ตอนที่ 3464

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 3464 : โลกแห่งความตาย

 

“ หรือเจ้ากังวลว่ามันจะพลาดท่าใต้เงื้อมมือจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง?”

 

ฮ่าวเทียนกล่าวถาม

 

“ทั้งคู่

 

กงซุนชวนหยวนถอนหายใจเฮือกใหญ่ ตอนนี้นัยน์ตามันฉายแววซับซ้อนนัก “ข้าเจ้าล้วนรู้ดีว่าตอนนี้ยูไลก็เสมือนเหลือครึ่งชีวิตเท่านั้น จิตใจของมันถูกวิญญาณภูตที่เราพบเจอในโลกแห่งความตาย 1 ใน 7 ต้องห้ามครอบงําไปแล้ว”

 

“ลาหัวโล้นนั่น นิสัยใจคอชั่วร้ายต่ําช้านัก…หลังจากมันสิงสู่ยูไลทั้งผืนครอบงําวิญญาณของยูไล นิสัยของยูไลก็เปลี่ยนเป็นก้าวร้าวรุนแรงขึ้นมา”

 

“ตอนนี้มันสมควรตรวจสอบจนยืนยันได้แล้วว่าร่างของต้วนหลิงเทียนเป็นร่างเหยียนหวงหรือไม่…และหากข้าเดาไม่ผิดมันสมควรต้องตาพึงใจร่างต้วนหลิงเทียน และอยากเปลี่ยนไปช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนแทนแน่”

 

“มันคิดยึดร่างยูไล ถึงแม้ตอนนี้จิตส่วนใหญ่ของยูไลจะเสียท่ามันไปแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่พ่ายแพ้ทั้งหมด…ข้ารู้สึกว่าหากมีโอกาสที่ดีกว่า ลาหัวโล้นชั่วนั่นต้องละทิ้งร่างยูไลแล้วเลือกร่างที่ดีกว่าแน่”

 

“ถึงอย่างไรมันที่ฝืนหลอมกลืนวิญญาณยูไล ก็ไม่อาจควบคุมร่างยูไลได้เต็มที่ อย่างดีก็ควบคุมได้ 6 ส่วนเท่านั้น”

 

กงซุนซวนหยวนกล่าวเสียงหนัก

 

“ดูเหมือนว่าร่างเหยียนหวงที่พวกเราสร้างขึ้นจะยั่วยวนใจไม่น้อย กระทั่งลาหัวโล้นชั่วนั่น แม้จะเป็นเทพแล้วแต่ก็ยังจับจ้องไปยังร่างต้วนหลิงเทียน”

 

อวี้ฮ่าวเทียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นคล้ายคิดอะไรได้ เงยหน้ามองกงซุนชวนหยวนพลางกล่าว “หากวิญญาณของลาหัวโล้นชั่วนั่นออกจากร่างยูไล…เจ้าว่าวิญญาณของูไลจะฟื้นฟูได้หรือไม่?”

 

กงซุนซวนหยวนพยักหน้า “มีความเป็นไปได้อยู่อย่างไรเสียข้าเกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายพันปีกว่าที่วิญญาณของยูไลจะฟื้นฟู…สุดท้ายแล้ววิญญาณของยูไลก็ได้รับบาดเจ็บจากวิญญาณลาหัวโล้นชั่วนั่นไม่น้อย”

 

“ที่สําคัญเพราะวิญญาณของยูไลตอนนี้ก็เป็นวิญญาณเทพแล้วเช่นกัน…หาไม่แล้วหากไม่มีเวลานับหมื่นๆปีก็เกรงว่าคงฟื้นฟูได้ยาก

 

กงซุนซวนหยวนกล่าว

 

“ไฉนเจ้าไม่กล่าวเตือนพวกมัน? พวกเราลองอธิบายสถานการณ์คร่าวๆให้พวกมันฟังไม่ได้หรือ?”

 

ฮ่าวเทียนกล่าวถาม

 

“จะไปเตือนได้อย่างไร?”

 

กงซุนชวนหยวนสายหัวไปมา “ หรือจะให้ข้าบอกไปว่า ขออภัย แต่ยามนี้ยูไลหาได้เป็นยูไลเมี่อกาลก่อนอีกต่อไป?”

 

“หากลาหัวโล้นเฒ่านั่นช่วงชิงร่างต้วนหลิงเทียนได้สําเร็จ ยูไลก็เสมือนได้รับอิสรภาพกลับคืน…แต่หากลาหัวโล้นเฒ่านั่นล้มเหลว พาตัวไปอยู่ในสถานการณ์อันตราย ก็ไม่ต่างอะไรจากพายูไลเข้าสู่สถานการณ์อันตราย”

 

“ข้าเกรงว่าตอนนี้หากไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่สุดมาลงมือด้วยตัวเอง….คงไม่มีใครจัดการลาหัวโล้นชั่วนั่นโดยไม่ทําร้ายยูไลได้”

 

ยูไลนั้นเป็นสหายกับกงซุนชวนหยวนและอฮาวเทียนมาเนิ่นนานแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่กงซุนชวนหยวนจะเสียงเห็นเพื่อนมีอันเป็นไป

 

ด้วยเหตุนี้ตอนพูดคุยกับต้วนหลิงเทียนและฟังชิงหยาง จึงให้หน้าอีกฝ่ายหลายส่วน

 

ถึงแม้มันจะมีมิตรภาพกับฟงชิงหยางอยู่บ้าง แต่นั่นก็แค่มิตรภาพเล็กๆน้อยๆ เทียบไม่ได้เลยกับมิตรภาพที่มันมีกับยูไล

 

สําหรับต้วนหลิงเทียนนั่น มันพึ่งพบกันวันแรก

 

“กล่าวได้ว่า ที่เจ้าขอยืมมือต้วนหลิงเทียนนั่น หนึ่งเลย ก็เพื่อใช้เรื่องนี้ช่วยเหลือยูไลยามพลาดท่าเสียที…อีกด้านหนึ่งเจ้าก็หวังว่ายูไลจักได้เป็นอิสระ เช่นนั้นเจ้าจึงไม่ได้เตือนพวกมันว่ายูไลไม่ใช่ยูไลในอดีต และต้องตาพึงใจร่างต้วนหลิงเทียน?”

 

อวี้ฮ่าวเทียนสามารถมองเจตนาของกงซุนซวนหยวนได้กระจ่าง

 

เป็นธรรมดาว่ามันเองก็เข้าใจดีว่าไฉนกงซุนซวนหยวนถึงเลือกจะทําแบบนี้

 

ถ้าเป็นมัน ก็จะเลือกแบบเดียวกัน

 

“ข้าเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทําร้ายผู้บริสุทธิ์หรอก…แต่ในเมื่อไม่อาจเลือกได้ทั้ง 2 ทางจําต้องเลือกเพียงหนึ่ง ข้าก็ทําได้แค่เท่านี้”

 

พอกงซุนซวนหยวนกล่าวจบคํา ในแววตามันก็ฉายชัดถึงความรู้สึกผิดนัก

 

แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกผิดต่อต้วนหลิงเทียน

 

“เช่นนั้นก็เอาอย่างเจ้าว่าวันหน้าหากลาหัวโล้นชั่วลงมือชิงรางด้วนหลิงเทียนพลาด พวกเราก็อาศัยเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนรับปากไว้ ขอให้มันไว้ชีวิตยูไลสักครั้ง เพราะสุดท้ายแล้วชีวิตของยูไลก็ผูกติดกับเจ้าลาหัวโล้นชั่วนั่น”

 

ฮ่าวเทียนกล่าว “แต่ถ้าเกิดเรื่องเป็นครั้งที่สอง พวกเราก็ไม่อาจออกปากได้แล้ว”

 

“ถึงอย่างไรเสียพวกเราก็หาทางรอดให้ยูไลสายหนึ่ง ในฐานะสหายของมัน พวกเราเองก็พยายามเท่าที่จะทําได้แล้ว…”

 

“และหากลาหัวโล้นเฒ่านั้นมันสามารถชิงรางด้วนหลิงเทียนได้สําเร็จ ต่อไปข้าจะปกป้องดูแลญาติสนิทมิตรสหายของต้วนหลิงเทียนให้ดีที่สุด ทําให้ทุกคนไร้กังวลไปชั่วชีวิตเพื่อถมความละอายใจของพวกเรา”

 

คําพูดของฮ่าวเทียน กงซุนซวนหยวนเองก็เห็นด้วย “ข้าก็คิดเหมือนเจ้า”

 

เป็นไปไม่ได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงงรู้ถึงสิ่งที่กงซุนชวนหยวนกับอวี้ฮ่าวเทียนคุยกันส่วนตัว เพราะหลังจากที่กงซุนชวนหยวนกับพวกจากไปสักพัก เขากับอาจารย์เองก็แยกย้ายกันกลับที่พัก

 

เหตุผลที่ไฉนเขากับอาจารย์รั้งอยู่ต่อสักพัก เพราะอาจารย์คิดประทับจิตเทพให้เขาใหม่

 

ที่ประทับไว้ก่อนหน้าตอนนี้มันสลายไปแล้ว

 

“เสี่ยวเทียน เจ้าเองก็ระวังไว้ให้มาก เพราะข้าสัมผัสได้ว่ายูไลนั่นสมควรเพ่งเล็งเจ้าอยู่ด้วยเหตุผลบางอย่าง…แต่เจ้าวางใจได้ ด้วยจิตเทพที่ข้าประทับไว้ หากมันลงมือทําอะไรกับเจ้าข้าสามารถล่วงรู้ได้ทันที และข้าจะรีบมาปกป้องเจ้าให้เร็วที่สุด”

 

ฟงชิงหยางกล่าวกับต้วนหลิงเทียน “นอกจากนั้นมันอย่างไรก็ไม่อาจลงมือในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน…ตอนนี้เหล่าอัจฉริยะทุกคนมาเพื่อต่อสู้แข่งขัน หากจ้าววิหารเฟิงฮ่าวลงมือกับอัจฉริยะสักคน ถึงตอนนั้นเรื่องได้วุ่นวายใหญ่โตแน่ คราวนี้ถึงมันไม่ตาย ก็ต้องมีหนังลอกกันบ้าง”

 

พอกล่าวจบคํา สองตาของฟงชิงหยางก็ทอประกายเยียบเย็น “นอกจากนั้นเมื่อครู่ข้าใช้สํานึกเทวะเพื่อรวมรั้งสร้างสํานึกกระบี่เทพเล่นงานสํานึกเทวะของมันอย่างแรง กล่าวได้ว่าวิญญาณของมันสมควรเสียหายไม่น้อย ต่อให้มันจะมีสมบัติล้ําค่าที่สามารถบํารุงทั้งฟื้นฟูวิญญาณได้ แต่ก็ยากที่มันจะรักษาให้หายขาดในเวลาเพียงแค่ 100 ปี!”

 

“เช่นนั้นตราบใดที่ข้ายังอยู่ใกล้ๆเจ้าให้มันมีความกล้ามากกว่านี้ มันก็ไม่กล้าแตะต้องเจ้าแน่”

 

“จิตเทพที่ข้าประทับเพิ่มให้เจ้า ก็แค่เพื่อเอาไว้เท่านั้น”

 

หลังแยกทางกับฟงชิงหยาง ต้วนหลิงเทียนก็เห็นร่างกลับบ้านไม้ อันเป็นที่พักที่ทางพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียนจัดไว้ให้อัจฉณิยะที่มาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้

 

หลังกลับมาถึงเขตที่พัก เขายังเห็นว่ามีอัจฉริยะมากมายกําลังจับกุมสนทากันบริเวณถนนนอกบ้าน

 

และอัจฉริยะรุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้ๆบ้านพักต้วนหลิงเทียน พอเห็นต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว ตาพวกมันก็ลุกวาวขึ้นมาทันที “พวกเจ้าว่า..ศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยาง ที่แท้พลังฝีมือกล้าแข็งขนาดไหน? หลายคนพูดกันว่าพลังฝีมือของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพสงคราม 2 ดาราเลย…”

 

“ฝีมือมันสูงต่ําอย่างไรข้าไม่รู้หรอก…แต่ที่ข้ารู้คือ เจ้าหนุ่มชุดเทาที่เชี่ยวชาญกฏแห่งความตายนั่น อย่างน้อยๆพลังของมันก็ต้องเทียบได้กับยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา!”

 

“เจ้าหนุ่มชุดเทาที่เจ้าพูด ชื่อมันเรียกว่า หลิงเจวี๋ยอวิ๋น มันมากับคนของวิหารเฟิงฮ่าวสาขา เฟิงชิงเทียน เท่าที่ได้ยินอัจฉริยะที่มากับวิหารเฟิงฮ่าวสาขาเฟิ่งชิงเทียนบอก เห็นว่าพลังฝีมือของหลิงเจวี๋ยอวิ๋นผู้นั้นไม่ได้จํากัดแค่ยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดารา…”

 

“เฮ..เจ้าพูดแบบนี้ จะบอกว่าหลิงเจวี๋ยอวิ๋นอาจเป็นเทพสงคราม 4 ดารารี?”

 

หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนปรากฏตัว ฉากเรื่องราวก็กลายเป็นคึกคักมีชีวิตชีวานัก

 

แม้ต้วนหลิงเทียนจะเดินหายเข้าบ้านไปแล้ว แต่ผู้คนก็ยังพากันจ้อถึงเขาไม่หยุด “หนึ่งเดือนหลังจากนี้ในรอบที่ 3 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ข้าว่าต้องมีคนท้าศิษย์ที่แท้จริงของจักรพรรดิสวรรค์ฟงชิงหยางไม่น้อย…พอถึงตอนนั้นพวกเราก็จักได้รู้ ว่าที่แท้มันร้ายกาจขนาดไหน”

 

“เท่าที่ข้าได้ยินมา เห็นว่ามีเทพสงคราม 3 ดาราคิดท้ามันด้วย!”

 

“เจ้าพูดมาแบบนี้ ข้าล่ะตั้งหน้าตั้งตารอดูชมเชียว…เทพสงคราม 3 ดาราเลยหรือ ต้วนหลิงเทียนผู้นั้นจะสู้ได้หรือไม่?”

 

3 วันต่อมา

 

ฉีคงไห่ รองจ้าววิหารเฟิงฮ่าวสาขาหลัก ที่รับหน้าที่เป็นประธานควบคุมการประลองศึกอัจฉริยะสวรรค์ ก็ได้ทําตามคําพูดก่อนหน้า จัดแจงสร้างตารางรายชื่ออัจฉริยะสวรรค์ทั้ง 300 คนที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 3 เรียบร้อย ตารางดังกล่าวยังเป็นม่านแสงที่ฉายไว้กลางอากาศเหนือลานประลอง

 

และในปัจจุบันก็มีอัจฉริยะไม่น้อยที่มาชมดูตารางดังกล่าว

 

“รายชื่อผู้ที่เข้ารอบที่ 3 ทั้ง 300 คน อันดับไม่ได้จัดเรียงตามพลังฝีมือ…”

 

หัวข้อตารางมีคําข้างต้นเขียนไว้ จากนั้นก็ไล่รายชื่ออัจฉริยะทั้ง 300 คนเรียงลงมา

 

ด้านหลังแต่ละรายชื่อ อย่างน้อยๆก็มีบอกข้อมูลของระนาบเทวโลกที่อยู่ เผยให้รู้ว่าอัจฉริยะดังกล่าวมาจากระนาบเทวโลกไหน

 

และบางคนก็มีการระบุข้อมูลชัดเจนด้วย

 

แม้แต่พลังฝีมือที่เผยออกมาให้เห็นแล้ว ก็มีเขียนบอกเอาไว้

 

อย่างเช่น ในรายชื่อของต้วนหลิงเทียนนั้น ก็มีข้อมูลบอกไว้ดังนี้

 

มาจากระนาบเทวโลกจี้เมียเทียน เป็นศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของฟงชิงหยาง จักรพรรดิสววรรค์แห่งจี้เมียเทียน อายุได้ 600 ปีเศษ ในการทดสอบรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งดูเหมือนจะอยู่ในระดับเทพสงคราม 2 ดาราหรือสูงกว่านั้น

 

ต่อมาก็ของซูหลี่

 

มาจากอวี้หวงเทียน ศิษย์ของนิกายกระบี่หมื่นหายนะ อายุได้ 600 ปีเศษ ในการทดสอบรอบแรกของศึกอัจฉริยะสวรรค์ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงกดดันแม้แต่น้อย ความแข็งแกร่งเหมือนจะอยู่ในระดับเทพสงคราม 2 ดาราหรือสูงกว่านั้น

 

ต่อมาก็เป็นของหลิงเจวี๋ยอวิ๋น

 

มาจากระนาบเฟิงชิงเทียน เดินทางมาเข้าร่วมศึกอัจฉริยะสวรรค์พร้อมกับวิหารเฟิงฮ่าวในรอบที่ 2 ของศึกอัจฉริยะสวรรค์ได้เปิดเผยพลังฝีมือดุร้าย คาดว่าน่าจะเป็นยอดฝีมือระดับเทพสงคราม 3 ดารา หรือเหนือกว่านั้น

 

เนื่องจากมีรายชื่อถึง 300 รายชื่อ รวมกับคําอธิบายของแต่ละคนที่บ้างสั้นบ้างยาว ก็ทําให้ผู้คนจําต้องยืนอ่านกันอยู่พักหนึ่ง แม้แต่คนที่ตกรอบไปแล้วก็ยังชมดูจนละลานตา

 

“ก็ละเอียดอยู่นะ…”

 

ต้วนหลิงเทียนที่ถูกซูหลี่เรียกให้มาชมดู พอมองไปยังข้อมูลของเขากับซูหลี่ ก็อดไม่ได้ที่จะเดาะลิ้นอยู่บ้าง “ดูเหมือนว่าข้อมูลเหล่านี้ จะถูกบันทึกไว้โดยคนของวิหารเชิงฮ่าว…”

 

“แถมยังค่อนข้างชัดเจนที่เดียว”

 

ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า

 

“เฮ ต้วนหลิงเทียน ดูนั่นสิ”

 

จากนั้นภายใต้การชี้นิ้วของซูหลี่ ต้วนหลิงเทียนก็ได้เห็นข้อมูลของศิษย์ที่แท้จริงลําดับ 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหวนเทียน อวี๋ตงฟาง

 

อวี๋ตงฟาง จากชวนหยวนเทียน ศิษย์ที่แท้จริงลําดับที่ 3 ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวนเทียน เคยสังหารเทพสงคราม 3 ดารามาก่อน ดูเหมือนจะมีระดับตั้งแต่เทพสงคราม 4 ดาราขึ้นไป อย่างไรก็ตามในศึกอัจฉริยะสวรรค์ทั้ง 2 รอบที่ผ่าน ก็เพียงเปิดเผยพลังฝีมือของเทพสงคราม 2 ดาราเท่านั้น

 

ชื่อด้านล่างอวี๋ตงฟาง ก็มีการแนะนําศิษย์ลําดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวนเทียนต่อ

 

ถงถู จากซวนหยวนเทียน ศิษย์ที่แท้จริงลําดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ชวนหยวนเทียน ก่อนหน้านี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการจู่โจมกะทันหันของต้วนหลิงเทียน พลังฝีมือสมควรใกล้เคียงกับเทพสงคราม 2 ดารา

 

บทที่ยังมีบันทึกเอาไว้ด้วย…นี่วิหารเฟิงฮาวจงใจทําให้เจ้านั้นมันเกลียดแค้นเจ้ารึเปล่า?”

 

ซูหลี่กล่าวล้อออกมาพลางหัวเราะขบขัน

 

ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่สายหัวไปมา เขาไม่คิดเลยว่าวิหารเฟิงฮ่าวจะลงข้อมูลน่ารําคาญแบบนี้เอาไว้ด้วย

 

และไม่นานนัก พอผู้คนที่ทยอยกันมาดูชมข้อมูลอัจฉริยะที่เข้ารอบทั้ง 300 คนสังเกตเห็นข้อมูลของถงถู ก็พากันหัวเราะขบขันยกใหญ่ บ้างก็กล่าวล้อเลียนกันสนุกปาก

 

“หืม?”

 

และทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็สัมผัสได้ถึงสายตาเยียบเย็นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น คู่หนึ่งจากท่ามกลางผู้คน พอเขาหันไปมองตามสัญชาตญาณ ก็พบเจอชายหนุ่มร่างกํายําคนหนึ่งกําลังถลึงตามองจ้องเขาอย่างดุร้ายเอาเรื่อง

 

เป็นถงถู

 

ศิษย์ที่แท้จริงลําดับที่ 4 ของจักรพรรดิสวรรค์ซวนหยวนเทียน

 

และที่ยืนอยู่ข้างๆถงถู ก็คืออวี๋ตงฟางที่สีหน้าท่าที่แลดูสงบอ่อนโยน พอสังเกตเห็นว่าต้วนหลิงเทียนมองมา มันก็พยักหน้าทักทายพลางส่งยิ้มให้เขา