ตั้งแต่โบราณกาลจวบจนปัจจุบัน สมบัติล้ำค่าทั้งสามชิ้นในแดนเทวนิรันกาลทำให้มหาจักรพรรดิยุทธ์ทุกยุคต่างอยากได้จนน้ำลายหก เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นแล้วว่ามันล้ำค่าและประมาณค่าไม่ได้มากเพียงใดแล้ว

“ในเมื่อเจ้าก็ทราบมูลค่าของกระบี่ตรีภพเช่นกัน แล้วเจ้าวางแผนที่จะใช้อะไรมาแลกเปลี่ยนหรือ? แม้เจ้าจักสวยเพริศพริ้งจนเมืองล่ม เรียกได้ว่าเป็นคนรักในฝันของวัยรุ่นผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่นับไม่ถ้วน แต่ทว่าก็ยังไม่เพียงพอที่จะเอาสมบัติล้ำค่าไปจากมือข้าได้”หลัวซิวพูดอย่างเรียบนิ่งมาก

สีหน้าของเสิ่นปิงหยูไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ เนื่องจากนางเข้าใจในสิ่งที่หลัวซิวกล่าวมาก ๆ ว่ามันคือความจริงเรื่องหนึ่ง

“ปิงหยูล่วงเกินไปเองเจ้าค่ะ”สีหน้าอารมณ์ของเสิ่นปิงหยูดูหม่นหมองลงไปเล็กน้อย นางเอาสิ่งของที่สามารถแลกเปลี่ยนกับกระบี่ตรีภพออกมาไม่ได้จริง ๆ มิหนำซ้ำสิ่งที่นางต้องการไม่ได้มีเพียงกระบี่ตรีภพเท่านั้น ยังมีวิธีการที่สามารถทำให้ตนกลายเป็นร่างตรีภพด้วย

หากสามารถกลายเป็นร่างตรีภพ ก็จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาควบคุมกฎตรีภพ ให้อยู่เหนือสองขั้วอัคคีเยือกที่นางฝึก นางรู้สึกว่าบางทีตัวเองอาจจะโลภเกินไปหน่อย ฝ่ายตรงข้ามไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อตน เหตุใดถึงต้องช่วยเหลือตัวเองด้วยเล่า?

เสิ่นปิงหยูหันหลังเดินจากไป หลัวซิวก็ไม่ได้พูดคำพูดอะไรเพื่อยื้อนางไว้เช่นกัน เขารู้อยู่ว่าสาเหตุที่เสิ่นปิงหยูอยากได้กระบี่ตรีภพไปจากเขานั้น เป็นเพราะอยากแสวงหาเส้นทางแห่งมหาจักรพรรดิยุทธ์ในอนาคต

อัจฉริยบุคคลในจักรวาลดาราและมหาโลกาพันสามมีเยอะมากจนนับไม่ถ้วน มีผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่อยากปกครองฟ้าดิน และเป็นมหาจักรพรรดิยุทธ์ผู้ไร้เทียมทานยุคหนึ่งในห้วงดารา?

หลัวซิวเข้าใจความทะเยอทะยานอันร้อนแรงเช่นนี้อยู่ ทว่าไม่ได้หมายความว่าเขาต้องลงมือช่วยเหลือสนับสนุนเต็มที่ ถึงแม้อนาคตเขาจะไม่ได้เดินบนเส้นทางแห่งการฝึกเกณฑ์ตรีภพ เขาก็จะไม่นำกระบี่ตรีภพเล่มนี้ให้ผู้อื่นมั่วซั่ว อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ที่ตนเชื่อใจไว้ใจได้

ระยะเวลาต่อมาค่อนข้างเงียบสงบเลย พระโอรสจ้านเทียนที่ถูกหลัวซิวโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสไม่เคยปรากฏตัวเลย ราวกับหายเข้าไปในกลีบเมฆแล้ว

แต่ทว่าหลัวซิวกลับเข้าใจดีมาก ๆ ว่าคนอย่างพระโอรสจ้านเทียนไม่มีทางยอมแพ้ง่าย ๆ แน่นอน ในเมื่ออยู่ในแดนเทวนิรันกาลแล้วบรรลุเป้าหมายยาก เช่นนั้นพระโอรสจ้านเทียนก็ต้องรอคอยโอกาสอยู่แน่นอน ขอเพียงหลังจากที่ออกไปจากแดนเทวนิรันกาลแล้ว ทุกด้านในกองกำลังของพระโอรสจ้านเทียนก็จะถูกระดม แล้วตรวจสอบตัวตนที่แท้จริงของเขาที่อยู่ในมหาโลกาพันสาม

ถึงครานั้นไม่ใช่แค่เขาและจีเสี่ยวจื่อเท่านั้น จีเสวียนคงก็จะเดือดร้อนไปด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียมหาโลกาพันสามในปัจจุบัน มหาจักรพรรดิยุทธ์ที่เป็นผู้ไร้เทียมทานในห้วงดาราของยุคสมัยปัจจุบันก็คอยปกปักรักษาอยู่ในสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนอยู่

อำนาจบารมีของมหาจักรพรรดิยุทธ์สามารถดูถูกทุกคนในใต้หล้า มาตรแม้นว่าเป็นตัวตนและตำแหน่งของจีเสวียนคง ก็ไม่มีทางเป็นศัตรูกับสำนักจักรพรรดิจ้านเทียนได้แน่นอน

มากกว่านั้นคือไม่ใช่แค่พวกเขาทั้งสามคนเท่านั้น ไม่แน่เสิ่นปิงหยูที่อยู่กับเขาก็อาจจะเดือดร้อนไปด้วย

ด้วยตัวตนของมิตรสหาย หลัวซิวรู้สึกว่าตนเองมีความจำเป็นต้องย้ำเตือนนางก่อน

“แล้วนี่ควรจะทำอย่างไรดี……”

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลัวซิวแล้ว เสิ่นปิงหยูเลือกที่จะนิ่งเงียบ อย่างไรก็ตามสีหน้าของศิษย์น้องนางเชี่ยนหยุนกลับเปี่ยมล้นไปด้วยความกังวล เห็นได้ชัดเจนเลยว่าดูสับสนและอ่อนแอไร้ที่พึ่งเล็กน้อย

“ท่านคือผู้ใดกันแน่?”จู่ ๆ เสิ่นปิงหยูก็เงยหน้าขึ้นมา ดวงตาที่งดงามปะทะกับสายตาของหลัวซิวพลางถามคำถามดังกล่าว

“เหยียนโม่น่าจะไม่ใช่ชื่อจริงของท่านสินะ?”เสิ่นปิงหยูถามเช่นนี้

สำหรับชื่อเหยียนโม่นั้น เสิ่นปิงหยูก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยเช่นกัน อย่างไรเสียถึงแม้มหาโลกาพันสามจะกว้างใหญ่ไพศาล แต่ทว่าวังมหาวาลก็เป็นสำนักจักรพรรดิอยู่ ข้อมูลข่าวกรองที่ยึดกุมก็รอบด้านมาก ๆ มหาโลกาใดมีอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศที่โดดเด่นอย่างไรนั้น ส่วนมากก็ล้วนถูกสำนักจักรพรรดิทั้งหลายเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตามอัจฉริยะผู้มีความฉลาดเป็นเลิศในมหาโลกาพันสามมีมากจนนับไม่ถ้วน ทว่าคนเดียวที่ไม่มีก็คือเหยียนโม่

มิหนำซ้ำสำหรับประวัติความเป็นมาของเหยียนโม่ผู้นี้ เขามาจากมหาโลกาใด และเป็นผู้สืบทอดของสำนักจักรพรรดิหรือแดนศักดิ์สิทธิ์ใดนั้น เสิ่นปิงหยูก็ไม่เคยได้ยินเขาพูดถึงมาก่อนเลย