ตอนที่ 3452 : จักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุยเทียนปรากฏตัว!
“เฮ่ พี่น้องต้วน!”
ไม่ทราบตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ที่นั่งอัฒจันทร์แถวด้านหลังต้วนหลิงเทียนพลันปรากฏร่างหนึ่งมานั่งข้างจางเทียนโย่ว และกล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนอย่างคึกคักมากอัธยาศัย “ท่านยังจำข้าได้เปล่า?”
เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลา ยามกล่าวทักทายต้วนหลิงเทียนใบหน้ามันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มร่า แลดูไม่มีพิษมีภัต่อสรรพชีวิต
ได้ยินเสียงงกล่าวทักด้วยความร่าเริงต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับมามอง และมองปราดเดียวเขาก็จำอีกฝ่ายได้ทันที
“จำได้”
พอเห็นท่าทางคึกคัทั้งคาดหวังของอีกฝ่าย ต้วนหลิงเทียนก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ถังซานเป่าสินะ”
ถึงแม้จะผ่านไปครึ่งปีแล้ว แต่เขาก็ประทับใจอัจฉริยะมากอัธาศัยผู้นี้ได้อยู่ เพราะมันเป็นคนแรกที่มาทักเขาหลังจากมาถึงเขตที่พักอัจฉริยะของพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน
ตอนนั้นอีกฝ่ายไม่เพีงถามชื่อเขา แต่ยังบอกชื่อตัวเองออกมาด้วย
เช่นนั้นต้วนหลิงเทียนก็เลยจำได้วว่ามันชื่อถังซานเป่า
“ใช่ๆๆ”
ถังซานเป่าพยักหน้าด้วยรอยยิ้มสดใส “ดีจริงๆ พี่น้องต้วนยังไม่ลืมข้า”
“ว่าแต่ไฉนเจ้ามานั่งที่นี่คนเดียวเล่า เพื่อนเจ้าล่ะ ทำไมไม่ไปนั่งกับพวกมันเล่า?”
ต้วนหลิงเทียนหันไปกวาดตามองด้านหลัง พบว่านอกจากพวกจางเทียนโย่วทั้ง 3 แล้ว ก็ไม่เห็นจะมีใครนั่งใกล้ๆถังซานเป่าอีกเลย
หรืออีกฝ่ายแค่เข้ามาทักเขาเฉยๆ?
“ข้าไม่มีเพื่อหรอก”
ถังซานเป่าส่ายหัวไปมา “ข้าไปเข้าร่วมการตรวจสอบคุณสมบัติของวิหารเฟิงฮ่าวเพียงลำพัง จากนั้นก็ติดตามมาพร้อมกับคนของวิหารเฟิงฮ่าว แต่ถึงจะมาด้วยกันข้าก็ไม่รู้จักใครหรอก”
คำพูดของถังซานเป่าทำให้ต้วนหลิงเทียนแปลกใจไม่น้อย “เจ้าก็แลดูเข้ากับคนอื่นง่ายดีนี่…ไม่ใช่ว่าสมควรคุยกับผู้อื่นจนหาเพื่อนได้ไม่ยากหรือไร?”
ขณะกล่าวถาม ต้วนหลิงเทียนก็ย้อนนึกถึงการพกันครั้งแรกกับอีกฝ่าย เพราะเขาจำได้ว่ามันก็เดินดุ่มเข้ามาทักเขาด้วยรอยยิ้มมากอัธยาศัย
ถังซานเป่าพอได้ยิน ก็คลี่ยิ้มโง่งม “ข้าอยู่แต่ในป่าในเขา พอพบเจอคนที่มีลักษณะไม่ธรรมดาก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปทักทาย…”
“แต่ก็ใช่ว่าข้าจะเข้าไปคุยด้วยทุกคนหรอก”
“แน่ล่ะว่าในบรรดาคนที่ข้าเข้าไปทัก ก็มีแต่พี่น้องต้วนที่คุยกับข้า ผู้อื่นหากไม่เพิกเฉยข้าก็หันมามองข้าด้วยหน้าตาทำราวกับข้าติดหนี้มัน บ้างยังไล่ข้าราวหมูหมาด้วยซ้ำ…ผู้คนสมัยนี้ไฉนใจร้ายกันนักก็ไม่รู้”
กล่าวถึงท้ายประโยค ถังซานเป่าก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ
อย่างไรก็ตามเท่าที่เขาฟังดูก็พอเข้าใจ ในเมื่อถังซานเป่าเลือกแต่จะเข้าไปทักคนที่แลดูไม่ธรรมดา คนที่แลดูธรรมดามันไม่เข้าไปทัก
แต่เพราะมันเลือกแต่จะไปทักคนที่แลดูไม่ธรรมดานี่ล่ะ ถึงมีปัญหา…
กับคนที่ไม่ธรรมดาเหล่านั้น ผู้ใดบ้างไม่หยิ่งยะโสถือดีหรือรำคาญใครที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วมันจะไปตีสนิทกับผู้อื่นได้ง่ายๆอย่างไร?
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองงยามพบเจอถังซานเป่าครั้งแรก เขาเองก็ยังรู้สึกรำคาญกับท่าทีกระตือรือร้นในการตีซี้ของมันอยู่บ้าง
“พี่น้องต้วน ถึงแม้ท่านจะยังเยาว์ และหลายคนบอกวว่าพลังฝีมือของท่านอาจจะไม่กล้าแข็งมากนัก…แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นเลย”
ขณะกล่าว ถังซานเป่าก็หันไปมองจางเทียนโย่วกับพวกทั้ง 3 ทำให้ทั้ง 3 อดไม่ได้ที่จะหน้าม้านขึ้นมาทันใด
“ผู้ที่ได้รับการอมรับจากยอดคนอย่างใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง มีหรือจะเป็นตัวตนอันธรรมดาสามัญได้?”
“ด้วยเหตุนี้ตอนพบว่าพี่น้องต้วนเตะเจ้าถงถูอะไรนั่นเปรี้ยงเดียวจนเป๋ก็นับว่าไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!”
“สำหรับศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ก็เช่นกัน…ข้าตั้งหน้าตั้งงตารอประมือกับพี่น้องต้วนจริงๆ”
กล่าวถึงท้ายประโยค สองตาถังซานเป่าก็ทอประกายสดใสขึ้นมาปานดวงดาราระยับกลางฟ้ายามคืนค่ำ
“หืม? อยากสู้กับข้ารึ?”
คำพูดของถังซานเป่าก็ทำให้ต้วนหลิงเทียนอึ้งไปอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็มองลึกไปที่อีกฝ่าย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะเป็นอัจฉริยะที่มีพลังฝีมือระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน!
หาไม่แล้วคงไม่กล้าพูดแบบนี้!
จังหวะนี้กระทั่งพวกจางเทียนโย่วทั้ง 3 ก็อดไม่ได้ที่หันไปมองถังงวานเป่าข้างงๆด้วยความทึ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่คิดไม่ฝันเลยยว่าชาร่างใหญ่คนนี้ที่แท้จะมีพลังงฝีมือระดับจักรพรรดิอมตะสมญานามเช่นกัน
“อยากสู้กับเจ้าต้วนรึ?”
ซูหลี่หันกลับไปมองถังซานเป่า พลางส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ดูท่าอีกฝ่ายจะคิดว่าต้วนหลิงเทียนเป็นแค่จักรพรรดิอมตะสมญานามธรรมดาๆ
ด้านหลิงเจวี๋ยอวิ๋นไม่แม้แต่จะหันไปมอง
ถึงแม้มันจะไม่รับทราบพลังฝีมือของต้วนหลิงเทียนในปัจจุบัน แต่หลิงเจวี๋ยอวิ๋นเชื่อว่าถึงแม้พลังฝีมือต้วนหลิงเทียนในปัจจุบันอาจจะยังเทียบมันไม่ได้ แต่ก็ไม่น่าจะด้อยไปกว่ามันมากนัก
อาศัยจักรพรรดิอมตะสมญานามทั่วๆไป ไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ต้วนหลิงเทียนได้!
“ดูนั่น จักรพรดริสวรรค์หยวนสื่อเทียนมาแล้ว!”
ทันใดนั้นเองเสียงโพล่งดังขึ้นจากอัฒจันทร์ด้านหนึ่ง ก็ดึงความสนใจต้วนหลิงเทียนกับคนอื่นๆไปทันที แต่ละคนพากันแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าทิศทางหนึ่ง
มองไปปรากเดียวต้วนหลิงเทียนก็สังเกตเห็นจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนกำลังย่ำฟ้าก้าวอาดๆ โดยมีกลุ่มคนไม่น้อยติดตามอยู่ด้านหลัง
ในบรรดาผู้ที่ติดตามจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนมา ก็มีคนที่ต้วนหลิงเทียนคุ้นหน้าเช่นกัน ไม่ใช่ใครอื่นเป็นจักรพรรดิอมตะกระดูกมังกร เว่ยฉี ที่ไปรับเขากับอาจารย์ หนึ่งในศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์หยวนสือเทียน
“นั่นจักรพรรดิสวรรค์ล่างจี้เทียน!”
“คนผู้นั้นสมควรเป็นจักรพรรดิสวรรค์หลีเฮิ่นเทียน!”
“ส่วนคนผู้นั้น…ข้าจำได้ว่าเป็นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวของว่านโช่วเทียนเรา ที่ติดตามอู่ด้านหลังทั้ง 2 ก็เป็นชนชั้นรองจ้าววิหาร”
“จักรพรรดิสวรรค์ของระนาบเทวโลกทั้งหลาย รวมถึงระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าวแต่ละสาขาทยอมากันแล้ว…ดูท่าอีกไม่นานศึกอัจฉริยะสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นแล้วสินะ”
…
การปรากฏตัวของจักรพรรดิสวรรค์และระดับสูงของวิหารเฟิงฮ่าวสาขาต่างๆ ทำให้อัฒจันทร์ที่แต่เดิมค่อนข้างเงียบกลาเป็นคึกคักฮือฮาขึ้นมาทันที
สายตาของอัจฉริยะแต่ละคนจับจ้องไปยังเล่าตัวตนระดับสูงของระนาบเทวโลกที่ทยอยกันมาถึง
จักรพรรดิสวรรค์และผู้ติดตาม ไม่เว้นจ้าววิหารเฟิงฮ่าวกับรองจ้าววิหารกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าที่มา ย่อมดึงดูดความสนใจไม่น้อย เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้เห็นตัวตนระดับสูงแบบนี้บ่อยครั้ง
สำหรับจ้าววิหารเฟิงฮ่าวนั้น หลายคนแทบไม่รู้จักเลย พลังฝีมือตื้นลึกหนาบางอย่างไรไม่ค่อยปรากฏ จึงไม่ค่อยให้ความสนใจสักเท่าไหร่
แต่กับจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหลายนั้น หลายคนรู้จักลักษณะและพลังฝีมือคร่าวๆจึงดึงดูดความสนใจได้มากกว่า
“โอ้! นั่นคือจักรพรรดินีสวรรค์ลัวสุ่ยเทียน ซือถูฉูชิง มิใช่หรือ!?”
และในขณะที่ต้วนหลิงเทียนกววาดตามองงผู้ที่ทยอยกันมาถึงผ่านๆ ก็มีเสียงโพล่งหนึ่งที่ดึงความสนใจของเขา และทำให้เขาหันไปมองผู้พูด และมองไล่ตามสายยตาของมันไปยังสุดขอบฟ้าทิศทางหนึ่งทันที
ร่างบางอันสง่างามหนึ่งปรากฏในสายตาเขา เป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงงามนางหนึ่ง ด้วยยใบหน้างดงงามที่แต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มสดใส ยังจะคล้ายผู้ที่มีอายุสูงวัยอีกหรือ?
และข้างๆกายนางก็มีชายวัยกลางคนรูปร่างสูงเพรียว ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลากำลังยิ้มร่าสนทนากับนาง
จากนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นไม่ไกล “นั่นมัน…จักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนใช่หรือไม่?”
“ไม่ผิด สมควรเป็นจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน อันดับ 5 ในรายนามจักรพรรดิสวรรค์ โจวปิงหวู่!”
“ไฉนแลดูทั้งคู่สนิทสนมคุ้นเคยกันนักล่ะ…มีอะไรในกอไผ่รึเปล่า?”
…
ได้ยินคำพูดของอัจฉริยะโดยรอบ สองตาต้วนหลิงเทียนก็หดเล็กลงทันที ‘จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนนั่น ยังกล้าโผล่หัววออกมาอีกงั้นหรือ…ศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้มีอะไรที่นางให้ความสำคัญมากนักรึไร?’
‘หรือนางคิดว่า…อาศัยจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนข้างกายนั่น จะคุ้มกะลาหัวนางได้?’’
สองตาต้วนหลิงเทียนตอนนี้ฉายแววเยียบเย็นนัก
จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนนั่น นางส่งคนไปฆ่าล้างสรรพชีวิตในระนาบเซียนของเขา ต่อมาภานหลังพอทราบว่านั่นคือระนาบโลกียะบ้านเกิดของอาจารย์เขาด้วย นางก็เร่งจรลีพาลูกสาวหลบหนีออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ลัวสุ่ยเทียน กระทั่งสมควรหลบหนีออกจากลั่วสุ่ยเทียนไปเลยด้วยซ้ำ
‘ตั้งแต่ตอนที่ท่านอาจารย์พาข้าไปหาความที่นิกายลั่วสุ่ย นางสมควรรู้ความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับอาจารย์เรียบร้อย…’
‘แต่นางยังกล้าโผล่หัวออกมาอีกงั้นหรือ?’
ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบจริงๆว่าจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนไปพกพาความมั่นใจมาแต่ที่ใด ถึงกล้าปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาปรากฏตัวตอนที่อาจารย์ของเขาก็อยู่ในหยวนสื่อเทียนแบบนี้
“จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน?”
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นจางเทียนโย่ว ว่างถิงหรือเหอเจี้ยนอี่ ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนโดยไม่รู้ตัว
สำหรับเรื่องราวความบาดหมางระหว่างต้วนหลิงเทียนกับจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน เนื่องจากอาวุโสของพวกมันก็ล้วนสนิทสนมกันและมีรู้จักกับเมิ่งหลัว จึงเคยได้ยินเรื่องราวมาก่อน
นอกจากนั้นพวกมันยังรู้อีกว่าใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียนของพวกมัน ไม่มีวันปล่อยจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนไปง่ายๆแน่นอน!
ขณะเดียวกันพวกมันก็ยังล่วงรู้อีกว่า จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนผู้นั้น ได้เร่งรุดหลบหนีออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนแต่แรก ด้วยกลัวใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันจะตามไปฆ่าถึงที่!
“นาย…นายน้อยต้วน จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนไฉนกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้? หรือนางไม่กลัวใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์เราจัดการเอาหรือ?”
เหอเจี้ยนอี่อดไม่ได้ที่จะหันไปถามต้วนหลิงเทียน
จังหวะนี้จางเทียนโย่วกับว่างถิงก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนเช่นกัน ใบหน้าแต่ละคนยังฉายชัดถึงความสงสัย
หรือจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนได้ลอบทำข้อตกลงประนีประนอมกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันอย่างลับๆโดยที่พวกมันไม่รู้?
“ใช่นางกับใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์รวมถึงท่าน…บรรลุข้อตกลงร่วมกันอะไรแล้วหรือไม่?”
เหอเจี้ยนอี่เอ่ยถามออกมาตรงๆ
“ไม่มีการประนีประนอมอะไรทั้งนั้น”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา ก่อนจะมองจ้องไปที่จักรพรดรินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน
“หรือไม่อาจลงมือที่นี่ได้?”
จางเทียนโย่วกับพวกทั้ง 3 หันมามองหน้าสบตากัน ก่อนจะส่ายหัวไปมา หากเป็นจักรพรรดิสวรรค์คงอื่นคงเห็นแก่สถานการณ์ และคำนึงถึงเรื่องหยุมหยิมทั้งหลาย
แต่ใต้เท้าจักรพรรดิสวรรค์ของพวกมันเป็นเช่นนั้นหรือ?
ในขณะเดียวกันเหล่าคนที่ล่วงรู้ถึงความบาดหมางระหว่างจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนกับจักรพรรดิสวรรค์จี้เมี่ยเทียน ก็อดไม่ได้ที่จะกระซิบกระซาบคุยกัน “จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนเห็นว่าหนีเตลิดออกจากพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนไปแล้วไม่ใช่หรือไร นางกล้าปรากฏตัวที่นี่ หรือไม่กลัวต้องเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง?”
“นั่นสิ หากจำไม่ผิดจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางก็อยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่รึ?”
“ใช่ไปทำข้อตกลงอะไรลับหลังกันแล้วหรือไม่?”
…
คนส่วนใหญ่เริ่มคิดไปทำนางว่าไม่พ้นจักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนได้ลอบติดต่อขอประนีประนอมเรื่องราวกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางแล้ว มิฉะนั้นพวกมันก็คิดไม่ออกจริงๆว่าไฉนนางถึงกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ได้?
โลกนี้ไม่มีประตูกั้นลมสมบูรณ์ เรื่องราวการไปหาความจาก ซือถูฉูชิง จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียนถึงนิกายลั่วสุ่ยของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง แม้จะไม่ได้แพร่ออกไปเป็นวงกว้าง แต่ก็รับรู้กันในบางแวดวง
และตอนนี้คนที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้ราวอะไรมาก่อน ก็ได้รับทราบจากผู้รู้ไม่กี่คนด้วย จากนั้นเรื่องราวก็แพร่กระจายกันปากต่อปากด้วยความเร็ว
“อะไร? จักรพรริดินีสวรรค์สั่งให้คนไปฆ่าล้างสรรพชีวิตที่ระนาบโลกียะ อันเป็นระนาบโลกะบ้านเกิดของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางหรือ?”
“ตัวตนระดับจักรพรรดิสวรรค์อันมีหน้ามีตาคนหนึ่ง…กลับทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้?”
“ช่างเป็นการกระทำที่ต่ำช้าน่ารังเกียจนัก! จะชั่วช้าสามานย์เกินไปแล้ว!!”
“ลองนางทำเรื่องชั่วชาติเช่นนี้ ต่อให้จักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง จะลงมือฆ่านางเสียบัดนี้เลย จักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนรวมถึงจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นๆ และคนของวิหารเฟิงฮ่าวก็คงไม่ก้าวก่ายใช่หรือไม่?”
“ตั้งแต่ที่นางกล้ามาที่นี่ก็เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา…ไม่แน่นางกับจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางอาจบรรลุข้อตกลงอะไรกันแล้วจริงๆ”
…
จักรพรรดินีสวรรค์ลั่วสุ่ยเทียน ซือถูฉูชิง โรยตัวลงมายังเกาะลอยเล็กๆพร้อมกับจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียน และนั่งลงอย่างไม่อีนังขังขอบ รอยยิ้มบนใบหน้ายังคลี่กางไม่เสื่อมคลาย
แลดูจากทีท่าสีหน้าของนาง ยังมีความกลัวหลงเหลือตรงที่ใด?
‘ซือถูฉูชิงมีที่พึ่งอะไรกันแน่…นางถึงได้ปั้นหน้าระรื่นไม่กลัวเกรง หรือคิดว่าจักรพรรดิสวรรค์ฉีหงเทียนจะคุ้มกะลาหัวนางได้จริงๆ?’
ยิ่งมาแววตาต้วนหลิงเทียนก็ยิ่งฉายประกายเยียบเย็น ปานจะกลืนกินเลือดเนื้อผู้คนสดๆ!