองว่า ‘สิงอิ่ง’ ชอบวาดอักษรภาพ วาดต้นไผ่ก้อนหิน ตั้งฉายาให้ตัวเองว่า ‘ฮวาหนง’ อีกชื่อหนึ่งคือคนเติมคำดอกซิ่งฝนวสันต์
บทกวีละมุนละไมไพเราะจำนวนไม่น้อยของเขาแพร่หลายในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นสาวใช้เร่งสุราไม่หยุดเสียง และยังมีสาวงามนั่งชดช้อยดุจจันทรา สุราเลื่องชื่อลือชาช้อนบุปผา
หลงใหลในหินทอง แกะสลักตราประทับไม่ต่ำกว่าพันชิ้น เรียกตัวเองด้วยความภาคภูมิใจว่า ‘กิจการในชีวิตคือดีดพิณ เล่นหมากล้อม เขียนพู่กัน วาดภาพ ดื่มเหล้าหมักเคล้าโฉมงาม’
หลินจวินปี้ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ใต้เท้าอิ่นกวานพูดคุยด้วยง่ายมาก เจ้าไม่ต้องตื่นเต้น ส่วนยันต์สาวงามอะไรนั่น ข้าจะถือว่าไม่เคยได้ยิน เจ้าคงเข้าใจ ล้วนเป็นความคิดของเจ้าเอง”
อย่าเห็นว่าดูเหมือนวันๆ ฟ่านชิงรุ่นไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงาน แต่อันที่จริงกลับเป็นผู้ที่สร้างคุณความชอบไว้สูงมาก กิจการครึ่งหนึ่งของสกุลฟ่านเสวียนอวี๋ล้วนได้คนหนุ่มผู้นี้จัดการอยู่เบื้องหลัง ทุกเรื่องเป็นระเบียบเป็นขั้นตอน อีกทั้งเงินที่หามาได้ยังไม่เหม็นกลิ่นทองแดงอีกด้วย นี่ถือว่าร้ายกาจมากแล้ว
ไม่อย่างนั้นหลินจวินปี้ก็ไม่มีทางเป็นเพื่อนสนิทกับเขา
ฟ่านชิงรุ่นพูดอย่างเข้าใจ “เข้าใจ เข้าใจ”
หลินจวินปี้ตบบ่าฟ่านชิงรุ่น คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า สีหน้าเปี่ยมไปด้วยการให้กำลังใจ แต่ในใจกลับพึมพำประโยคหนึ่งว่า พี่ฟ่านจงรักษาตัวให้ดี
การประชุมก่อนหน้านี้สิ้นสุดลง หลิวจวี้เป่าและอวี้พ่านสุ่ยต่างก็ได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งมาจากเจิ้งจวีจง ล้วนเป็นจดหมายที่โผล่ขึ้นมาในชายแขนเสื้อของพวกเขา เจิ้งจวีจงบอกว่าเป็นการชดเชยจากซิ่วหู่ รอให้การประชุมสิ้นสุดลงแล้วค่อยเอาออกมา
อวี้พ่านสุ่ยรู้สึกเหมือนมือลวกร้อน กังวลว่าหากเปิดจดหมายลับออกจะถูกเจิ้งจวีจงเข้าสิงร่าง มารดามันเถอะ เจ้ายักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารผู้นี้ มีเรื่องเลวร้ายอะไรที่ทำออกมาไม่ได้บ้างเล่า
หลิวจวี้เป่ายิ้มถาม “อาจารย์เจิ้งคงไม่ได้ยังมีการจัดการอย่างอื่นอยู่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอีกกระมัง?”
เจิ้งจวีจงยิ้มตอบ “มี”
หลิวจวี้เป่าตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะซักถามให้ถึงที่สุด “อาจารย์เจิ้งเคยไปที่นั่นมาเมื่อไหร่?”
เจิ้งจวีจงให้คำตอบที่ทำให้อวี้พ่านสุ่ยตัวสั่นสะท้านทันที
“ภายในเวลาร้อยปี เคยไปเยือนสามครั้ง เจ้าถามถึงครั้งไหนล่ะ?”
หลิวจวี้เป่าจึงไม่ถามมากอีก
อยู่ดีๆ อวี้พ่านสุ่ยที่ชอบเล่นหมากล้อมก็นึกถึงคำกล่าวหนึ่งขึ้นมา
สมมติว่าเจิ้งจวีจง ชุยฉานและฉีจิ้งชุนสามคนกำลังปรึกษาหารือกัน
คาดว่าคงมีสภาพการณ์ประมาณนี้กระมัง แบบนี้? ไม่เหมาะ ไม่สู้ทำแบบนี้ ได้ ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้
เพียงเท่านี้คนทั้งสามก็คุยกันจบแล้ว
หากมีคนนอกรับฟังอยู่ด้วย ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ หรือไม่ก็แสร้งทำเป็นว่าเข้าใจ สรุปก็คือล้วนไม่เข้าใจนั่นเอง
เฉาผู่
กำลังจะปลดระวางตำแหน่งราชครูของราชวงศ์เส้าหยวน เดินทางไปเยือนเกราะทองทวีป
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหย่าเซิ่งคนนี้ไม่ได้เลื่อนขั้นอยู่ในฝ่ายในของศาลบุ๋น ไม่เคยต้องการตำแหน่งเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งใด ถึงขั้นที่ว่าจนถึงทุกวันนี้ก็เพิ่งจะมีสถานะของนักปราชญ์เท่านั้น ไม่ใช่แม้แต่วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อ
ทว่าจิตหยินของเขา แท้จริงแล้วกลับออกจากร่างเดินทางไกล ข้ามผ่านทวีปไปจัดการดูแลภูเขาตระกูลเซียนลูกหนึ่งนานร้อยกว่าปีแล้ว
เวลานี้เหวยอิ๋งดูแล้วโดดเดี่ยวอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเมื่อเทียบกับตอนที่เพิ่งมาเข้าร่วมการประชุม เจ้าสำนักกุยหยกที่ ‘หน้าประตูดักจับนกได้’ (เปรียบเปรยว่าไม่มีใครมาเป็นแขกเยี่ยมเยือนที่บ้าน) เช่นเขานี้ อย่างน้อยที่สุดก็มีคนเป็นฝ่ายมาชวนเขาคุยสองสามคำ
อันที่จริงเหวยอิ๋งไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย
ตอนนี้เขาสนใจแค่เรื่องเดียว ศาลบุ๋นจะจัดการกับสำนักใบถงที่ตั้งอยู่ทางเหนือของบ้านเกิดตนอย่างไร
หากยืนอยู่แค่ในมุมมองของเจ้าสำนักกุยหยกอย่างเดียว แน่นอนว่าเขาต้องหวังให้สำนักใบถงถูกปิดภูเขาไปนับแต่นี้นานพันปี อดีตผู้นำของหนึ่งทวีปอย่างสำนักใบถงจะได้ไม่มีโอกาสกลับมาลุกผงาดอีก
แต่หากยืนอยู่ในมุมมองของผู้ฝึกตนใบถงทวีป อันที่จริงเหวยอิ๋งกลับรู้สึกจากใจจริงว่าคนรุ่นเยาว์กลุ่มนั้นของสำนักใบถงควรจะได้รับอนาคตอันดีงามยาวไกลทุกคน
สำนักกุยหยกไม่ใหญ่มากพอ
ควรจะมองไปให้ทั่วทั้งทวีป ดังนั้นเหวยอิ๋งจึงคิดจะช่วยสำนักใบถงสักครั้ง
ต้องทำการปิดประตูให้กับใบถงทวีปอีกครั้ง ลำพังเพียงแค่สำนักกุยหยกแห่งเดียว ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจทำได้สำเร็จ ส่วนหลังจากปิดประตูแล้วจะเปิดประตูอีกอย่างไร ควรจะอยู่ร่วมกับอีกแปดทวีปของไพศาลอย่างไร สำนักกุยหยกต้องเป็นผู้ตัดสินใจ
เรื่องนี้ยากมาก
แต่หากไม่เดินก้าวแรกออกไปก็จะยากอยู่อย่างนี้ไปตลอด สถานการณ์ของใบถงทวีปมีแต่จะอันตรายขึ้นทุกขณะ
ทางฝั่งของท่าเรือชวีซาน ลำพังเพียงแค่สวีเซี่ยเซียนกระบี่ที่เป็นเค่อชิงสกุลหลิวธวัลทวีปก็คือภัยคุกคามใหญ่หลวงอย่างหนึ่งแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแทรกซึมของแจกันสมบัติทวีปและอุตรกุรุทวีปที่เป็นดั่งการผ่าลำไม้ไผ่ ราชวงศ์ล่างภูเขาของใบถงทวีปแทบจะต้องกลายเป็น ‘แคว้นใต้อาณัติ’ ไปเสียทุกแห่ง
หากภูเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปสามารถจำแลงกลายมาเป็นจิตแห่งมรรคาอย่างหนึ่ง รอกระทั่งภูเขาสายน้ำทั้งบนและล่างภูเขาของใบถงทวีปที่แตกกระจัดกระจายสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง อันที่จริงกลับจะกลายเป็นความแตกแยกอย่างสิ้นเชิงอีกแบบหนึ่งมากกว่า
ใบถงทวีปเกินครึ่งจะกลายเป็นใบถงทวีปของคนต่างถิ่น
เหวยอิ๋งจะไม่ยอมให้ขุนเขาสายน้ำของบ้านเกิดต้องกลายไปเป็น ‘พื้นที่มงคล’ แห่งหนึ่งที่มีเนื้อปลาเนื้อหมูให้ไขว่คว้าได้ตามสบายในสายตาของผู้ฝึกตนต่างทวีปเด็ดขาด
ทางฝั่งประตูใหญ่ของศาลบุ๋นมีลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อชุดเขียวสีหน้าอ่อนโยนคนหนึ่งยืนอยู่ด้านล่างของขั้นบันได คอยต้อนรับกลุ่มคน
คือบัณฑิตที่รับหน้าที่เปิดและปิดประตูใหญ่ของสองสถานที่อย่างศาลบุ๋นและสวนกงเต๋อ จิงเซิงซีผิง
อันที่จริงเขาไม่ใช่ผู้ฝึกตน แต่เป็นการรวมตัวกันของโชคชะตาบุ๋นของไพศาลแล้วก่อกำเนิดขึ้นมาจากการจำแลงของมหามรรคา
อาเหลียงกระโดดโบกมือด้วยท่าประจำตัว หัวเราะร่าเอ่ยว่า “พี่ซีผิง ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ!”
อันที่จริงไม่ได้นานสักเท่าไร
บัณฑิตคนนั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อยากจะเจอกันบ่อยๆ ก็ง่ายมาก”
ขอแค่เจ้าอาเหลียงถูกขังอยู่ในสวนกงเต๋อ ก็จะได้พบเจอกันทุกวัน
——