อวี่อวิ๋นเหอ ทายาทสายตรงของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันแห่งเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ ลูกคุณหนูคนหนึ่งที่เลื่องชื่อลือนามในโลกต้าอวี่

หลันไฉ่อีจะไม่รู้จักคนผู้นี้ได้อย่างไร

ด้วยรู้ดี ยามพบกันครั้งแรกนางจึงมีท่าทีเย็นชากับอวี่อวิ๋นเหอเช่นนั้น

แต่นางกลับคิดไม่ถึงว่าข้ารับใช้ที่อวี่อวิ๋นเหอพามาด้วย ถึงกับเป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่งที่เก็บซ่อนตัวตนได้แนบเนียน!

นี่ทำให้นางแทบไม่กล้าเชื่อ

ปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่ง ทำไมถึงไปคลุกคลีกับลูกคุณหนูไม่เอาการเอางาน ไร้ความสามารถคนหนึ่งได้

หลันไฉ่อีมุ่นคิ้วกล่าว “อวิ๋นเจิง ทำไมข้าถึงรู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง น้องหกคนนี้ของเจ้าคงไม่คิดจะเข้าไปในแดนลับต้าอวี่ด้วยกระมัง”

อวี่อวิ๋นเจิงใจหดเกร็ง เขาก็รู้สึกว่าน่าเหลือเชื่อ ในเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่ ฐานะของอวี่อวิ๋นเหอไม่ธรรมดามากก็จริง แต่ใครต่างก็รู้ว่าบุตรชายของผู้นำตระกูลคนนี้เป็นแค่ลูกคุณหนูที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม ทำอะไรไม่ได้เรื่อง

อวี่อวิ๋นเหอกลายเป็นมกุฎมหาอริยะได้ ก็ด้วยพึ่งพาพรสวรรค์สายเลือดและทรัพย์สมบัติกองพะเนินนับไม่ถ้วนที่ต่างจากคนทั่วไปทั้งสิ้น!

แม้แต่การที่เขากราบเป็นศิษย์ในสำนักยุทธ์เตาโอสถได้ ก็ด้วยบิดาของเขาออกหน้าให้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะลงแรงทำให้สำเร็จ

‘น้องชาย’ ที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยถูกอวี่อวิ๋นเจิงเห็นอยู่ในสายตาคนนี้ ยามนี้กลับพาปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่งมาด้วย นี่ดูน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

‘หรือเขาก็รู้ว่าหากไม่แย่งชิงโอกาสอีก หลังจากการทดสอบประจำตระกูล เขาจะสูญเสียอำนาจสืบทอดในตำแหน่งผู้นำตระกูลไป’

อวี่อวิ๋นเจิงสีหน้าปรวนแปรไม่หยุด

“เยี่ยม!”

“ร้ายกาจเกินไปแล้ว!”

ใกล้ห้องภารกิจที่อยู่ห่างออกไปมีเสียงอัศจรรย์ใจ ฮือฮาดังขึ้นไม่หยุด

หลันไฉ่อีเอ่ยถาม “ผู้เฒ่าโม่ ท่านมองระดับความเชี่ยวชาญด้านลายมรรคของเจ้าหนุ่มนั่นออกหรือไม่”

ผู้เฒ่าโม่กล่าวเสียงขรึม “หากให้ข้าลองหยั่งเชิงดูหน่อย บางทีอาจมองเค้าลางบางอย่างออก”

หลันไฉ่อีแววตาพราวระยับ “เช่นนั้นก็ต้องรบกวนผู้เฒ่าโม่ลงมือสักครั้งแล้ว”

ผู้เฒ่าโม่ก็อยากรู้ว่าโลกต้าอวี่มีปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ยังหนุ่มเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ตกปากรับคำอย่างยินดีทันที

เขาใคร่ครวญเล็กน้อย ค่อยนำม้วนหยกที่แผ่กลิ่นอายของกาลเวลาม้วนหนึ่งออกมา ส่งมอบให้หลันไฉ่อีที่อยู่ข้างกาย

“ภายในนี้คือกระบวนผนึกลึกลับที่ข้าเคยเจอ ตอนออกเดินทางไปยังโลกเล็กใบหนึ่งแล้วเข้าไปในโบราณสถานบรรพกาลแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ด้วยความสามารถของข้าก็ได้แต่คัดลอกกระบวนผนึกนี้มาเท่านั้น แต่กลับไม่อาจมองทะลุปริศนาภายในนั้นได้”

ผู้เฒ่าโม่ทอดถอนใจ “หลายปีมานี้ไม่มียามใดที่ข้าไม่อยากอนุมานกระบวนผนึกนี้ แต่ถึงวันนี้ก็ยังไม่อาจเข้าใจ หากเจ้าหนุ่มนี่ตีความได้ ก็พอจะพิสูจน์ว่าระดับความเชี่ยวชาญบนวิถีสลักลายมรรคของเขาเหนือกว่าข้า”

“จะเป็นไปได้อย่างไร”

อวี่อวิ๋นเจิงหัวเราะขึ้นมาทันที

ในโลกต้าอวี่มีปฐมาจารย์สลักลายมรรคน้อยมาก และผู้เฒ่าโม่ก็เป็นคนหนึ่งที่มากประสบการณ์ที่สุดในนั้น หลายปีก่อนก็ชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้า ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน ‘สี่ยอดปฐมาจารย์สลักลายมรรค’

แม้แต่ผู้เฒ่าโม่ยังตีความผนึกมรรคบรรพกาลนี้ไม่ได้ แล้วคนทั่วไปจะตีความได้อย่างไร

“เช่นนั้นก็ดี ถือโอกาสนี้ทำลายความหยิ่งทะนงของอีกฝ่ายซะเลย!”

หลันไฉ่อีแววตาเยียบเย็น

ในฝูงชนที่ห่างออกไป อวี่อวิ๋นเหอยินดีปรีดาท่าทางลำพอง ท่าทางนั้นทำให้หลันไฉ่อีรู้สึกไม่ชอบใจ

นางนำม้วนหยกที่ผู้เฒ่าโม่มอบให้ส่งต่อแก่ผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายแล้วกล่าว “ไป นำไปให้หูหมิง บอกว่านี่เป็นภารกิจที่เพิ่งประกาศ หากใครแก้ได้จะให้รางวัลหนึ่งแสนผลึกมรรค”

“หนึ่งแสนหรือ”

อวี่อวิ๋นเจิงประหลาดใจ

หลันไฉ่อียิ้มกล่าว “ทำไมต้องแปลกใจด้วย เจ้าคิดว่าเจ้าหมอนั่นจะตีความผนึกมรรคที่อยู่ในนี้ได้หรือ ตั้งรางวัลผลึกมรรคไว้มากเช่นนี้ ก็แค่ใช้เป็นเหยื่อล่อเท่านั้น”

“ได้ผลึกมรรคมาเท่าไหร่แล้ว”

หลังจากหลินสวินทำภารกิจสุดท้ายในมือเสร็จก็เอ่ยถามลอยๆ

ใบหน้าอวี่อวิ๋นเหอเปล่งประกาย กล่าวอย่างตื่นเต้น “ตอนนี้ภารกิจที่ได้รับการยืนยันมีสามร้อยเก้าสิบสามภารกิจ รวมทั้งหมดจะได้ค่าตอบแทนสามแสนสองหมื่นสามพันหกร้อยผลึกมรรค!”

สามแสนสองหมื่นกว่าผลึกมรรค!

สำหรับลูกคุณหนูเจ้าสำราญอย่างเขายังเรียกได้ว่าเป็นทรัพย์มหาศาล

‘หากอยู่ในระดับมกุฎมหาอริยะ ผลึกมรรคพวกนี้คงใช้ฝึกปราณได้ไม่ถึงหนึ่งปี…’

หลินสวินมุ่นคิ้วเล็กน้อย เขาขาดแค่จุดเปลี่ยนเดียวก็จะทะลวงระดับราชันอริยะ ถึงตอนนั้นระยะเวลาที่สามารถใช้ผลึกมรรคพวกนี้มาสนับสนุนการฝึกปราณคงสั้นลง

กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว ก็ยังต้องหาเงินอีก!

ผลึกมรรคไม่เพียงแต่นำมาใช้ฝึกปราณเท่านั้น ยังเป็นสกุลเงินอย่างหนึ่งด้วย ไม่ว่าจะซื้อของ นั่งยานข้ามโลก ล้วนไม่พ้นต้องใช้ของพวกนี้

“ต่อเลย”

หลินสวินไม่แม้แต่จะเงยหน้า ตัดสินใจฉวยโอกาสนี้หาเงินเต็มที่ ภายหน้าจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีก

หูหมิงก้าวเข้ามา กล่าวด้วยความเคารพ “คุณชาย นี่คือภารกิจที่เพิ่งติดประกาศ เกี่ยวข้องกับการแก้กระบวนผนึกลายมรรค รางวัลคือหนึ่งแสนผลึกมรรค ไม่ทราบว่าท่านสนใจหรือไม่”

หนึ่งแสน!

ในที่นั้นพลันมีเสียงสูดหายใจเย็นเยียบดังขึ้นทันที แตกตื่นกันอย่างสมบูรณ์แล้ว

ภารกิจหนึ่งตั้งรางวัลอยู่ที่แสนผลึกมรรค อย่าว่าแต่หอสมบัติศิลาเมฆนี้ ต่อให้เป็นทั่วโลกต้าอวี่ก็ยังพบเห็นได้น้อยมาก

น่าตื่นตาตื่นใจเกินไปแล้ว!

แต่เช่นเดียวกัน ความอยากรู้อยากเห็นของทุกคนในที่นั้นได้ถูกกระตุกต่อมขึ้นมาหมดในชั่วขณะเดียว

เป็นภารกิจแบบไหนกันแน่ ถึงกับทำให้ผู้ประกาศภารกิจทุ่มค่าตอบแทนชวนตะลึงโดยไม่คำนึงถึงอะไรเช่นนี้

สิ่งเดียวที่แน่ใจได้คือ ภารกิจนี้ต้องตึงมือหาใดเปรียบและยากลำบากหาใดเทียบ เกรงว่าปฐมาจารย์สลักลายมรรคทั่วไปคงจัดการไม่ได้!

เวลานี้อวี่อวิ๋นเหอยังกล่าวอย่างแปลกใจ “คนที่ประกาศภารกิจคงไม่ได้น้ำเข้าสมองกระมัง”

เดิมทีหลันไฉ่อีที่อยู่ห่างออกไปพอใจเป็นอย่างยิ่งที่เปิดฉากอึกทึกครึกโครมเช่นนี้ได้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของอวี่อวิ๋นเหอ ใบหน้างามของนางก็ทะมึนลง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น

เจ้าสวะนี่วอนหาเรื่องซะจริง!

อวี่อวิ๋นเจิงรีบร้อนกล่าว “ไฉ่อีใจเย็นก่อน ภายหน้าข้าจะช่วยเจ้าลงโทษเขาเอง”

ยามนี้หลินสวินก็ตกตะลึง รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง รับม้วนหยกมาไว้ในมือแล้วเริ่มพิจารณา

บรรยากาศในที่นั้นก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง ทุกสายตาล้วนมองไปทางหลินสวินกันพรึ่บพรั่บ

รวมถึงหลันไฉ่อี อวี่อวิ๋นเจิง ผู้เฒ่าโม่ก็ต่างจับตามองอย่างใกล้ชิด

เขา…

จะรับภารกิจนี้หรือไม่

ผ่านไปครู่ใหญ่หลินสวินจึงกล่าว “รับไว้”

เพียงสองคำราวกับฟ้าผ่า ทำให้ทุกคนในที่นั้นต่างพลุ่งพล่านขึ้นมาแล้ว เหมือนกำลังจะได้ดูละครชิ้นเอกที่ใกล้เปิดฉากด้วยตาตนเอง

ภารกิจหนึ่งแสนผลึกมรรคเชียวนะ อีกฝ่ายถึงกับกล้ารับไว้!

หลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิงมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็มองไปทางผู้เฒ่าโม่

ผู้เฒ่าโม่เองก็กล่าวอย่างตกตะลึงอยู่บ้าง “เจ้าหนุ่มนี่รับไว้จริงด้วย หรือเขาจะมองความร้ายกาจของผนึกมรรคบรรพกาลนั้นไม่ออก”

หลันไฉ่อีสูดหายใจลึกกล่าว “หลังจากนี้ก็ใช่ว่าเขาจะทำสำเร็จ คอยดูไปก่อนเถอะ”

อวี่อวิ๋นเจิงพยักหน้า รู้สึกแบบเดียวกัน

เขามั่นใจในความสามารถของผู้เฒ่าโม่อย่างหาใดเปรียบ ไม่มีทางเชื่อว่าหลินสวินจะทำภารกิจที่แม้แต่ผู้เฒ่าโม่ยังแก้ไม่ได้นี้สำเร็จ!

หลินสวินเริ่มลงมือแล้ว

เขาสีหน้าราบเรียบ ไม่ตื่นตระหนกตกใจ แค่มองจากภายนอกคงดูไม่ออกว่าเขาประหม่าและกดดันแค่ไหน

จิตรับรู้ถาโถมเข้าไปในม้วนหยกดั่งกระแสน้ำ ลวดลายของกระบวนผนึกบรรพกาลนั้นสะท้อนปรากฏเป็นจุดเล็กๆ ให้เห็นในสมอง

เขาเริ่มอนุมาน…

เวลาล่วงเลยไปทีละน้อย บรรยากาศในห้องภารกิจก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดและกดดันอย่างไม่อาจอธิบายได้ ทุกคนต่างกลั้นหายใจจดจ่อ เกรงแต่จะรบกวนหลินสวิน

ยามนี้ผู้เฒ่าโม่ก็จ้องมองหลินสวินตาไม่กะพริบ

เขาต่างจากหลันไฉ่อีและอวี่อวิ๋นเจิง ด้วยถึงปฐมาจารย์สลักลายมรรค ไม่มีอคติหรือรู้สึกเกลียดชังหลินสวินแต่อย่างใด

เขาแค่อยากรู้ว่าในโลกต้าอวี่มีปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ยังหนุ่มเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก่อนหน้านี้ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน

อวี่อวิ๋นเหอก็เริ่มประหม่าขึ้นมา

ก่อนหน้านี้ไม่ว่าหลินสวินจะรับภารกิจอะไร ล้วนทำสำเร็จได้ในเวลาอันสั้น ไม่เคยเจออุปสรรคอะไร

แต่ครั้งนี้ผ่านไปครึ่งเค่อแล้ว หลินสวินยังไม่ตอบสนองสักนิด นี่จะไม่ให้ในใจอวี่อวิ๋นเหอประหม่าได้อย่างไร

คนอื่นในที่นั้นก็สังเกตเห็นภาพนี้ ล้วนแอบกังวลใจแทนหลินสวิน

“ดูท่าว่าเขาคงไม่ไหว”

อวี่อวิ๋นเจิงยิ้มกล่าวเหมือนยกภูเขาออกจากอก

หลันไฉ่อีกล่าวอย่างมั่นใจ “ข้าบอกแล้ว ผนึกมรรคที่ผู้เฒ่าโม่ยังแก้ไม่ได้ จะเป็นสิ่งที่เจ้าคนที่ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหนแก้สำเร็จได้อย่างไร”

ผู้เฒ่าโม่กลับกล่าวอธิบาย “กระบวนผนึกนี้ลึกลับหาใดเปรียบ หากคิดจะแก้ในเวลาอันสั้นเช่นนี้ เห็นชัดว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ข้าติดอยู่ในสถานการณ์นี้มากี่ปี ถึงตอนนี้ก็ยังแก้ไม่ได้เหมือนกันไม่ใช่หรือ”

เขาเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “ข้ากลับคิดว่าต่อให้เจ้าหนุ่มนี่แก้กระบวนผนึกนี้ไม่ได้ ก็ไม่ใช่สิ่งบุคคลทั่วไปจะเทียบได้แล้ว”

อวี่อวิ๋นเจิงไม่ชอบใจอยู่บ้าง แต่ริมฝีปากกลับยิ้มกล่าว “จากมุมมองข้า ผู้เฒ่าโม่ประเมินเจ้าหนุ่มนี่สูงเกินไปแล้ว เขาคลุกคลีอยู่กับน้องหกที่ไม่เอาอ่าวคนนั้นของข้าได้ เดิมทีก็คงไม่ใช่คนดีเด่อะไรแน่”

ผู้เฒ่าโม่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่รับคำ

เวลานี้เองหลินสวินที่ไม่ขยับมาตลอดเก็บจิตรับรู้ลงไป ส่งมอบม้วนหยกให้หูหมิง

ทุกคนในที่นั้นอึ้งไปทันที

ทำสำเร็จหรือไม่กันแน่

“คุณชาย ได้ไหมขอรับ”

หูหมิงอดถามไม่ได้

“แก้ได้แล้ว วิธีแก้ก็บันทึกอยู่ในนี้”

หลินสวินกล่าวลอยๆ

ประโยคเดียวทำให้ความรู้สึกที่กดดันมานานของทุกคนในที่นั้นปั่นป่วน แตกตื่นกันขึ้นมาอย่างสมบูรณ์

อวี่อวิ๋นเหอตื่นเต้นไปหมด ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายเหมือนมองเทพเซียน นี่ไม่ใช่ว่าได้หนึ่งแสนผลึกมรรคมาไว้ในมือแล้วหรือ

“นี่เป็นไปไม่ได้!”

มีคนตะโกนออกมาทันใด

จากนั้นอวี่อวิ๋นเหอก็เห็นพวกอวี่อวิ๋นเจิงกับหลันไฉ่อีเดินมาทางนี้ สีหน้าของแต่ละคนไม่น่าดูเป็นอย่างยิ่ง

“หลันไฉ่อี!”

“ดูสิ ยังมีอาจารย์โม่ด้วย!”

“คิดไม่ถึงว่าผู้อาวุโสอย่างเขาจะมาที่เมืองศิลาเมฆของพวกเราด้วย”

ในที่นั้นพลันแตกตื่น ผู้คนมากมายต่างรู้ฐานะของหลันไฉ่อีและอาจารย์โม่

อวี่อวิ๋นเหอไม่พอใจมาก กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “พี่สาม อะไรที่เรียกว่าเป็นไปไม่ได้ ข้าจำได้ว่าท่านเหมือนจะไม่เข้าใจวิถีสลักวิญญาณกระมัง”

อวี่อวิ๋นเจิงแค่นเสียงเย็นชา “ข้าไม่เข้าใจก็ย่อมมีคนเข้าใจ อาจารย์โม่ เชิญท่านลองดูว่าเจ้าหนุ่มนี่แก้กระบวนผนึกนี้ได้จริงหรือไม่!”

อวี่อวิ๋นเหอชะงักไปก่อน ไม่นานก็รับรู้ได้ถึงอะไรบางอย่าง “อะไรกัน ภารกิจนี้คงไม่ใช่สิ่งที่ท่านประกาศออกมาเองกระมัง”

“น้องหก เจ้าฉลาดขึ้นแล้ว”

อวี่อวิ๋นเจิงกล่าวเย็นชา ทั้งไม่ปฏิเสธ

อวี่อวิ๋นเหอสีหน้าไม่น่าดู กล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นตอนที่ประกาศภารกิจนี้ ท่านก็จงใจทำให้พวกเราลำบาก อยากเห็นพวกเราเป็นตัวตลกหรือ”

อวี่อวิ๋นเจิงไม่ปฏิเสธ สายตามองไปทางอาจารย์โม่

อาจารย์โม่ในยามนี้ก็สีหน้าสงสัย ทั้งประหลาดใจ กระตือรือร้นและใคร่รู้ เขาไม่สนใจเรื่องอื่น สิ่งที่เขาสนใจคือหลินสวินแก้กระบวนผนึกนี้ได้จริงหรือไม่

ต้องรู้ว่าปริศนานี้เกือบกลายเป็นปมในใจของเขาแล้ว!

……..