ตอนที่ 1889: ออกเดินทาง

เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)

ตอนที่ 1889: ออกเดินทาง

“อำนาจของกฏที่น่าหวาดกลัว ซึ่งอย่างน้อยก็ได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว แม้แต่กฎอื่น ๆ ก็ถูกจำกัด เขาเป็นใคร ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ที่ราบเมฆามีคนที่ทรงพลังอย่างนี้…”

“นี่เป็นกฏสวรรค์ ใครก็ตามที่สามารถทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วยกฏที่หลอมรวมกับโลกได้ พวกเขาจะเป็นเหมือนตัวแทนของโลก คะ-ใครคือคนที่บ่มเพาะได้ถึงระดับนี้….”

“คนผู้นี้ทรงพลังเป็นอย่างมาก ด้วยความสามารถของข้า ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของกฏมิติ ข้าก็ยังไม่อาจหาคนผู้นี้ได้…”

เหล่าสิ่งมีชีวิตโบราณทั้งหมดที่อยู่รอบ ๆ ที่มาจากองค์กรระดับสูงทั้งห้าของที่ราบเมฆาตะโกนออกมาในขณะเดียวกัน ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขณะที่หัวใจเต้นแรง

พร้อมกับอารมณ์ทั้งหลายที่ปรารถนาที่จะได้มาถึงในระดับนี้

ในเวลาเดียวกันสัมผัสที่ทรงพลังนับไม่ถ้วนก็แผ่กระจายไปทั่วทั้งห้าภูมิภาคของที่ราบเมฆาจากสถานที่ต่าง ๆ เพื่อตรวจสอบที่ราบเมฆาทั้งหมดอย่างละเอียด

บริเวณที่ครอบคลุมนั้นน่าตกใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตจากโบราณนั้นจะสามารถครอบคลุมที่ราบเมฆาทั้งหมดได้เพียงครั้งเดียว แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจหาคนผู้นั้นได้ นอกเหนือจากพลังของกฏที่น่ากลัวที่พุ่งออกไปยังด้านนอกแล้ว พวกเขาก็ไม่อาจแม้แต่จะตรวจจับการปรากฏตัวของบุคคลนี้ได้เลย

สัมผัสที่น่ากลัวของวิญญาณของสิ่งมีชีวิตโบราณเหล่านี้ถูกซ่อนไว้เป็นอย่างดี เป็นผลทำให้ผู้เชี่ยวชาญสูงสุดน้อยคนนักจะพบกับสัมผัสเช่นนี้ แม้กระทั่งขั้นอสงไขยก็ยังไม่อาจรู้สึกได้เลย

ร่างกายของไคยะลอยอยู่บนอากาศอย่างช้า ๆ ภายในห้องลับของตระกูลเทียนหยวน ดวงตาที่เยือกเย็นและไร้อารมณ์ของนางดูเหมือนจะมีประกายแสงแวววาวและค่อย ๆ เปลี่ยนไป ในเวลาสั้น นางเข้าใจถึงชีวิตและอดีตของนาง

ในเวลานี้นางหันหน้ากลับมามองทันที ข้อความจากกฏของโลกก็ปรากฏอยู่ในสายตาของนาง นางดูเหมือนจะหลอมรวมกับโลกและเป็นส่วนหนึ่งของโลก นางสามารถรู้ได้ถึงอดีตและอนาคตได้อย่างรวดเร็ว

นางเห็นทุกสิ่งที่ผ่านมาขณะที่นางหมดสติ นางเห็นเจี้ยนเฉินแบกโลงผลึกของนางตลอดทางจากทวีปเทียนหยวนจนถึงโลกเซียน

นางเห็นเจี้ยนเฉินทิ้งนางไว้ที่ห้องโถงของโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่ม ขณะที่เขาออกไปต่อสู้ด้านนอกในโลกเซียน การต่อสู้ที่ยากลำบากและเต็มไปด้วยเลือด

นางยังเห็นว่าเจี้ยนเฉินเกือบจะตายเมื่อเขาเข้าไปยังส่วนลึกของเทือกเขาหยินเจ็ดทลายเพื่อเอาดอกเมฆม่วงเพื่อมาปลุกนาง

การจ้องมองของไคยะนั้นเย็นชาและไร้อารมณ์อีกครั้ง ใบหน้าของนางเย็นชาและไม่มีอารมณ์ใด ๆ นางจ้องมองเข้าไปในห้องและเห็นเจี้ยนเฉินที่เป็นผู้นำกำลังสนทนาในห้องประชุม

“เนื่องจากเจ้าช่วยข้า ข้าควรจะมอบของขวัญที่เป็นมงคลให้กับเจ้า น่าเสียดายที่เจ้าเป็นคนของโลกอมตะหลังจากที่เจ้าได้กระบี่คู่” ไคยะบ่นเบา ๆ ในขณะที่น้ำเสียงของนางเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่มันแปลกมาก เสียงของนางดูราวกับเป็นเสียงที่ส่งตรงมาจากโลก

มันฟังดูเหมือนผู้ชายหากว่าเขาคิดว่านางเป็นผู้ชาย

มันฟังดูเหมือนผู้หญิงหากเขาคิดว่านางเป็นผู้หญิง

ตามหลักแล้วหากใครได้ยินและเชื่อว่านางเป็นอย่างไร เสียงที่ได้ยินก็อาจจะมีทั้งเสียงนกหรือสัตว์อสูรหากว่าคนได้ยินเชื่อว่าเป็นอย่างนั้น

นี่เป็นเพราะเสียงทั้งหมดของโลกได้ถูกหลอมรวมมาไว้ในประโยคสั้น ๆ ขณะที่นางพูด

“สิ่งนี้ เมื่อเจ้าสร้างกรรมกับข้าหลังจากเกิดใหม่ ข้าจะกลับหลุดพ้นหลังจากที่ข้าสามารถแก้กรรมทั้งหมดจากเจ้าได้ นับจากนี้ไปการกระทำของข้าหลังจากเกิดใหม่นี้จะไม่เกี่ยวข้องกับข้าอีกต่อไปแล้ว” ไคยะบ่นกับตัวเองเบา ๆ พร้อมกับมีพลังที่ยิ่งใหญ่ลอยออกมาเหนือหน้าผากของนาง มันเป็นวิญญาณและก่อตัวเป็นรูปร่าง

แสงรอบ ๆ โอบล้อมร่างนั้นไว้ทำให้ไม่อาจบอกได้ว่ามันเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง

ร่างแสงที่มีขนาดหนึ่งนิ้วค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้นขณะที่ออกมาจากหน้าผากของไคยะ หลังจากที่วิญญาณส่วนหนึ่งที่ไม่มีสำคัญกับมันแล้ว มันก็ลบความทรงจำบางอย่างทิ้งหลังจากการเกิดใหม่ไป

หลังจากนั้นนางก็มองสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีและพูดว่า “ไคเอ๋อ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะรอดจากหายนะ อย่างไรก็ตามวิญญาณของเจ้าก็เสียหายมาหลังจากที่ต้องผ่านสังสารวัฏและสูญเสียความจำทั้งหมด เจ้าจะต้องหามันด้วยตัวเอง”

สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสียังเกาะอยู่ที่เดิม มันจ้องมองไปยังร่างแสงพร้อมกับความกังวลและสับสน

ร่างแสงนั้นมีพลังมากเกินไป ทำให้มันรู้สึกกลัว แถมมันยังสับสนอย่างมากหลังจากที่ได้ยินร่างแสงนั้นพูดในตอนท้าย

ในทางกลับกันมันรู้สึกถึงความคุ้นเคยอย่างมากกับร่างแสงนี้ มันมาจากวิญญาณของมัน ทำให้มันรู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ในขณะเดียวกันมันก็สัมผัสได้ถึงเจ้านายของมัน

ความรู้สึกนี้เคยเกิดขึ้นกับสิ่งที่มันรู้สึกกับไคยะ ด้วยเหตุนี้มันจึงได้ติตามไคยะที่อ่อนแอกว่าตัวมันเองและใช้เวลาทั้งหมดอยู่กับนาง

ในที่สุดร่างแสงก็ยื่นนิ้วออกมาและลูบผ่านระหว่างดวงตาของสัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสี มันเป็นปิดผนึกความทรงจำในเวลาสั้น ๆ

สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีได้หลับตาและหมดสติทันที พลังที่อ่อนโยนได้เข้ามารับร่างของมันไว้

ในเวลานี้ดวงตาของไคยะก็ปิดลงเช่นกัน นางกลับไปยังโลงผลึก

ในเวลานี้ร่างแสงก็หายไปอย่างสมบูรณ์ ค่ายกลที่อยู่รอบ ๆ ห้องไม่อาจทำอะไรกับมันได้แม้แต่น้อย

หลังจากเจี้ยนเฉินประชุมกับเหล่าคนของตระกูลเทียนหยวนเสร็จแล้ว เขาก็ประกาศให้คนทั้งตระกูลเพิ่มความระมัดระวังและพร้อมที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายตลอดเวลา เมื่ออาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนล่มสลาย คนจากตระกูลเทียนหยวนต้องจากไปด้วยค่ายกลเคลื่อนย้าย

เจี้ยนเฉินรีบกลับไปยังห้องลับทันทีหลังจากประชุม

สัตว์อสูรกลืนสวรรค์เจ็ดสีได้ลืมตาในเวลาเดียวกัน มันมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสนและดูเหมือนจะจำได้ลาง ๆ ทันในนั้นมันก็ลอยขึ้นจากพื้นและมาถึงโลงผลึก

ตอนนี้มันลืมไปแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ด้วยความทรงจำก่อนหน้าของมันถูกลบออกจากหัว

เจี้ยนเฉินเดินเข้ามาจากด้านนอก เขามองไคยะที่อยู่ในโลงผลึกและขมวดคิ้วพร้อมกับพูดว่า “ทำไมนางยังไม่ฟื้น ? ดอกไม้เมฆม่วงนั้นเพียงพอที่จะทำให้ไคยะตื่นได้ใช่หรือไม่ ? มันเป็นสมบัติสวรรค์ระดับเทพ” เจี้ยนเฉินมาถึงด้านหน้าโลงผลึกและจ้องมองไปที่ไคยะอย่างสงบ เขารู้สึกกังวลถึงปัญหาอยู่ภายในโดยไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไร

“ดอกเมฆม่วงคืออะไร ? ”

อย่างไรก็ตามในเวลานี้ไคยะที่อยู่ในโลงคริสตัลได้พูดอะไรบางอย่างออกมา หลังจากนั้นดวงตาของนางก็ลืมขึ้นมา

เสียงที่เกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้ทำให้เจี้ยนเฉินแทบจะผงะ เมื่อเขาเห็นดวงตาของไคยาลืมขึ้นมาแล้ว ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความยินดี

“ไคยะ สุดท้ายเจ้าก็ฟื้นเสียที เจ้าจำได้ไหมว่าเจ้าหลับไปนานแค่ไหน ? ” เจี้ยนเฉินถามอย่างมีความสุข ดอกไม้เมฆม่วงนั้นไม่ทำให้เขาผิดหวัง

“ข้า…ข้าหมดสติได้อย่างไร ? ” ไคยะสับสนเล็กน้อย แต่ก็นึกถึงตอนที่นางจำได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตดั้งเดิมจากโลกแห่งเซียนที่ถูกทอดทิ้งพานางออกจากสงคราม

“เจี้ยนเฉิน เจ้าช่วยข้าไว้หรือ ? ข้าหมอสติไปนานแค่ไหน ? และที่นี่คือที่ใด ? ” ไคยะมองไปรอบ ๆ ด้วยความสับสน