ตอนที่ 3477 : สถานการณ์พลิกผัน
กฏที่ซูหลี่เชี่ยวชาญก็คือกฎทําลายล้าง ดุจเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์แห่งจี้เมี่ยเทียน
ด้วยเหตุนี้ฟงชิงหยาง จึงพาซูหลี่ไปชี้แนะอยู่ช่วงหนึ่ง
เป็นธรรมดาว่าคําชี้แนะของฟงชิงหยางที่มอบให้ซูหลี่ ไม่อาจเหมือนกับคําชี้แนะที่ มอบให้ต้วนหลิงเทียนได้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ฟังชิงหยางชี้แนะก็คือการให้ซูหลี่เห็นการใช้พลังของกฏทําลายล้างที่ผ่านการขัดเกลามานาน
ถึงจะเป็นเพียงเท่านั้น อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ก็สามารถเป็นแนวทางให้ซูหลื่นําไปต่อยอดได้มากมาย
อีกทั้งฟงชิงหยางก็ไม่ได้หวงความรู้ และชี้แนะซูหลี่เท่าที่จะทําได้ ให้ซูหลี่ได้เห็นการใช้กฏทําลายล้างที่ตนขัดเกลาและบรรลุถึงหลังใช้เวลาฝึกปรือมาเนิ่นนานที่ละอย่างๆ ซึ่งการมีตัวอย่างให้ชมดูแบบนี้ ก็ทําให้ปริศนามากมายในใจของซูหลี่ได้รับคําตอบ…แน่นอนว่ากว่าจะนํามาประยุกต์ใช้ได้อย่างคล่องแคล่ว ก็ต้องอาศัยเวลาฝึกปรืออีกมาก
เช่นนั้นความแข็งแกร่งของซูหลีในปัจจุบัน แม้จะเพิ่มขึ้นมากกว่าตอนไม่ได้รับคําชี้แนะของฟงชิงหยาง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร
เพราะซูหลี่ไม่มีเวลาย่อยความรู้และความเข้าใจที่ได้จากการชี้แนะของฟังซิงหยาง
ฟัฟฟ!!
จะอย่างไรก็ตาม ถึงแม้ความแข็งแกร่งของซูหลี่จะเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับวันแรกที่มาถึงหยวนสื่อเทียน แต่ก็มีความก้าวหน้าพอสมควร และบัดนี้พลังเขียนอมตะต้นกําเนิดก็ผสานรวมกับกฏทําลายล้าง กลายเป็นกระบุสีเลือดคลุมกาย พุ่งทะลวงผ่าวงล้อมห่าพิรุณลําแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงได้ไม่ยากเย็น
ต้วนหลิงเทียนที่นั่งชมอยู่บนอัฒจันทร์พอเห็นสถานการณ์ของซูหลี ใบหน้าที่สงบก็เริ่มยิ้มออกเพราะตอนนี้เห็นได้ชัดว่าซุหลี่กําลังเป็นฝายมีเปรียบ ดูเหมือนว่าการประลองครั้งนี้ โอกาสที่ซูหลี่ชนะจะมีมากกว่าแพ้หลายส่วน
และอย่างที่ต้วนหลิงเทียนคาดไว้ ซูหลี่ที่พุ่งฝ่าห่าพิรุณลําแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงมา ก็รุกไล่เสียจนทั่วป๋าผิงได้แต่เคลื่อนร่างหลบหนีไปพลาง ควบบคุมลําแสงกระบีจู่โจมสกัดกันซูหลีไปพลางเรียกว่าควบคุมพลังจนมือเป็นระวิง
บนสังเวียนบัดนี้ ซูหลี่สามารถรุกไล่เข้าถึงตัวทั่วป๋าผิงได้แล้ว ต่างรีดเค้นพลังความแข็งแกร่งขีดสุดระดับเทพสงคราม 3 ดาราออกมาเต็มพิกัด ร่างกระบี่สีเลือดกับร่างคนสีทองพร้อมกระบี่สีมรกตพัวพันกันอย่างแยกไม่ออก
ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ฟั่ฟ! ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
เสียงหอนกระบี่ดังขึ้นจากสังเวียนไม่หยุดหย่อน ทั้งคู่ล้วนแล้วแต่เป็นเซียนกระบี่ไม่ต่างกระบี่ 2 เล่มที่ตวัดฟันเฉียวไปเดี๋ยวมา พร้อมพลังที่ใช้ออกอย่างแยบคาบ ทําให้การประมือแลดูลุ้นระทึกน่าตื่นเต้นไม่น้อย
“ทั่วป๋าผิงนับว่ายอดเยี่ยมสมคําร่ำลือจริงๆ!”
“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าทั่วป๋าผิงจะมีพังฝีมือระดับยอดฝีมือเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว”
หลายคนอดไม่ได้ที่จะตกใจกับพลังฝีมือของทั่วป๋าผิง เพราะก่อนหน้านี้แม้ทุกคนจะรู้แล้วว่าทั่วป๋าผิงสมควรอยู่ในระดับเทพสงคราม 3 ดารา ทว่าก็น่าจะอยู่แค่กลางๆเท่านั้น ไม่ได้เป็นชนชั้นยอดฝีมือแต่อย่างไร
แต่ตอนนี้เมื่อทั่วป๋าผิงประมือกับซูหลี่เป็นพัลวัน ทั้งคู่เผยให้เห็นชัดเจนว่าระดับพลังได้มาถึงจุดสูงสุดของเทพสงคราม 3 ดาราแล้ว
และแน่นอนว่าเป็นซูหลี่ที่ยอดเยี่ยมกว่า และน่ากิ่งกว่า!
“ให้ตายเถอะ! ซูหลี่คนนี้พึ่งจะมีอายุได้ 600 ปีเศษจริงๆเหรอ ไฉนร้ายกาจนักล่ะ ทั่วป๋าผิงได้แต่แบ่งรับแบ่งสู้แล้วนั่น!”
“อายุได้ 600 ปีเศษแต่กลับมีพลังระดับนี้ นี่ถ้าให้เวลามันอีกสัก 2-300 ปี ตอนมันอายุได้ 900 เศษหากอัตราความก้าวหน้าไม่ลดลง ไม่ใช่ว่าจะมีพลังฝีมือเทียบได้กับเทพสงคราม 5 ดาราชนชั้นยอดฝีมือหรือไร และก่อนจะอายุครบพัน ไม่ใช่ว่าอาจเป็นได้ถึงเทพสงคราม 6 ดาราเลยหรือ?”
“นี่ถ้าข้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ให้ใครมาบอกข้าให้ตายว่าคนที่มีอายุเกินครึ่งพันมาร้อยปีเศษจะร้ายกาจได้ถึงขนาดนี้ ข้าไม่มีวันเชื่อแน่”
“พลังฝีมือที่ซูหลี่ใช้ออก เกรงว่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า ต้วนหลิงเทียน ศิษย์ที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของ ฟงชิงหยาง จักรพรรดิสวรรค์ในตํานานของจี๊เมี่ยเทียนเลย…แถมทั้งคู่เหมือนจะเป็นเพื่อนกันอีก อายุก็ไล่เลี่ยกันด้วย”
“บังเอิญข้ามีศิษย์น้องที่รู้จักคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมนิกายกระบี่หมื่นหายนะ และประสบผลสําเร็จที่นั่นไม่น้อย…ก่อนเริ่มศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ข้าได้ยินมันพูดถึงซูหลี่กับต้วนหลิงเทียนด้วย เห็นว่าทั้งคู่ไม่ใช่แค่สหายทั่วไป แต่ล้วนมาจากระนาบโลกียะเดียวกัน และเป็นสหายกันมาตั้งแต่บนระนาบโลกียะเลย”
“อะไร? ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันหรือ! ให้ตายเถอะ…ระนาบโลกยะบ้านเกิดทั้งคู่มีดีอันใด ไฉนเพาะสร้างตัวตนท้าทายสวรรค์ระดับนี้ได้ถึงสองคน?”
ในขณะที่หลายๆคนกําลังประทับใจกับความแข็งแกร่งของซูหลี่ ก็มีบางคนที่เอ่ยถึงเรื่องที่ต้วนหลิงเทียนกับซูหลี่มาจากระนาบโลกียะเดียวกันออกมา ทําให้ทุกคนอดไม่ได้ที่จะตกใจ และที่ตกใจยิ่งกว่าก็คือ…ที่แท้ซูหลี่เองก็เป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มาเหมือนต้วนหลิงเทียนด้วย!
2 คนที่พึ่งขึ้นสวรรค์มา และมีอายุได้ 600 ปีเศษ…กลับบรรลุถึงความแข็งแกร่งระดับนี้แล้ว?
พวกมันหลายๆคนที่แม้จะได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะของระนาบเทวโลก ทั้งๆที่มีจุดเริ่มต้นดีกว่าและเกิดมาในระนาบเทวโลกแท้ๆ แต่ในวัยเดียวกันยังด้อยกว่าทั้งคู่มาก…สิ่งนี้ไม่ใช่ว่าเสมือนชีวิตของพวกมันที่อยู่มาหลายปี มันไร้ค่าเยี่ยงชีวิตสุนัขเมื่อเทียบกับทั้งคู่หรือไร?
เรื่องที่ต้วนหลิงเทียนเป็นผู้ที่ขึ้นสวรรค์มา หลายคนได้ยินมานานแล้ว ยังได้ยินก่อนที่จักรพรรสวรรค์ฟงชิงหยางจะลงมือทําลายร่างอวตารของจักรพรรดินีสวรรค์ลัวสุ่ยเทียนเสียอีก
“จะว่าไปต้วนหลิงเทียนก็มาจากระนาบโลกียะเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ฟังซิงหยางเช่นนั้นกล่าวได้ว่าซูหลี่ก็มาจากที่นั่นด้วยน่ะสิ?”
“ข้าล่ะทึ่งจริงๆ ปกติเรื่องที่มีผู้ขึ้นสวรรค์อันร้ายกาจและกลายเป็นตัวตนลือนามล้วนเป็นจุดขายของระนาบเหยียนหวงและข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีระนาบโลกียะไหน สามารถเพาะสร้างอัจฉริยะแห่งยุคเช่นนี้ได้หลายคนอีกเลย!”
ตอนนี้หลายคนเริ่มรู้สึกสนใจระนาบเซียน ซึ่งเป็นระนาบโลกียะบ้านเกิดของต้วนหลิงเทียนขึ้นมาบ้างแล้ว
และตอนนี้ไม่เพียงแต่ชูหลี่เท่านั้นที่กลายเป็นจุดสนใจ ต้วนหลิงเทียนที่นั่งชมดูการประลองอยู่บนอัฒจันทร์เองก็พบว่ามีสายตามากมายหลายคู่กําลังมองมาที่เขาด้วยความเร่าร้อน
“มีโอกาสสูงมากที่ซูหลี่จะชนะรอบนี้”
ถังซานเปาที่นั่งอยู่ด้านหลังต้วนหลิงเทียน ก็คลี่ยิ้มกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ “แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าบัดนี้ทั่วป๋าผิงได้ใช้ออกทุกสิ่งแล้ว ไม่หลงเหลือไม่ตายใดๆอีก”
จางเทียนโย่วเริ่มขมวดคิ้วเบาๆ “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าไม่มั่นใจว่าที่แท้เป็นเรื่องจริงหรือไม่..ข้าได้ยินมาว่ากระบื่อมตะคู่กายเล่มนั้นของทั่วป๋าผิง ที่แท้มันเป็นกระบื่อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์ด้วย…และเห็นว่าเป็นบรรพบุรุษของตระกูลทั่วป๋ามอบให้มันเป็นของขวัญวันเกิดอายุ900 ปี”
“กระบี่อมตะที่มีวิญญาณ?”
ลูกตาต้วนหลิงเทียนหดเล็กลงทันที เขาย่อมรู้ซึ้งถึงความต่างระหว่างอุปกรณ์อมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์กับไม่มีดี
“ซูหลี่..”
และในขณะเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนกําลังจะส่งเสียงผ่านพลังไปถึงซูหลี่ อยู่ๆทั่วป๋าผิงที่ตกเป็นรองและถูกซูหลี่รุกไล่จนทําได้แค่ต้านทานพลางถอยถ่ายเดียวก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า “ดี! ดี! ดีมาก! ครั้งนี้สนุกจริงๆ!”
“ซูหลี่ ความร้ายกาจของเจ้าทําให้ข้าต้องประหลาดใจจริงๆ”
“ในแง่พลังฝีมือส่วนตัวแล้ว ข้าพูดได้โดยไม่อายปากเลยว่าข้าด้อยกว่าเจ้าเล็กน้อย”
“อย่างไรก็ตาม ศึกอัจฉริยะสวรรค์มิได้วัดกันแค่พลังฝีมื่อส่วนตัวถ่ายเดียว ความสําคัญของอาวุธอมตะเองก็มีไม่น้อยเช่นกัน!”
พอเสียงของทั่วป๋าผิงดังจบคํา จากนั้นกระบี่สีมรกตของมันอยู่ๆก็ปรากฏแสงสีเขียวพวยพุ่งออกมา จากนั้นแสงสีเขียวดังกล่าวก็กลับกลายเป็นเงาร่างสิ่งมีชีวิตอันน่ากลัวตัวหนึ่งลอยล่องอยู่เหนือกระบี่!
“ให้ตายเถอะ นั่นมันจิตววิญญาณสถิตย์กระบี่!”
“เป็นศาสตราอมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณสถิตย์อีกแล้ว!”
พอเงาร่างสัตว์ร้ายน่ากลัวที่ปรากฏขึ้นเหนือกระบี่สีมรกตในมือทั่วป๋าผิง เริ่มผสานรวมเข้ากับกระบี่อีกครั้ง กลิ่นอายพลังของกระบี่ในมือทั่วป๋าผิงก็แปรเปลี่ยนไปในฉับพลัน ยังทําให้ผู้คนรู้สึกหวั่นเกรงไม่น้อย ราวกับมีพลังอานุภาพเหนือล้ำประกาหนึ่งฉาบเคลือบกระบี่สีมรกตของทั่วป๋าผิงเอาไว้
ฟัฟฟฟ!!
ต่อมาทั่วป๋าผิงก็ไม่คิดใช้ทักษะกระบี่มหัศจรรย์ใดอีก อาศัยเพียงพลังของกระบี่ในมือ ผสานรวมกับพลังของกฏแห่งทองที่แตกฉาน จนทําให้กระบี่สีมรกตบัดนี้ได้เต็มไปด้วยแสงพลังสีทอง เผยพลังอันน่าพรั่นพรึงออกมา!
เพียงเวลาพริบตา ชูหลี่ที่กําลังมีเปรียบก่อนหน้า ก็เริ่มถูกพลังของกระบี่มือทั่วป๋าผิงสะกดข่ม
เรียกว่าทั่วป๋าผิงอาศัยแค่พลังของตัวกระบี่อย่างเดียว ก็พลิกกลับสถานการณ์ได้ทันที
“ช่างเป็นกระบอมตะระดับจักรพรรดิที่ทรงพลังนัก!”
หลังจากที่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พอมองไปยังกระบี่ในมือของทั่วป๋าผิงอีกครั้ง สีหน้าซูหลี่ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังเคร่งขรึมนัก สุดท้ายจึงทําได้แค่ลอบยิ้มขึ้นขมอยู่ในใจ และเริ่มเสียดายที่ปฏิเสธความหวังดีของงประมุขนิกายกระบี่หมื่นหายนะไป
ก่อนที่จะมาเข้าร่วมในศึกอัจฉริยะสวรรค์ครั้งนี้ ประมุขนิกายหมื่นกระหายนะก็เสนอว่าจะให้ซูหลี่หยิบยืมกระบอมตะประจํานิกายออกมาแล้ว และเป็นกระบอมตะระดับจักรพรรดิที่มีวิญญาณอันร้ายกาจนัก
ยังร่ำลือกันอีกว่าเพราะวิญญาณกระบี่ที่สถิตย์อยู่ในกระบี่เล่มนั้นได้เข่นฆ่าวิญญาณสถิตย์ศาสตราอมตะอื่นมามากมาย ทําให้มันมีพลังอํานาจสะกดข่มเหล่าวิญญาณสถิตยศาสตราไม่น้อย!
เมื่อเห็นซูหลี่ถูกกดดันจนร่วงตกจากฟ้า เหล่าอัจฉริยะทั้งหลายก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าไปมา “ข้าหลงคิดว่าซูหลีกําลังจะชนะแล้วเสียอีก แต่ใครจะไปรู้ว่ากระบีอมตะเล่มนั้นของทั่วป๋าผิงจะมีวิญญาณกัน…อุปกรณ์อมตะจักรพรรดิที่มีวิญญาณกับไม่มี พลังอํานาจแตกต่างกันมากพอสมควรเลย!”
ด้านต้วนหลิงเทียนเอง หว่างคิ้วก็เริ่มขดยนเป็นปม
ตอนนี้เว้นเสียแต่ซุหลี่จะชักกระบี่เทพที่เขาเคยมอบให้ในซากปรักหักพังของระนาบเทพออกมา หาไม่แล้วแทบไม่มีทางเอาชนะทั่วป๋าผิงได้เลย
อย่างไรก็ตาม ถึงในมือซูหลีจะมีกระบี่เทพอยู่ แต่จะนําออกมาใช้ตอนนี้ มันไม่ควรอย่างยิ่ง!
เพราะเมื่อนําออกมาแล้ว ไม่พ้นต้องตกเป็นเป้าของสาธารณะชนแน่นอน
คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก!
เป็นธรรมดาว่าคงไม่มีใครกล้าลงมือเล่นงานซูหลีในพระราชวังจักรพรรดิสวรรค์หยวนสื่อเทียน แต่พอกลับไปนิกายกระบี่หมื่นหายนะเกรงว่าคงต้องพบเจอกับคนคิดไม่ซื่ออย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงเพราะความเย้ายวนของอุปกรณ์เทพมันมากเกินไป!
ต่อให้วันนี้อาจารย์เขาจะออกปากว่าจะให้ความคุ้มครองซูหลี่ แต่ก็ไม่อาจป้องกันคนคิดไม่ซื่อได้ เพราะสุดท้ายหากเสี่ยงลงมือช่วงชิงโดยที่ไม่มีใครรู้ แล้วใครจะทําอะไรได้?
และต่อให้อาจารย์เขาจะทิ้งรอยประทับจิตเทพไว้บนร่างซูหลี่ ทําให้ยามซูหลีโดนเล่นงานก็สามารถรับรู้ได้ทันที แต่ระยะทางเล่า? กว่าจะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายข้ามระนาบเทวโลก ไหนจะเดินทางไปยังสถานที่ๆซูหลี่เกิดเรื่อง เกรงว่าคงสายเกินการณ์แล้ว!
“ซูหลี่ หากไม่ไหวก็อย่าฝืน ยอมแพ้ไปเถอะ”
ต้วนหลิงเทียนส่งเสียงผ่านพลังถึงซูหลี่ “อย่านํากระบี่เทพเล่มนั้นออกมาใช้ดีกว่า”
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ว่าซูหลี่ก็สมควรตระหนักถึงเรื่องนี้ดีแก่ใจ แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะกังวลด้วยกลัวว่าหากซูหลิสิ้นไร้หนทางแล้วจริงๆ จะเลือกชักอาวุธออกมาลงมือ แล้วหมายหาทางแก้ภายหลัง
ซูหลี่ตอนนี้ก็กําลังต้านทานรับมือห่าพิรุณลําแสงกระบี่ของทั่วป๋าผิงที่ทรงพลังอาจและมีความเร็วสูงขึ้นกว่าเดิมหลายส่วนจนมือเป็นระวิง ย่อมไม่มีเวลาเหลือพอจะหันไปส่งเสียงผ่านพลังตอบต้วนหลิงเทียน
เห็นฉากดังกล่าวต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดส่งเสียงผ่านพลังไปหาซูหลี่สืบไป เพราะเขารู้ดีว่าซูหลี่รับทราบแล้ว ส่งไปอีกก็รังแต่จะกวนสมาธิเปล่าๆ
ปงงงง! !
ตูมมมม!!
บัดนี้ทั่วร่างของทั่วป๋าผิงสองสว่างไปด้วยแสงพลังงสีทอง คนยืนอยู่ราวกับเทพทองคําในมือถือไว้ด้วยกระบี่อมตะสีมรกต ทั่วกระบี่เปล่งแสงพลังอย่างร้ายกาจ ส่งรังสีพลังผสมปนเปไปกับแสงกระบีสีทองที่ซัดพุ่งถล่มลงมาจากฟ้าไม่หยุดหย่อน ลําแสงกระบี่ที่ถล่มลงเป็นสาย มองไกลๆยังเหมือนแส้อันเรื่องที่กําลังฟาดเคี่ยวกรําซูหลื่อย่างไรอย่างนั้น
ด้านซูหลี่ตอนนี้ แสงพลังกระบี่ที่เปล่งออกมาคลุมกายก็แลดูหมองลงถนัดตา
ถึงแม้จะพยายามเร่งเร้าพลังประคองสภาวะ ต้านทานรับมือทั่วป่ายิงเต็มที่ อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เร่งพลังทําลายลําแสงกระบี่ที่ทั่วป๋าผิงซัดออก พลังสภาวะก็ลดทอนลงอย่างเห็นได้ชัด
“ซูหลี่ เจ้ายอมแพ้เถอะ”
ทั่วป่าฝูงเอ่ยออกเสียงเฉย
ด้านซูหลี่บัดนี้ไม่ทราบเป็นอะไร แม้จะเผชิญหน้ากับห่าลําแสงกระบี่ชุดใหม่ของทั่วป๋าผิง ทว่าคนกลับหยุดนิ่งไม่ขยับไปไหน เอาแต่มองจ้องห่าพิรุณลําแสงกระบี่ชุดใหม่ที่ถล่มลงมาไม่วางตา
และพริบตาเดียวลําแสงกระบี่กลุ่มใหม่ก็พุ่งตัดระยะมากว่าครึ่งแล้ว
ทว่าซูหลี่ก็ยังคงยืนนิ่งประคองพลังสภาวะในระดับเดิม ไม่ได้แลดูตั้งใจจะเร่งเร้าพลังต้านทานหรือหลบหนีเลย
จังหวะนี้ทั่วป๋าผิงเองก็อดขมวดคิ้วไม่ได้
มันไม่ต้องการฆ่าซูหลี่
อย่างไรก็ตาม ลําแสงกระบี่ที่มันชัดออกไป ก็เป็นดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศร หากซูหลีไม่กล่าวคํายอมแพ้ หรือบดขยีป้ายหยก มันก็ช่วยอะไรไม่ได้!