หรือว่ากระบี่ตรีภพเล่มนี้ไม่ยอมเลือกข้าเป็นนาย ดังนั้นถึงได้โจมตีข้า?

เมื่อนึกถึงจุดนี้ได้ หลัวซิวก็รู้แล้วว่าการที่ตัวเองอยากครอบครองกระบี่ตรีภพนั้น เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้ว

ในส่วนของเรื่องการใช้อำนาจฝืนให้กระบี่ตรีภพยอมรับตัวเองเป็นนายนั้น ยิ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งมือใหญ่สีทองที่ผนึกรวมมาจากอำนาจบารมีของมหาจักรพรรดิยุทธ์ในเมื่อครู่ก็คือตัวอย่างที่ดีที่สุด

แม้จะรู้สึกไม่ค่อยยอม แต่หลัวซิวก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก จากสมบัติทั้งสามชิ้นในแดนเทวนิรันกาล เขาได้รับหินนิรันดร์ที่มีเกณฑ์นิรันดร์แฝงซ่อนอยู่แล้ว เป็นมนุษย์ต้องอย่าได้โลภมากเกินไปมิใช่หรือ?

“เสี่ยวจื่อ ตามข้ามา!”

อาศัยความเร็วในการเคลื่อนที่ของปีกเทพไร้มลทิน หลัวซิวหลบหลีกการโจมตีจากวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศจำนวนมาก และมาถึงข้างกายจีเสี่ยวจื่อ

ในขณะเดียวกัน ก็มีคนจำนวนมากพยายามพุ่งเข้าไปเก็บกระบี่ตรีภพ ทว่าล้วนถูกปราณกระบี่ตรีภพบีบอัดจนต้องถอยกลับมา ยิ่งกว่านั้นคือมีคนบางส่วนที่ตอบสนองช้า ถูกปราณกระบี่ตรีภพสังหารคาที่ เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น

หลัวซิวจับมือของจีเสี่ยวจื่อเอาไว้ เงาร่างกระพริบชั่วขณะก็ไปถึงตรงหน้ากระบี่ตรีภพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในขณะเดียวกันเขาก็เรียกตำหนักวัฏสงสารออกมาต้านทานการโจมตีของคนอื่น ๆ เอาไว้

“เสี่ยวจื่อ เจ้าลองดูว่าสามารถเอากระบี่เล่มนี้ไปได้หรือไม่”หลัวซิวเอ่ยปากพูด

“เจ้าค่ะ!”

จีเสี่ยวจื่อรีบเดินขึ้นไปในทันที ยื่นมือหยกออกไป แต่ทว่านางยังไม่ทันได้สัมผัสกับกระบี่ผงาดเล่มนี้ ปราณกระบี่ที่มีจิตสังหารอันน่าทึ่งก็ผ่าสับออกมาก่อน

นี่จึงทำให้จีเสี่ยวจื่อตกใจจนสะดุ้ง โคจรกฎปริภูมิที่ถูกยกระดับถึงแดนขั้น 6 โดยแร่อนัตตา นางจึงหายวับไปกับที่ทันที

เมื่อเห็นว่าจีเสี่ยวจื่อก็หายวับไปเช่นกัน หลัวซิวจึงส่ายหน้า ดูท่าพวกเขาทั้งสองต่างไม่มีวาสนาต่อกระบี่ผงาดเลิศเล่มนี้แล้ว

และในขณะนี้เอง พระโอรสจ้านเทียนก็ยังคงพุ่งฆ่าเข้ามาทางนี้อยู่ เนื่องจากทุกคนล้วนมองว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจ ดังนั้นจึงมีคนจำนวนมากลงมือรุมโจมตีเขา ไม่อยากปล่อยให้กระบี่ผงาดเลิศเล่มนี้ตกอยู่ในกำมือเขา

มหาโลกาจ้านเทียนมีมหาจักรพรรดิยุทธ์บังเกิดสองยุคแล้ว หากปล่อยให้พระโอรสจ้านเทียนได้รับกระบี่ผงาดไป อนาคตมีโอกาสสูงมากที่เขาจะกลายเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ยุคต่อไป ซึ่งเรื่องเช่นนี้เป็นเรื่องที่มหาโลกาสำนักจักรพรรดิและแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ล้วนไม่อยากมองเห็น

ทันใดนั้นเอง เหล่าเผ่าพันธุ์มารในโลกาบรรพมารก็ปรากฏขึ้น พวกเขาไม่ได้พุ่งตรงเข้าไปทางกระบี่ผงาดตรีภพนั่นแต่อย่างใด แต่เป็นการรุมล้อมจีเสี่ยวจื่อและหลัวซิวเอาไว้

ซึ่งในเผ่าพันธุ์มารเหล่านี้มีเยาเย่นั่นเป็นผู้นำ เขากำลังจ้องเขม็งไปทางหลัวซิวด้วยดวงตาที่ร้อนผ่าวพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นเยือก: “ส่งอสูรดูดจิตออกมา แล้วก็มึงไปได้เคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารมาจากที่ใด ก็จำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้ต่อกูเช่นกัน”

“พวกมึงใหญ่โตมาจากที่ใด ก็คู่ควรแก่การให้กูให้คำอธิบายต่อพวกมึง?”หลัวซิวดูออกแล้วว่าคนเหล่านี้มาด้วยความประสงค์ร้าย เขาจึงไม่มีทางไว้หน้าฝ่ายตรงข้ามอยู่แล้ว

“จักพูดจาไร้สาระกับเจ้าหมอนั่นทำไม เคล็ดกลั่นโลหิตบรรพมารเป็นเคล็ดวิชาที่โลกาบรรพมารของเราไม่ถ่ายทอดสู่คนนอก ฆ่ามันซะ!”

มีเผ่าพันธุ์มารบางคนอดกลั้นไม่ไหวตั้งนานแล้ว ก่อนจะพากันลงมือโจมตีอย่างรวดเร็ว ปลดปล่อยพลังอมตะและของขลังต่าง ๆ นานาออกมา แผ่คลุมไปทางหลัวซิว

จีเสี่ยวจื่อตวาดอย่างอ่อนช้อยทีหนึ่ง เรียกของขลังโล่ชิ้นนั้นออกมา อาศัยกำลังแรงของตนเพียงผู้เดียว ก็ต้านทานการโจมตีของเผ่าพันธุ์มารเหล่านั้นไว้ได้แล้ว

นาง ณ ปัจจุบันนางไม่ใช่ยัยหนูที่ต้องการให้หลัวซิวคอยคุ้มกันตลอดเวลาแล้ว ผลการฝึกตนบรรลุถึงแดนมกุฎเทพ อีกทั้งอาศัยแร่อนัตตาฝึกกฎปริภูมิขึ้นไปถึงแดนขั้น 6 ศักยภาพของนาง ณ บัดนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย

ในขณะเดียวกัน มีชี่โลหิตพรั่งพรูรอบกายเยาเย่ที่มีเส้นผมยาวสีแดงเลือด ชี่โลหิตมังกรแท้นับแสนตัวลอยวนอยู่รอบกาย ราวกับเทพเจ้ามารบังเกิดขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับกำดาบรบระดับเจ้ายุทธจักรไว้ในมือหนึ่งเล่ม

หลัวซิวไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว มองดูดาบรบระดับเจ้ายุทธจักรนั่นฟาดฟันมา เขาใช้หอกมังกรแดงมืดเข้าไปปะทะ

วิถียุทธสายเลือดของวิชาบรรพเทพโลหิตก็แสดงออกบนกำลังแรงของร่างยุทธ์ร่างเนื้อเช่นกัน อย่างไรก็ตามหลัวซิวกลับฝึกวิถียุทธสายเลือดและเคล็ดวิชาจุดลมปราณพร้อมกัน ร่างยุทธ์ร่างเนื้อจึงแข็งแกร่งว่าเยาเย่มาก ๆ